ที่รัก,

ชีวิตที่นู่นเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้น่าจะกำลังหนาวใช่ไหม ดูจากรูปที่คุณโพสต์ลงเฟซบุ๊กแล้ว ผมจินตนาการได้เลยว่า ถ้าเป็นผม-คงหมกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ซื้อของมาตุนไว้ในบ้าน แล้วทำตัวเหมือนหมีจำศีลในช่วงฤดูหนาว หิมะหนาขนาดนั้นผมจะไม่ออกไปไหนแน่ๆ ท้องฟ้าขมุกขมัวเหมือนดวงอาทิตย์ถอยห่างไปจากโลกอีกหลายปีแสง บรรยากาศแบบนั้นคงหม่นทึมจนขี้เกียจจะลุกขึ้นมาทำอะไรเลย

คุณรู้ไหมว่า เรามีโอกาสที่จะชอบคนที่เราเคยไม่ชอบมาก่อน ถ้าเราได้เจอเขาบ่อยๆ

ในฤดูที่ไม่ค่อยน่าออกจากบ้านแบบนี้ ผมอยากชวนคุณมาเขียนจดหมายผ่านอีเมลยาวๆ ด้วยกันอีกครั้ง จึงนั่งลงเขียนอีเมลฉบับนี้ถึงคุณ โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะชวนคุณคุยเรื่องอะไร แต่ผมชอบเสน่ห์ของจดหมายยาวๆ ที่ต่างไปจากการคุยกันเป็นประโยคๆ ในไลน์หรือข้อความในเฟซบุ๊ก เพราะทุกครั้งที่เปิดจดหมายออกอ่าน ผมมักสัมผัสได้ถึงมวลความรู้สึกของเจ้าของจดหมายที่แนบมากับตัวหนังสือหลายร้อยตัวเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกแบบไหนก็ตาม เป็นห่วง ให้กำลังใจ โกรธ งอน หรือว่ารัก

จดหมายเป็นเครื่องบรรจุความรู้สึกได้ดี เพราะทุกครั้งที่เรานั่งลงเขียน เราจะต้องนึกถึงคนที่อยู่ห่างไกลคนนั้น จินตนาการถึงใบหน้าตอนที่เขาได้อ่านข้อความแต่ละบรรทัด ช่วงเวลาตั้งแต่บรรทัดแรกไปจนถึงคำลงท้ายคือช่วงเวลาที่เราใช้ไปกับคนที่เรากำลังสนทนาด้วยอย่างแท้จริง เป็นข้อความที่เราเขียนขึ้นมาสำหรับคนคนเดียวเท่านั้น เหตุนี้เองจดหมายจึงมีพลังในแบบของมัน ในแบบที่ข้อความสั้นตามช่องทางต่างๆ มิอาจแทนที่

แม้เราจะมีโอกาสได้แชตคุยกัน และเปิดกล้องคุยกันอยู่บ้าง ผมก็อยากชวนคุณส่งจดหมายหากันอยู่ดี มันน่ารักดีที่เราจะเก็บหลักฐานของความคิดถึงเอาไว้ อีกหน่อยถ้าคุณกลับไทยแล้วได้มาเปิดอ่านอีกรอบว่าเราคุยอะไรผ่านจดหมายไว้บ้างคงสนุกดี แต่ก็ใช่แหละ ผมอาจพยายามหาช่องทางคุยกับคุณมากขึ้น เพราะสังเกตเห็นว่าเราแชตกันสั้นลง และคุยกันผ่านกล้องสั้นลงทุกวัน ผมเข้าใจ คุณคงเรียนหนักไม่ใช่น้อย

จำได้ไหม ที่คุณเคยยืนยันเสียงแข็งว่า คุณไม่มีทางเปลี่ยนไป และไม่มีทางห่างหายไประหว่างอยู่ที่นั่น วันที่ผมไปส่งที่สนามบิน คุณยังบอกกับผมอีกครั้งว่า “สองปีไม่นานหรอก ต้นไม้ยังไม่ทันโตเลย เราจะเปลี่ยนไปได้ไง” ตอนนั้นผมฟังแล้วยังเถียงในใจว่า-มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นต้นไม้ชนิดไหน​

จำได้ไหม คุณยืนยันกับผมเสียงแข็งว่าไม่เคยเชื่อทฤษฎี ‘รักแท้แพ้ใกล้ชิด’ เพราะต่อให้ใกล้ชิดขนาดไหน ถ้าไม่รักก็คือไม่รัก และถ้ารักแล้ว ต่อให้ห่างกันขนาดไหน ความรักนั้นก็ยังแข็งแรงเสมอ

ผมชอบมองหน้าเวลาคุณมั่นอกมั่นใจ มันเหมือนรูปปั้นหินที่ไม่มีวันพังทลาย

ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้คุณเริ่มเปลี่ยนใจจากที่เคยคิดไว้หรือยัง ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีใครเขยิบเข้ามาใกล้ชิดคุณหรือเปล่า เพื่อนคิ้วหนาๆ คนนั้นที่ชอบเข้ามาคอมเมนต์ในรูปคุณบ่อยๆ เขาสนิทกับคุณแค่ไหน คุณอาจหาว่าผมนอยด์ไปเอง แต่เรื่องความห่างไกลและความใกล้ชิดนี่มีเรื่องน่าคิดน่าคุยกันอยู่เหมือนกันนะ

คุณรู้ไหมว่า เรามีโอกาสที่จะชอบคนที่เราเคยไม่ชอบมาก่อน ถ้าเราได้เจอเขาบ่อยๆ ก็เหมือนสมัยเด็กๆ ที่เราฟังเพลงบางเพลงครั้งแรกแล้วไม่รู้สึกว่ามันเพราะแม้แต่น้อย แต่พอพี่ดีเจเปิดเพลงนี้กรอกหูครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็ค่อยๆ เริ่มรู้สึกดีกับมัน กระทั่งร้องตาม ติดปาก และบางเพลงก็กลายเป็นเพลงโปรดไปเสียอย่างนั้น

คุณอาจจะเถียงว่าเพลงกับคนไม่เหมือนกัน แต่นักวิทยาศาสตร์เขายืนยันว่าไม่ต่าง สมองมนุษย์เราจะค่อยๆ คุ้นเคยกับสิ่งที่ได้พบเห็นหรือสัมผัสบ่อยๆ ยิ่งคุ้นเคยมากขึ้นก็ยิ่งชอบสิ่งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

เราจึงรักเพื่อนสนิทมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงรู้สึกอบอุ่นใจกับคนใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนใหม่ๆ ในชีวิตแล้ว คนเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่ม ‘คนคุ้นเคย’ มิใช่ ‘คนแปลกหน้า’

คำว่า ‘คนแปลกหน้า’ นั้นน่าสนใจ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่หรือคนในครอบครัว เราทุกคนย่อมเริ่มต้นจากการเป็นคนแปลกหน้าต่อกันมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น การพบกันครั้งแรกอาจมีบ้างที่รู้สึกถูกชะตา (ซึ่งเรามักถูกชะตากับคนที่หน้าคล้ายคนที่เรารู้จัก) แต่ส่วนใหญ่ก็จะรู้สึก ‘แปลกๆ’ ก็เพราะความแปลกหน้านี่เอง​

ความรู้สึกแปลกๆ เมื่อพบผู้คนหน้าใหม่ มิใช่เพราะเรารู้ว่าเขาเป็น ‘คนแปลกหน้า’ แต่เรายังรู้สึกด้วยว่าเขาเป็น ‘คนหน้าแปลก’
เราใช้เวลาพอสมควรกว่าจะคุ้นชินกับใบหน้าของผู้คนใหม่ๆ ในชีวิต เมื่อคุ้นแล้วเขาก็ไม่ใช่ ‘คนหน้าแปลก’ อีกต่อไป พร้อมกันนั้นเองเขาก็ไม่เป็น ‘คนแปลกหน้า’ ของเราไปด้วย

ความรู้สึก ‘ไอ้นี่หน้าตาแปลกๆ’ ค่อยๆ หายไปเพราะความใกล้ชิดกัน เพราะมนุษย์เรามีนิสัยหนึ่งที่เป็นธรรมชาติติดตัวมา นั่นคือนิสัยขี้เลียนแบบ เรามักเลียนแบบคนที่อยู่ใกล้ ตั้งแต่ท่าทาง น้ำเสียง จังหวะของการพูด การแสดงออกทางสีหน้า ย่นคิ้ว หลิ่วตา ยิ้มมุมปาก การมองตาม หรือกระทั่งความเร็วของการหายใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเราใช้เวลากับใครมากขึ้นแค่ไหน เราก็ยิ่งคล้ายกับคนคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทั้งคู่ต่างเลียนแบบซึ่งกันและกัน เหมือนปรับมาเจอกันครึ่งทาง

จึงไม่แปลกที่ชอบมีคนทักเราสองคนว่า หน้าตาเหมือนกัน อันที่จริงสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือนก็คือ บุคลิกและกิริยาท่าทางที่เราเลียนแบบกันไปมาจนเป็นกระจกของกันและกันนี่เอง นักวิทยาศาสตร์เรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า mirroring ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นสิบปีจะมีใบหน้าที่คล้ายกัน เพราะทั้งคู่ต่างขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าเลียนแบบกันไปมาร่วมกันมาหลายพันวันแล้ว​

จาก ‘คนแปลกหน้า’ เราค่อยๆ กลายเป็น ‘คนคนเดียวกัน’ เพราะความใกล้ชิดสนิทสนม และยิ่งใบหน้าและท่วงท่าของเราเหมือนกันมากขึ้น เราก็ยิ่งรู้สึกดีกับ ‘คนที่เหมือนกัน’ มากขึ้นเรื่อยๆ

เราแทบจะกลายเป็นตัวเองอีกคนหนึ่งของกันและกัน

กาลเวลาเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง
ทำให้สิ่งสวยงามเกิดรอยตำหนิ
ทำให้สิ่งที่เคยไกลกลายเป็นใกล้
ทำให้สิ่งที่เคยใกล้กลายเป็นห่างเหิน

 

นั่นทำให้เรายิ่งอยากใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น เพราะเราสบายใจเมื่ออยู่กับคนที่คล้ายกัน และเมื่ออยู่ด้วยกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งไปตอกย้ำภาวะทางจิตวิทยาแบบแรกที่เล่าให้ฟัง นั่นคือ ‘ยิ่งเห็นบ่อย ยิ่งชอบ’ หรือ mere-exposure effect ซ้ำๆ ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

เช่นนี้เอง ความใกล้ชิดจึงสำคัญยิ่ง

ในทางตรงกันข้าม, ความห่างไกลจึงมีผลอย่างยิ่งต่อความรัก

พูดกันแฟร์ๆ, ผมคิดว่าคู่รักจำนวนหนึ่งไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ความสัมพันธ์เจือจางลงเมื่อมีเหตุให้ร่างกายของพวกเขาต้องห่างกัน ในตอนเริ่มต้น ทุกคนมีเจตนาจะรักษาความรักเอาไว้ให้ยืนยาว กระทั่งบางคนก็มั่นอกมั่นใจว่า ระยะทางไม่มีผลต่อความรักที่มีให้กัน แน่ล่ะ, บางคนรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่จากที่เขียนมาทั้งหมด ผมคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องธรรมชาติและธรรมดาอย่างยิ่งที่ ‘รักแท้’ จะแพ้ ‘ความใกล้ชิด’

เพราะระยะห่างของสถานที่และกาลเวลาย่อมทำให้ ‘คนคุ้นเคย’ ค่อยๆ กลายเป็น ‘คนแปลกหน้า’ และค่อยๆ ทำให้ ‘คนแปลกหน้า’ กลายเป็น ‘คนคุ้นเคย’

ไม่ใช่ความผิดของใครเลย เป็นเพียงธรรมชาติของหัวใจ

และสมองของพวกเรา

ถึงบรรทัดนี้ เกิดความรู้สึกที่ไม่ได้คิดล่วงหน้ามาก่อนตอนนั่งลงเขียนจดหมาย ยิ่งเขียนผมยิ่งรู้สึกว่าเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกันมากขึ้นทุกวัน ผมเสียใจ เจ็บปวด และรู้สึกเหมือนทำใครสักคนที่สำคัญมากต่อชีวิตหล่นหายไป แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแปลกหน้านั้นที่เพิ่มมากขึ้นอีก หากเป็นไปได้ผมอยากอธิษฐานให้คู่รักที่มีเหตุต้องห่างไกลกันสามารถประคับประคองความรักของพวกเขาเอาไว้ได้ เพราะผมรู้ดีว่า การสูญเสียคนคุ้นเคยให้กับความห่างไกลนั้นมันย่ำแย่แค่ไหน

ผมยังคิดถึงใบหน้าเหมือนรูปปั้นหินของคุณ ตอนมั่นอกมั่นใจว่า รักแท้ไม่มีทางแพ้ความใกล้ชิด ภาพใบหน้าของคุณปรากฏขึ้นตัดสลับกับใบหน้าของรูปปั้นเทพีโรมันที่คุณเพิ่งถ่ายรูปมาจากพิพิธภัณฑ์ รูปปั้นนั้นมีรอยบิ่นที่ริมฝีปาก เป็นร่องรอยของกาลเวลา ใบหน้าของเธอย่อมแตกต่างไปจากที่เคยเป็น

กาลเวลาเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง ทำให้สิ่งสวยงามเกิดรอยตำหนิ ทำให้สิ่งที่เคยไกลกลายเป็นใกล้ ทำให้สิ่งที่เคยใกล้กลายเป็นห่างเหิน

ผมอยากส่งกำลังใจมาให้คุณ ขอให้มีพลังตลอดเวลาในการใช้ชีวิตที่นั่น ในโลกที่ไม่มีผม ถ้ามีเวลาก็เขียนมาเล่าเรื่องราวให้ฟังบ้าง ผมคงเปิดอ่านด้วยความตื่นเต้น เพราะมันเป็นเรื่องราวของคนแปลกหน้า หวังว่าจะได้อ่านเรื่องราวจากแดนไกลในวันหนึ่งที่คุณพอจะมีเวลาว่างพอ

โชคดีนะ, ไม่ต้องห่วงผม อย่างที่ผมบอกไงว่า กาลเวลาเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง ทำให้สิ่งสวยงามเกิดรอยตำหนิ แต่มันก็มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนรอยตำหนิให้กลับไปสวยงามอีกครั้ง

ขอบคุณที่เคยเป็นกระจกของกันและกัน

ผมเอง, คนแปลกหน้าล่าสุดของคุณ​

ภาพประกอบ: Suminkgy

อ้างอิง:

500 ล้านปีของความรัก 02 โดย นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา

Tags: , ,