เสียงบ่นจากเด็กรุ่นใหม่ก็คือวันนี้ ทำงานก็หนัก มีงานเสริมอีกก็หลายจ็อบ แต่ ณ วันนี้ กลับเก็บเงินได้ไม่อยู่ ไม่สามารถเก็บเงินได้ ไม่สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ ไม่ว่าจะรถยนต์ บ้าน คอนโดฯ เงินออม ทั้งที่ความจริง เงินเดือนก็ไม่ได้น้อยไปกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เราครั้งเป็นเด็ก

แน่นอนว่า เหตุปัจจัยมีตั้งแต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลพวงจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ค่าครองชีพสูงขึ้น ค่าที่พักอาศัยสูงขึ้น การพัฒนาเมืองอย่างไร้ทิศทาง และการที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต้อง ‘แบก’ คนรุ่นพ่อแม่ต่อไป เพราะคนรุ่นก่อนหน้าไม่ได้มีฐานะดีพอในการเลี้ยงตัวเอง ประคับประคองตัวเองโดยมีเงินเก็บมากพอให้ตลอดรอดฝั่ง และถึงที่สุด การที่คนรุ่นใหม่ไม่มีเงินเก็บ แน่นอนจะส่งผลกระทบให้กับประเทศในระยะยาว

The Momentum ชวนอ่านสาเหตุอันซับซ้อนที่ทำให้คนรุ่นใหม่เก็บเงินไม่อยู่ และทำให้คนรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ ‘แบก’ ปัญหาอะไรหนักหนากว่ารุ่นพ่อแม่เยอะมาก

1. เด็กรุ่นใหม่เติบโตมาในเศรษฐกิจที่เลวร้าย

ว่ากันตามจริงแล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อน ประเทศไทยมีวงจรเศรษฐกิจที่น่าสนใจ คือไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจก็ยังอยู่ในระดับที่ ‘อยู่ได้’

นับตั้งแต่ที่มีข้อตกลง Plaza Accord ที่ทำให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตรถยนต์มายังไทย ในช่วงรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เศรษฐกิจว่าด้วยอุตสาหกรรมจากญี่ปุ่นดีขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเราคุยวาดฝันว่า ไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ในช่วงรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ต่อให้มีวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 แต่ก็กระทบเฉพาะภาพการเงิน-คนระดับบน ในเวลาต่อมา ยุคทักษิณ ชินวัตร เศรษฐกิจไทยก็เติบโตมาโดยตลอด จีดีพีวิ่งขึ้นไป 7-8% เป็นเรื่องปกติของคนรุ่นนั้น

ในช่วงเวลาของคนรุ่นพ่อแม่ ลงทุนอะไรในตลาดหุ้นก็ขึ้น ทุกอย่างคึกคัก ดอกผลจากการลงทุนยิ่งทบทวีคูณ มากพอที่พวกเขาจะเริ่มเก็บสะสมที่ดิน ต่อยอดในการทำธุรกิจแบบเงินต่อเงิน แต่นับจากความขัดแย้งทางการเมือง ความไร้เสถียรภาพในทางการเมือง ทุกอย่างก็หยุดชะงัก เด็กจบใหม่ที่หวังว่าเงินลงทุนในกองทุนที่อิงตลาดหุ้นจะเป็นรายได้เสริมในกระเป๋าก็หยุดชะงัก เอาเป็นว่าวันนี้แค่อยู่ในระดับเสมอตัวก็เก่งแล้ว

ขณะที่จีดีพีไทยวันนี้ เข็นให้ตายก็อยู่ที่เติบโตไม่เกิน 2.5-3.0% บทวิเคราะห์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทรระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตาของไทย วันนี้ผลิตแต่ของที่โลกลืม ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์หรือรถยนต์สันดาป ในขณะที่ประเทศรอบข้างเน้นงานวิจัยและพัฒนา จนอุตสาหกรรมชิปและอิเล็กทรอนิกส์เริ่มทรงตัวได้ ยืนได้ด้วยตัวเอง ไทยยังคงหวังว่า จะมีต่างชาตินำเงินมาลงทุน ทั้งที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไร สถานการณ์การเมืองก็ยังเต็มไปด้วยความเปราะบาง

สาเหตุประการนี้ทำให้ ‘เงินเดือน’ ของคนรุ่นใหม่ขึ้นน้อยมากในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ เรียกได้ว่า เด็กรุ่นใหม่ต่างก็เติบโตมาในห้วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าโครงสร้างเศรษฐกิจยังเป็นเช่นนี้จะเลวร้ายเกินกว่าที่หลายคนจินตนาการ

2. ค่าอสังหาริมทรัพย์ที่แพงเกินเยียวยา ไร้การควบคุม

ถึงวันนี้ คนที่ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ไม่ว่าจะคอนโดมิเนียม จะต้องมีเงินเดือนเท่าไร บางคนบอกต้องมี 3 หมื่นบาท บางคนบอกต้องมี  5 หมื่นบาท เรื่องสำคัญก็คือราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและไร้การควบคุม

หากจำกันได้ สัก 15 ปีก่อน กำเงินไป 2 ล้านบาท น่าจะยังซื้อทาวน์เฮาส์แถวรังสิต ปทุมธานี หรือมีเงินสัก 1 ล้านบาท อาจยังพอหาซื้อคอนโดมิเนียมนอกเมืองติดรถไฟฟ้าปลายสายได้ แต่หลังจากปล่อยให้เมืองเติบโตอย่างไร้ระเบียบ ไม่มีการวางผังเมืองว่าโซนไหนคือโซนที่อยู่อาศัย โซนไหนเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง ขณะเดียวกัน อสังหาริมทรัพย์เกิดใหม่ก็ไร้การควบคุมราคา ปั่นกันจนราคาที่อยู่กลางเมืองขึ้นไป 1-2 หมื่นบาทกันทั้งหมด จนทำให้ไม่มีใครอยากจับจองเป็นเจ้าของอีกต่อไป เลือกเช่าไปเรื่อยๆ เสียยังจะดีกว่า

ด้วยเหตุเช่นนี้ หากเงินเดือน 3 หมื่นบาท เลือกเช่าคอนโดมิเนียมไปแล้วสัก 1-1.2 หมื่นบาท เพื่ออยู่แถวรัชดาภิเษก อยู่แถวห้วยขวาง คำถามคือจะเหลือใช้เท่าไร เหลือเก็บเท่าไร แล้วจะสามารถทำอะไรต่อไปได้บ้าง แล้วหากรัฐบาลเกิดเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดปลดล็อก ต้องการเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาทำ Leasehold มากขึ้น จนต่างชาติเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าคนไทยต่อ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต

คำตอบอยู่ในสายลม

3. ค่าใช้จ่ายสำหรับแบก ‘พ่อแม่’ และ ‘ครอบครัว’ สูงกว่าที่คิด

ในประเทศที่ไม่มีระบบเงินออม และมีค่านิยมว่าด้วยเรื่อง ‘บุญคุณ’ นับเป็นเรื่องใหญ่ที่หากพ่อแม่เกิดผิดพลาดในการวางแผนการเงิน หรือเกิดล้มป่วย ลูกก็ต้องดูแลต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสังคมแบบไทยๆ ที่เมื่อไม่มีครอบครัว ก็ต้องดูแลพ่อแม่กันไปจนแก่เฒ่า วัยทำงานจำนวนหนึ่งต้องกันเงินไว้สำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับพ่อแม่ วัยทำงานอีกจำนวนหนึ่งจำต้องไปรับราชการเพื่อเอาสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ไม่มีสิทธิในการทำตามฝันของตัวเอง

ปัจจุบัน รัฐบาลดูแลผู้สูงอายุผ่านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งแน่นอนว่า ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบจนสามารถรักษาทุกโรคได้ง่ายดาย ไม่มีคิว และดูแลผู้สุงอายุผ่านเบี้ยคนชราเดือนละ 600-800 บาท ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอ ฉะนั้นหากผู้สูงอายุไม่ได้มีเงินเก็บมากพอที่จะเผื่อใช้หลังเกษียณกระทั่งเสียชีวิต ชนิดที่ว่ามีเงินในหลักล้านบาท ก็แปลว่าต้องเป็นค่าใช้จ่ายของลูกในการดูแลพ่อแม่ต่อไป

ถึงจุดนี้จึงเป็นเรื่องยากมาก ถ้าไม่มีต้นทุนอะไรในมือแล้วยังต้องดูแลพ่อแม่ให้ตลอดรอดฝั่ง โดยมีเงินเก็บเพื่อทำความฝันของตัวเองตามไปด้วย

.

4. ความทุกข์ทรมานของคนยุคนี้ มี ‘จ็อบ’ เดียวก็ไม่พอ

หากฟังคำคมจากบรรดาไลฟ์โคชทั้งหลายจะพบว่า หลักการสำคัญคือต้องมีอาชีพเสริมจากอาชีพหลักอีกที โดยให้อาชีพหลักเป็นเรื่องของค่าใช้จ่ายประจำ ส่วนอาชีพเสริมเป็นเรื่องของเงินเก็บเพื่อให้ได้ ‘แสนแรก’ หรือ ‘ล้านแรก’ เร็วๆ

แต่การมีอาชีพเสริมไม่ใช่เรื่องง่าย เอาอาชีพแรก – งานประจำโลกยุคผันผวนมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงมากมาย การต้องทำตามตัวชี้วัดในโลกทุนนิยม ในสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบาง มีเรื่องให้ท้าทายตลอดเวลา การจ้างงานไม่ได้เป็นเรื่องอู้ฟู่อีกต่อไป หากแต่การ ‘ลดคน’ เป็นเรื่องปกติ ฉะนั้น กอดงานประจำต่อไปก็เป็นเรื่องยากแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนในการหาจ็อบต่อไป

ขณะที่อาชีพเสริมยังต้องการเวลาที่แน่นอน และต้องการตลาดที่ยังมีการแข่งขันไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกัน การจะเริ่มทำอะไรก็ต้องมี ‘ต้นทุน’ ในด้านการค้นคว้า หาความรู้ บางคนอาจต้องลงคอร์สเสริมเพื่อให้เข้าไปสู่วงการอาชีพเสริมได้

จริงอยู่ว่าโอกาสนั้นมีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เป็นนายหน้า ฯลฯ แต่การเริ่มช้ากว่าก็เป็นเรื่องยากกว่าเป็นธรรมดา

ฉะนั้น หากมีจ็อบเสริมก็ขอให้คุณนำเงินจ็อบนั้นไปลงทุนต่อให้งอกเงย ให้เป็นประโยชน์มากกว่าจะหมดไปกับของที่ใช้ภายใต้จ็อบหลักอยู่แล้ว

จะเห็นได้ว่า การเป็นคนรุ่นใหม่ที่โตมาในยุคนี้ ไม่มีอะไรง่ายเลย ทุกเรื่องล้วนเป็นสิ่งท้าทายสมอง ท้าทายความสามารถพอตัว 

แต่แม้โอกาสจะยากเย็น ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะล้มเหลว ถ้าคุณสามารถวางแผนการเงิน ประเมินค่าใช้จ่าย หา ‘รายรับ’ ที่แน่นอน ทุกอย่างก็อาจง่ายขึ้น

Tags: , , , , ,