“ปัญหาใหญ่ที่สุดของคนเxี้ย คือพวกเขามักไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมของตัวเองส่งผลต่อคนอื่นอย่างไร และมักคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อ ไม่ใช่ผู้กระทำ” โรเบิร์ต ไอ. ซัตตัน (Robert I. Sutton) จากหนังสือ The Asshole Survival Guide: How to Deal with People Who Treat You Like Dirt

เคยไหมที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองคือ ‘ตัวปัญหา’ และมักโทษคนอื่นอยู่เสมอว่าทำงานไม่ได้เรื่อง เช่น เข้ามาเปลี่ยนแผนงานทุกอย่างก่อนเริ่มงานไม่กี่ชั่วโมง แม้ว่าจะผ่านการประชุมมานับสิบกว่าครั้งแล้วก็ตาม หรือทำอะไรตามใจตัวเองหน้างานทุกอย่าง แม้ว่าทีมงานมีการวางแผนมาเป็นเดือนๆ แล้วก็ตาม

และส่วนใหญ่มักเกิดจากผู้มีอำนาจที่เราไม่สามารถจะขัดคำสั่งได้

“อำนาจทำให้คนกลายเป็นเxี้ย เพราะมันตัดฟีดแบ็กทางสังคมที่ทำให้คนส่วนใหญ่รู้จักควบคุมตัวเองออกไป” ซัตตันยังกล่าวต่อว่า แถมคนเxี้ยพวกนี้ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนเฮงซวยจนกว่าจะมีคนบอกเขาตรงๆ 

หลายครั้งเมื่อไม่มีใครกล้าพูด ‘ฟีดแบ็ก’ กับผู้มีอำนาจ จึงทำให้คนเหล่านี้หลงคิดว่าตัวเอง ‘ถูกเสมอ’ 

คำว่า Asshole หรือ ‘คนเxี้ย’ มีความหมายในทางวิชากรหลายระดับ ซัตตันจึงจำแนกคนประเภทนี้ไว้ใหญ่ๆ 2 แบบคือ 1. เxี้ยแบบชั่วคราว (Temporary Asshole) และ 2. โคตรเxี้ยแบบได้โล่ (Certified Asshole) หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมเฮงซวยแบบสม่ำเสมอ 

รอน คารุซซี (Ron Carucci) เขียนบทความ Giving Feedback to Someone Who Hasn’t Had It in Years ใน Harvard Business Review ผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในฐานะโค้ชผู้บริหารและที่ปรึกษาองค์กร โดยเขาพบว่า ผู้นำจำนวนมากใช้เวลาหลายปี บางคนเป็นสิบปี หรือบางคนไม่เคยได้รับฟีดแบ็กเลย ซึ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าพฤติกรรมของตัวเองกระทบกับคนรอบข้างอย่างไร และคารุซซียังอธิบายต่อว่า ยิ่งผู้บริหารอยู่นานก็ยิ่งเชื่อว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง และส่งผลกลายเป็นพฤติกรรมเxี้ยๆ ที่ฝังรากลึกจนกลายเป็นนิสัย 

ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า หลายองค์กรยังมี ‘อำนาจนิยม’ หรือลำดับชนชั้น คนในทีมจึงมักเงียบเพราะกลัวว่าหากพูดไปจะเป็นการไม่ให้เกียรติ หรืออาจส่งผลกระทบต่ออาชีพ ซึ่งคารุซซียังยกผลงานวิจัยมาประกอบว่า เกือบ 2 ใน 3 ของคนทำงานไม่กล้าพูดความจริงกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่า

อีกผลสำรวจที่น่าสนใจคือ ผลสำรวจของ พอล เค. พิฟฟ์ ( Paul K. Piff) ในบทความชื่อ Higher social class predicts increased unethical behavior ที่สังเกตบริเวณสี่แยกที่มีสัญญาณให้หยุด และบันทึกพฤติกรมของคนที่ชอบขับรถตัดหน้าคนอื่น โดยใช้รถเป็นตัวแทนของสถานะทางสังคม โดยพบว่า รถหรูหรือ Upper-class มีโอกาสขับรถตัดหน้ารถคันอื่นอย่างมีนัยสำคัญ และยังมีโอกาสที่จะไม่ ‘หยุดรถ’ และไม่จอดให้คนเดินข้ามสูงกว่าเมื่อเทียบกับรถคันอื่น 

ผลสำรวจนี้จึงชี้ว่า คนที่อยู่ในสถานะที่สูงกว่า มีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมที่ไม่เคารพผู้อื่นมากกว่า ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่อำนาจและสถานะทางสังคม สามารถลดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น และเพิ่มพฤติกรรมที่สนใจเพียงแค่ตัวเองมากขึ้น

แล้วเราจะทำงานกับคนนิสัยแย่ แถมไม่รู้ว่าตัวเองเxี้ย และยิ่งไปกว่านั้นดันเป็นเจ้านายเราอีกได้อย่างไร

ซัตตันให้วิธีการอยู่รอดกับคนเxี้ยไว้ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยง ถ้ารู้ตัวว่าต้องเผชิญหน้าหรือตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ให้ถอยห่างและหนีออกมา อย่าปะทะทั้งทางกายและใจ
  2. รักษาระยะห่างกับคนเxี้ย โดยซัตตันแนะนำอย่างเป็นมาตรฐานว่า ต้องรักษาระยะห่างไว้ที่ 7.5 ฟุต หรือประมาณ 2.3 เมตร เพราะมีงานวิจัยระบุว่า ความเxี้ยสามารถติดต่อและส่งผ่านกันได้
  3. ลดการติดต่อ เนื่องจากคนเหล่านี้มักมีความสุข หรือชอบที่เห็นคนอื่นมีความทุกข์ หากไม่สามารถทำได้ก็ให้ทิ้งระยะห่าง เช่น ตอบกลับอีเมลช้าๆ
  4. ป้องกันตัวเอง โดยการบันทึกพฤติกรรมและสร้างขอบเขตที่ชัดเจน
  5. ต่อสู้กลับ ตั้งขอบเขตที่ชัดเจน เช่น ถ้าเขาทำแบบนี้อีกฉันจะทำ… แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนประเภทเดียวกับเขา หรืออย่าใช้วิธีเxี้ยตอบ เพราะการกระทำนี้อาจกลับมาทำร้ายตัวเราได้
  6. ตรวจสอบตัวเองว่าเรากลายเป็นคนเxี้ยหรือยัง ซัตตันระบุว่า “อย่ารีบในการรีบตัดสินหรือเรียกคนอื่นว่าเป็น ‘คนเxี้ย’ แต่ให้สำรวจตัวเองให้เร็วว่าบางทีเราเองก็อาจกำลังทำตัวแบบนั้นอยู่หรือเปล่า
  7. สร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ เพื่อไม่ให้คนที่มีพฤติกรรมนี้อยู่รอดเช่น ระบบฟีดแบ็กและสร้างคู่มือให้ตัวเองอยู่รอด โดยการออกแบบชีวิตการทำงานของตัวเองให้ปลอดภัยจากคนเxี้ย

“คุณอาจกำจัดคนเxี้ยออกจากชีวิตไม่ได้ แต่คุณสามารถออกแบบแผนชีวิตเพื่อไม่ให้พวกเขามีอำนาจทำให้คุณทุกข์ได้แน่นอน” ซัตตันระบุ

 

ที่มา:

https://www.harpercollins.com/products/the-asshole-survival-guide-robert-i-sutton

https://hbr.org/2020/01/giving-feedback-to-someone-who-hasnt-had-it-in-years

– https://greatergood.berkeley.edu/article/item/power_paradox

Tags: , , ,