บทความเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์
น่าจะนับเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ของอุตสาหกรรมหนังไทยในรอบปี 2019 เลยก็ว่าได้เมื่อ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ทำรายได้เปิดตัวที่ 55 ล้านบาท (นับเฉพาะในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล) และมีแนวโน้มว่ากว่าจะหมดรอบฉาย หนังอาจกวาดรายได้ไปทั้งสิ้นเกินกว่าร้อยล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขสูงลิ่วโดยเฉพาะเมื่อมองจากความซบเซาในระยะหลังๆ ของวงการหนังไทย
มีอยู่หลายเหตุผลว่าทำไมหนัง ‘ตุ๊ดซี่ส์’ จึงระเบิดฟอร์มได้สวยงามนับตั้งแต่วันแรกที่ลงโรงฉาย ข้อแรก มันสร้างมาจากเพจบนเฟสบุ๊คที่มีกลุ่มผู้ติดตามกว่าล้านคนอย่าง ‘บันทึกของตุ๊ด’ ของธีร์ธวิต เศรฐไชยหรือ คุณช่า ที่เล่าสิ่งละพันอันละน้อยที่เธอประสบพบเจอรายวัน —และมักเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวจนคนอ่านเชื่อมโยงตัวเองด้วยได้— เป็นบทความสั้นๆ ลงเพจ ก่อนจะได้รับการดัดแปลงเป็นซีรีส์ในชื่อ ไดอารีตุ๊ดซีส์ เดอะซีรีส์ ในปี 2016 และได้รับความนิยมถล่มทลายจนสร้างซีซั่นที่สองในปีถัดมา เรื่องราวของคุณช่าและเพื่อนๆ จึงมีฐานแฟนที่แน่นหนาอยู่ก่อนที่มันจะถูกนำมาสร้างเป็นหนังเสียอีก
ข้อสอง สืบเนื่องจากข้อแรก เพราะหนังเอานักแสดงนำจากซีรีส์มารับบทเป็นตัวละครเดิมที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันครบถ้วน ทั้ง เพชร—เผ่าเพชร เจริญสุข, ปิงปอง—ธงชัย ทองกันทม, พีค—ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ, เต๋อ—รัฐนันท์ จรรยาจิรวงศ์ และผู้กำกับ กิตติภัค ทองอ่วม ที่รับหน้าที่ดัดแปลงและรังสรรค์เรื่องราวของผู้คนในเรื่อง
ข้อสาม มันเต็มไปด้วยนักแสดงระดับแม่เหล็กที่ทั้งมาในฐานะแสดงนำอย่าง ชมพู่—อารยา เอ ฮาร์เก็ต สองหนุ่มอย่าง เจเจ—กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา หรือในฐานะรับเชิญที่สร้างสีสันของเรื่องอย่าง, โอปอล์—ปาณิสรา อารยะสกุล, พอลล่า เทเลอร์, ไอซ์—พาริส อินทรโกมาลย์สุต ฯลฯ
และข้อสี่ มันคือหนังตลกอารมณ์ดีย่อยง่าย ที่น่าจะถูกปากถูกใจคนดูเป็นกลุ่มใหญ่ จึงไม่ผิดคาดนักที่มันจะเปิดตัวด้วยรายได้สูงลิ่วระดับทำสถิติ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่หนังไทยสักเรื่องไปได้ถึงจุดนั้น หากแต่ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ก็มีแง่มุมที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า ภายใต้ฉากหน้าที่เป็นหนังดูง่ายสบายอารมณ์นั้น มันกำลังนำเราไปสู่อะไร และมีสิ่งไหนที่อาจจะซุกซ่อนอยู่ใต้ม่านของความตลกนั้น
กอล์ฟ (ปิงปอง ธงชัย) กะเทยผู้เป็นช่างแต่งหน้ามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับ แคธี่ (ชมพู่ อารยา) นักแสดงสาวเบอร์ใหญ่ของวงการหนังไทยที่มาในลุคสูงสง่าเพียบพร้อม แต่ยังไม่ทันได้ร่วมงานกันอย่างจริงจัง กอล์ฟกับคิม (เต๋อ รัฐนันท์) —เกย์หนุ่มเพื่อนรักที่ถูกลากให้มาช่วยงานด้วย— ก็ดันเป็นต้นเหตุสำคัญให้แคธี่เกิดอุบัติเหตุจนสลบเหมือด ต้องไปนอนเข้าเฝือกคอในโรงพยาบาลทั้งที่รับงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์สินค้าใหญ่แบรนด์หนึ่งไปแล้ว ซึ่งหากเรื่องที่แคธี่ไม่มีศักยภาพในการไปทำงานได้ตามสัญญาหลุดรั่วออกไปให้บริษัทลูกค้าได้ยินเข้า ทั้งกอล์ฟและคิมคงไม่แคล้วจ่ายค่าเสียหายกันตกห้าสิบล้าน และเพื่อไม่ให้ความหายนะระดับโลกถล่มเกิดขึ้นกับชีวิต (ซึ่งก็พินาศมากพออยู่แล้ว) ทั้งสองจึงต้องควานหาคนหน้าเหมือนมารับบทเป็นแคธี่ไปทำงานให้บริษัทลูกค้าไปก่อน
กัส (เพชร เผ่าเพชร) เลยต้องเข้าไปช่วยเหลือกอล์ฟกับคิมในปฏิบัติการลวงโลกหาคนหน้าเหมือนแคธี่ ทั้งที่ตัวเองก็เผชิญมรสุมชีวิตน่าเวียนหัวเมื่อ วิน (กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา) คนรักหนุ่มพาญาติตัวน้อยมาเลี้ยงในบ้านทั้งที่ตัวกัสเองไม่ได้เอ็นดูอะไรเด็กเป็นพิเศษนัก มิหนำซ้ำเจ้าหลานตัวดียังเปิดเพลงดังบ้านแทบระเบิดจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ก็ยังต้องสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนรักเด็กเพื่อเอาใจวิน พร้อมกันนี้ ท็อป (เจเจ กฤษณภูมิ) คนรักเก่าก็หวนกลับมาในชีวิตอีกครั้งจนนำมาสู่ทางแพร่งที่กัสต้องเลือกว่าจะอยู่กับวินหรือหวนกลับไปเริ่มใหม่กับท็อป ขณะที่ แนตตี้ (พีค ภัทรศยา) เลสเบี้ยนสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มก็ต้องเผชิญชะตากรรมน่าหดหู่ไม่ต่างจากเพื่อนๆ เมื่อแม่มีแนวโน้มจะไม่ยกมรดกให้หากว่าเธอไม่มีลูกให้เห็นเป็นตัวเป็นตน แนตตี้จึงต้องหาทาง ‘ทำลูก’ เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินนับล้าน
สี่สหายควานหาตัวคนที่หน้าเหมือนแคธี่แทบพลิกแผ่นดิน และไปเจอเข้ากับ เจ๊น้ำ (ชมพู่ อารยาอีกเช่นกัน) แม่ค้าขายอาหารริมทางเจ้าของร้านกะหรี่ไฟแลบ ที่ศัลยกรรมหน้ามาจนเหมือนแคธี่แทบทุกระเบียดนิ้วจนน่าจะเป็นตัวตายตัวแทนในการสวมรอยดาราดังได้ ติดก็แต่ที่ เจ๊น้ำมาพร้อมฝีปากจัดจ้านและบุคลิกสุดเถื่อนดุดันคนละโลกกับแคธี่ตัวจริง ชมรมลวงโลกทั้งสี่จึงต้องร่วมมือกันจับเจ๊น้ำแปลงโฉมและกิริยาให้ใกล้เคียงกับตัวจริงที่นอนน็อคอยู่ที่โรงพยาบาลให้ได้มากที่สุด
ลำพังพล็อตเรื่องสนุกสนานแบบนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่หนังจะเรียกคนดูให้ตีตั๋วเข้าโรงได้ แต่หนังยังมีไม้เด็ดอีกอย่างที่เปิดตัวกันตั้งแต่ตัวอย่างคือการที่นักแสดงลุคแพงสุดขีดอย่างชมพู่ อารยา ให้มารับบทเป็นแม่ค้าดิบๆ พูดจาห้าวห้วนถึงขั้นระเบิดคำหยาบ (ที่ในชีวิตปกติเราคงไม่ได้ยินนักแสดงสาวพูดคำนี้ออกสื่อแน่ๆ) ในทีเซอร์ และบุคลิกดิบกร้าว (ที่ก็คงไม่มีทางได้เห็นบ่อยๆ อีกเหมือนกัน) มันจึงเป็นบทบาทที่พลิกคาแร็กเตอร์ของชมพู่ อารยาที่หลุดจากภาพจำนักแสดงสาวไฮโซ และชวนให้คนดูพร้อมใจกันซื้อตั๋วหนังเข้าไปเพื่อชมความบันเทิงอย่างเต็มอรรถรสในจอใหญ่ และเต็มอิ่มกับอารมณ์ขันที่ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค มอบให้ ไม่ว่าจะเป็นหายนะระดับภัยพิบัติของกอล์ฟและคิมที่มีหนี้ 50 ล้านจ่อคอ, แผนการหาเรื่องเสียตัวสุดฉาวของแนตตี้ที่แม้จะชอบผู้หญิงแต่ก็จะตั้งท้องเพื่อเอาเงินมรดก, เจ๊น้ำที่ต้องแปลงร่างเป็นแคธี่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ เพราะคาแร็กเตอร์ไกลตัวมากเหลือเกิน เพราะนี่คือการพลิกชีวิตจากแม่ค้ายืนผัดข้าวข้างทางมาสู่การเป็นดาราดังแถวหน้าในเวลาไม่กี่วันภายใต้เงื่อนไขสารพัดที่เธอต้องประคองไว้ไม่ให้ความแตกเสียก่อน
คำถามคือ นี่เป็นอารมณ์ขันที่เราสะดวกสบายใจที่จะหัวเราะกับมันจริงๆ หรือ
ก็ใช่ ที่ว่าเราไม่ผิดที่จะหัวเราะกับชะตากรรมซวยซ้ำซวยซ้อนของตัวละครแบบที่มักปรากฎในหนังตลกหลายๆ เรื่อง และก็ใช่อีกเหมือนกัน ที่เหล่านักแสดงสวมบทบาทและทำหน้าที่ของพวกเขาและพวกเธอได้อย่างดีเยี่ยมจนคนดูรู้สึกบันเทิงเต็มขั้นในเวลาเก้าสิบนาทีของหนัง
เป็นธรรมดาของหนังตลกสังขารที่ตัวละครต้องเผชิญวิบากกรรมมากมายที่ไม่ได้ถูกจับจ้องด้วยท่าทีจริงจัง (ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นหนังดราม่าไปในทันที) แบบที่ถ้าในหนังตะวันตก เราก็จะได้เห็นแก๊งเพื่อนชายต้องตามเก็บซากความบัดซบที่พวกเขาก่อไว้ตอนเมาใน The Hangover (2009) หรือมุกสัปดนใน We’re the Millers (2013) เมื่อตัวละครโดนแมงมุมพิษกัดกระจู๋ (เอ่อ…) ที่ไม่ว่าจะดูอีกกี่รอบก็ยังเป็นฉากโปกฮาที่สุดฉากหนึ่งของหนังอยู่ดี แต่แล้วอะไรกันที่ทำให้เราอาจหัวเราะกับ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ได้ไม่สุด โดยเฉพาะเมื่อเพ่งมองเข้าไปถึงเนื้อในอารมณ์ขันเหล่านั้น
แตกต่างจากเหล่าชายฉกรรจ์ที่เมาหัวราน้ำจนก่อเรื่องวินาศสันตะโรหรือเด็กหนุ่มที่จู๋บวมเป่งเพราะโดนแมงมุมกัด นั่นคือหนังที่เรายกตัวอย่างมาข้างต้นไม่ได้จับจ้องไปยังตัวละครด้วยสายตาของความ ‘เอ็นดู’ แบบที่ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค เป็น เมื่อมองไปยังตัวละครอย่างเจ๊น้ำ หญิงสาวที่เป็นแม่ค้าขายอาหารข้างทาง
กว่าครึ่งของหนังคือการที่เธอต้องเจอกับเหล่าตัวละครที่มาจากชนชั้นกลางที่มีฐานะและรสนิยมดีกว่าเธออย่างสี่สหาย พร่ำบอกด้วยน้ำเสียงเอือมระอาว่าสิ่งที่เธอเป็นนั้นมันหยาบช้าถึงเพียงไหน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับแคธี่ผู้เป็นห่วงโซ่สูงสุดของดาราหนัง (“เหมือนฝึกปลาตีนให้เป็นหงส์!”) และนี่เองที่ทำให้เรารู้สึกหัวเราะกับชะตากรรมของเจ๊น้ำได้ไม่สุดนักเพราะรู้สึกอึดอัดกับมุมมองที่หนังจับจ้องตัวละครที่ไม่ได้เป็นชนชั้นกลางอย่างเจ๊น้ำ ยิ่งกับท้ายที่สุด เมื่อหนังนำเราไปสู่บท ‘สอนใจ’ ที่ชนชั้นกลางค่อนไปทางด้านบนอย่างแคธี่ บอกเจ๊น้ำว่าหากอยากปรับปรุงตัวเองก็ควรเริ่มจากการไม่พูดคำหยาบ (ซึ่งเรื่องที่ชวนย้อนแย้งคือ หนัง ‘ขาย’ การพูดคำหยาบผ่านปากนักแสดงเบอร์ใหญ่ลุคแสนแพงอย่างชมพู่ อารยานี่แหละ)
ดูเหมือนว่าสำหรับหนังแล้ว หากว่าตัวละครที่ดูมีภาษีทางชนชั้นมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงก็ดูจะถูกบอกเล่าด้วยสายตาอีกแบบหนึ่ง เช่น การที่คิม กัส หรือแม้แต่ผู้กำกับหนังโฆษณาที่ทำตัวเถื่อนถ่อยสบถคำหยาบแทบทั้งเรื่อง หนังก็ไม่ได้มองมันอย่างเป็นปัญหาเท่ากับการที่เจ๊น้ำเคาะกระทะไปพลางลั่นคำหยาบไปพลาง ก็ใช่ว่ามันคือหนังตลกที่พฤติกรรมเหล่านี้มันถูกเล่าด้วยท่าทีบันเทิง แต่ไปพร้อมกันนั้น เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การไม่ตั้งคำถามเลยและหัวเราะใส่มันเพียงอย่างเดียวนั้นโอเคแล้วจริงๆ หรือ
เพราะการเป็นหนังตลก หนังคอเมดี้ชวนหัวไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ซุกซ่อนอะไรไว้ใต้พรมเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าจะมีแต่หนังรางวัล หนังดราม่าเท่านั้นหรอกที่จะสะท้อนบางอย่างในสังคมออกมา แต่หนังบันเทิงที่ปราศจากน้ำเสียงจริงจังแบบนี้ต่างหากที่มักจะเผยทัศนคติบางอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ (หรืออาจจะตั้งใจก็ได้) เสมอ มันจึงเป็นความเหยียดที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ ความ ignorance บางประการ ก่อให้เกิดการ ‘สอนใจ’ ผ่านปากตัวละครชนชั้นกลางที่มีต่อตัวละครจากชนชั้นล่าง
ไม่ได้แปลกอะไรที่ฉาก ‘อุทาหรณ์สอนใจ’ จะมีขึ้นในหนัง แต่มันชวนให้กังขาอยู่เหมือนกันเมื่อถึงที่สุดแล้ว คนที่รับบท ‘สอนสั่ง’ คือตัวละครจากชนชั้นกลางที่มองลงมายังตัวละครชั้นล่างกว่า หรือแม้แต่การสอนใจตัวละครด้วยกันเอง มันก็ยังเป็นไปในลักษณะเพื่อนเตือนเพื่อนแบบที่กัสสอนใจแนตตี้หรือสอนใจตัวเองว่าอย่าหลอก อย่าเฟคการเป็นตัวเองเลย แต่ไม่มีตัวละครไหนเลยที่ถูกสั่งสอนแบบเดียวกับที่ตัวละครเจ๊น้ำโดน
เราหัวเราะให้กับความโปกฮาของหนังตลก เราชอบหนังตลกเพราะมันเบาสมอง แต่กับบางเรื่อง เมื่อมองผ่านม่านเสียงหัวเราะและเจาะเข้าไปข้างใต้ เราก็อาจพบน้ำเสียงการเล่าเรื่องบางอย่างที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับความฮา นั่นคือความขมขื่นของตัวละครที่ต้นทุนชีวิตไม่ดี ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าของตัวเองเท่านั้น
Tags: ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์, ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ 2, Tootsies and the Fake