ในวันนี้ ‘นาฬิกา’ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องประดับที่มีความพิเศษและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพียงแค่มองก็รับรู้ได้ทันทีว่า ฐานะและรสนิยมของผู้สวมใส่เป็นอย่างไร จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เครื่องประดับชนิดนี้ถูกสะสม เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่า ที่แม้แต่ ‘เวลา’ ก็ไม่สามารถลดทอนมูลค่าได้
หากมองในแง่การแข่งขัน นาฬิกาถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง เพราะยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ออกสินค้าที่ดีไซน์ตรงใจกับรสนิยมของผู้สวมใส่ให้เลือกซื้อในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วโลก โดยในตลาดมีแบรนด์ต่างๆ ให้ผู้สวมใส่ได้เลือกมากกว่า 70 แบรนด์ ไม่ว่าจะเลือกซื้อเพื่อสวมใส่เอง หรือซื้อเพื่อสะสมความมั่งคั่งในอนาคต
ทว่ามีนาฬิกาอยู่แบรนด์หนึ่งเป็นที่พูดถึงในสังคมเมื่อไม่นานนี้ ภายหลัง ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล สมาชิกวง BLACKPINK ออกงานพร้อมกับ เฟรเดอริก อาร์โนลต์ (Frederic Arnaulth) ทายาทของเครือบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศสอย่าง LVMH หรือ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton ทำให้นาฬิการะดับไฮเอนด์แบรนด์หนึ่งที่มีโลโก้ 5 เหลี่ยม สีแดง-เขียว อันเป็นเอกลักษณ์ อย่าง ‘TAG Heuer’ กลายเป็นที่สนใจในเวลาต่อมา
แน่นอนว่านาฬิกาหรูแบรนด์นี้อยู่ภายใต้การบริหารงานของเครือ LVMH บริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ของโลกที่เน้นทำตลาดในภูมิภาคที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ก็มีแนวโน้มการเติบโตของตลาดนาฬิกา Luxury อยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน จากการเก็บสถิติของ Statista พบว่า ในปี 2024 ตลาดนาฬิกาหรูใน APEC มีมูลค่าสูงถึงกว่า 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีตัวเลขการเติบโตเฉลี่ย 7 ปี อยู่ที่ 2.79%
เมื่อปีที่ผ่านมา TAG Heuer มีการลงทุนมาเปิดแฟล็กชิปสโตร์ที่ศูนย์การค้าระดับโลกอย่างสยามพารากอน ชวนให้กลุ่มนักลงทุนตั้งคำถามไม่น้อยว่า แบรนด์นาฬิกาเจ้านี้มีเป้าหมายอย่างไรต่อ และมองเห็นโอกาสตรงไหนในประเทศไทย
The Momentum มีโอกาสพิเศษได้ร่วมพูดคุยกับ บรีซ ชาบลิกิน (Brice Tchaplyguine) กรรมการผู้จัดการเอเชียแปซิฟิกแบรนด์ TAG Heuer เกี่ยวกับการเติบโตและตลาดนาฬิกาในภูมิภาค รวมถึงแผนการดำเนินการต่อไปในอนาคตอันใกล้
บรีซเริ่มบทสนทนาด้วยการเล่าถึงประวัติส่วนตัวกับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการว่า เริ่มต้นมาดูแลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ก่อนหน้านี้ดูแลในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีการเปิดสาขาในศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Dubai Mall ซึ่งมียอดขายสูงมากที่สุดในภูมิภาคนั้น อีกทั้งยังได้เปิดตลาดใหม่ๆ อย่างประเทศซาอุดีอาระเบียที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการสร้างรายได้ในอนาคต
“ภายหลังที่ดูแลตะวันออกกลางมากว่า 3 ปี ผมได้ย้ายมาดูแลทวีปเอเชีย โดยมีสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางภูมิภาค ทำให้ผมมีเป้าหมายที่จะดูแลตั้งแต่อาเซียน เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่มีทีมที่แข็งแรง เข้าใจตลาดเป็นอย่างดี สามารถสร้างการเติบโตได้ในปีต่อๆ ไป”
กรรมการผู้จัดการยังกล่าวเสริมอีกว่า สำหรับประเทศไทย เขาเข้ามาดูแลในทุก 2 เดือน เพื่อมาดูที่สาขา และพบปะกับผู้ให้เช่าพื้นที่ เพื่อแผนการดำเนินงานในอนาคต
“ผมมาเมืองไทยอยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลาก็ตาม ผมจะเข้ามาพูดคุยกับเจ้าของพื้นที่ให้เช่าสาขาว่า ในอนาคตจะมีโปรเจกต์อะไรใหม่ๆ ที่สามารถร่วมกันทำได้ นอกจากนั้นแล้วผมยังจะได้มีโอกาสพบปะกับทีมเพิ่มเติม ซึ่งทีมของผมนั้นเป็นทีมที่เก่งมาก ทุกครั้งที่มาเหมือนเป็นการเติมพลังการทำงานให้กับผม”
บรีซยังบอกอีกว่า การมีพาร์ตเนอร์ที่ดีและความเชื่อของพนักงานกว่า 360 คนที่มีร่วมกัน เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ TAG Heuer ประสบความสำเร็จ
“พอจะเล่าสถานการณ์ภาพรวมในภูมิภาคนี้ให้ฟังได้ไหม” ผู้เขียนถาม
บรีซกล่าวว่า สถานการณ์ในภูมิภาคนี้มีพลวัตมาก พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ในออสเตรเลียที่มีการเปิดสาขาทุกหัวเมือง ไม่ว่าจะเป็นซิดนีย์ (Sydney), เมลเบิร์น (Melbourne) และแอดิเลด (Adelaide) ทำให้มีมูลค่าการซื้อขายในระดับที่สูงมาก ออสเตรเลียจึงนับเป็นอีกประเทศที่มีความสำคัญต่อแบรนด์
ขณะที่เกาหลีใต้ เขากล่าวว่า เป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพเช่นกัน โดย TAG Heuer เข้าไปลงทุนในเม็ดเงินมหาศาลเพื่อทำการตลาด โดยได้ วี ฮาจุน (Wi Ha Joon) นักแสดงเกาหลีใต้ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ พร้อมสำหรับการเติบโตอย่างเข้มแข็งในอนาคต
“สำหรับประเทศไทยเอง ก็นับว่าเป็นอีกประเทศที่สำคัญ ปีที่ผ่านมาเราได้เปิดสาขาแฟล็กชิปไปที่สยามพารากอน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ LVMH เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง TAG Heuer อีกด้วย
“เราลงทุนในตลาดนี้อย่างมาก มีการจัดกิจกรรมทางการตลาดไปตั้งเยอะ ซึ่งทั้งหมดคือการสร้าง คอมมูนิตี้ของแบรนด์ให้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย หากพูดแบบสรุปๆ แล้ว ผมว่าเมืองไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่สูงมาก”
บรีซยังกล่าวอีกว่า ต่อจากนี้อีก 5-10 ปี ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของแบรนด์ ดังนั้นจะเห็นว่าแบรนด์จะมีการทำการตลาดอยู่เสมอในประเทศไทย เพราะมีช่องว่างในตลาดให้เติมเต็มอีกมาก
“คนไทยมีกำลังซื้อสูง สร้างอิทธิพลได้มากในภูมิภาค ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงพัฒนาการของแบรนด์ในแง่ต่างๆ ด้วย
“ในอนาคต เรามีแผนจะขยายสาขาอื่นๆ ในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป วันนี้สยามพารากอนเป็นตัวอย่างที่ดีมาก แต่ในไทยยังมีเอ็มควอเทียร์และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมไปถึงโครงการใหม่ๆ ที่เราจะอยากเข้าไปมีส่วนร่วมอีกมาก” กรรมการผู้จัดการกล่าว
“ได้ยินมาว่า TAG Heuer เป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ เหตุใดจึงเป็นนั้น”
บรีซตอบคำถามนี้ว่า อินฟลูเอนเซอร์ (Influencers) มีผลเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าตลาดคนรุ่นใหม่เป็นตลาดที่เราให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ
“ในยุคที่โซเชียลมีเดียรุ่งเรือง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลุ่มอินฟลูเอนเซอร์มีผล ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงชาวไทย หรือแม้แต่ศิลปินเคป็อปเอง ก็มีอิทธิพลอย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เราจึงพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ที่มีศักยภาพนั้น เพื่อสร้างการคอมมูนิตี้ให้เกิดขึ้น
“เราเป็นส่วนหนึ่งของเครือ LVMH เราจึงต้องสร้างความต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าผู้คนก็ยังคงต้องการนาฬิกาของเรา
“มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ต้องสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขาซึมซับดีเอ็นเอของแบรนด์” บรีซอธิบาย
กรรมการผู้จัดการฯ บอกกับเราว่า กลยุทธ์การสื่อสารจะต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ ผ่านกระบวนการคิดและไตร่ตรองมาแล้วว่า แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใดมีผลต่อผู้บริโภค อีกทั้งแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้นจะต้องสะท้อนความเป็น TAG Heuer ออกมา ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามและความสปอร์ต ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ที่เด่นชัด
TAG Heuer เป็นแบรนด์นาฬิกาที่มีความหลากหลายของ Looks & Feels ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่เหมาะสมกับตัวเอง บรีซกล่าวว่า จากความหลากหลายนั้นเป็นสินทรัพย์ (Asset) ที่มีคุณค่ามาก
“TAG Heuer เป็นแบรนด์ที่ยอดเยี่ยม มีตัวตนที่แข็งแรงระหว่างความสปอร์ตกับความสง่างาม มีจิตวิญญาณความก้าวหน้าอยู่ในดีเอ็นเอ ผู้บริโภคสามารถเลือกนาฬิกาที่แมตช์กับความต้องการของตนเองได้
“สมมติว่าคุณไปดูการแข่งขันฟุตบอล คุณก็สามารถใส่รุ่น Carrera กับเสื้อเชิ้ตธรรมดาหรือใส่เสื้อโปโลตัวโปรดได้ มันเป็นดีเอ็นเอที่ลงตัวระหว่างความสปอร์ตกับความสง่า นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกชื่นชอบมากในตัวของ TAG Heuer”
นอกจากเรื่องรูปลักษณ์แล้ว TAG Heuer ยังเป็นนาฬิกาที่มีความแม่นยำในระดับที่สูงมาก จนถูกนำไปใช้จับเวลาในการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน (Formula One: F1) โดยเบื้องหลังความสำเร็จนี้ บรีซเล่าให้ฟังว่า ในการผลิตนาฬิกา เรื่องความแม่นยำเป็นสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของแบรนด์อยู่แล้ว
“เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจับเวลา ดังนั้นแล้วความแม่นยำเป็นสิ่งที่เราได้สื่อสารกับผู้ผลิตอยู่ตลอด TAG Heuer ผลิตครั้งแรกตั้งแต่ปี 1860 เรามีจุดเริ่มต้นที่แข็งแรง อีกทั้งแบรนด์ของเรายังถูกนำไปใช้ในการแข่งขันรถแข่ง ดังนั้นจึงไม่มีพื้นที่สำหรับความผิดพลาด”
“ถ้าวันนี้ให้เลือกนาฬิกาเรือนโปรด คุณจะใส่เรือนไหน”
บรีซนิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบว่า “ถ้าวันนี้ ผมเลือกโมนาโค (TAG Heuer Monaco) เพราะเป็นนาฬิกาเรือนที่สามารถสะท้อนตัวตนความเป็น TAG Heuer ได้เป็นอย่างดี
“แต่ถ้าให้ผมเลือกที่จะเก็บสะสม ผมเลือกรุ่นสตีฟ แม็คควีน (Steve McQueen) เพราะเป็นหนึ่งในเรือธงของแบรนด์ มีรูปทรงสี่เหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนมองแล้วเห็นรู้ว่าเป็นนาฬิกของ TAG Heuer และรุ่นนี้ยังเป็นรุ่นที่ทำให้ TAG Heuer ประสบความสำเร็จอีกด้วย” บรีซกล่าวทิ้งท้ายก่อนจบการสนทนา
Tags: Fashion, นาฬิกา, The Chair, TAG Heuer, LVMH