วันนี้ ‘คอกกั้นเด็ก’ กลายมาเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการเลี้ยงลูกในปัจจุบัน เช่นเดียวกับเจ้าของแบรนด์ HOYO ที่เกิดขึ้นจากความต้องการคอกกั้นเด็ก แต่กลับพบว่าของที่มียังไม่ถูกใจ ยังไม่ปลอดภัยเพียงพอ และไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าเหมาะที่สุดสำหรับลูก จึงมีความตั้งใจอยากจะสร้างผลิตภัณฑ์คอกกั้นเด็กของตัวเองขึ้นมา
เพราะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความตั้งใจจริงจากคุณแม่ ต้องถูกคิดในทุกมิติเพื่อให้สินค้าปลอดภัยและคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อการสร้างบ้านหลังแรกของลูกที่ต้องลงตัวทั้งในแง่วัสดุ ความปลอดภัย และรูปแบบการใช้งาน จึงกลายเป็นสินค้าภายใต้แนวคิดฉีกภาพคอกกั้นแบบเดิมๆ ที่ชื่อ ‘HOYO’
The Momentum ชวน ก้อย-ญาภัทร สรรพวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮโยยูไนท์กรุ๊ป จำกัด ผู้ริเริ่มผลิตคอกกั้นเด็ก HOYO พูดคุยถึงเบื้องหลังการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดและการปรับตัวของธุรกิจในขณะที่ประชากรเกิดใหม่น้อยลง
อ้อมกอดว่าที่คุณแม่ สู่อ้อมกอดแบรนด์ HOYO
“ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อนที่เราเริ่มทำ HOYO คอกกั้นเด็กยังใช้หนังเทียม PVC มาทำอยู่เลย ซึ่งเรารู้สึกว่า PVC เป็นอะไรที่อันตรายมากๆ จะเอามาใช้กับเด็กไม่ได้ และเราไม่มีทางยอมที่จะเอามาใช้กับลูกของเรา เพราะคอกกั้นเด็กมันเป็นสิ่งที่เด็กต้องอยู่ในนั้น ทั้งใช้ชีวิต สูด ดม กัด เลีย แล้วหนังเทียมพวกนี้มันมีสารอันตรายค่อนข้างเยอะ เราไม่อยากให้ลูกเราใช้ก็เลยตัดสินใจทำของตัวเองขึ้นมา”
หลังจากพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องมาตรฐาน และความปลอดภัยของตนเองที่กำลังวางแผนมีลูก ญาภัทรจึงตั้งใจคิดและออกแบบคอกกั้นเด็กขึ้นมาเอง โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์จากการทำงานพัฒนาสินค้าเด็กในประเทศอังกฤษ ซึ่งได้เรียนรู้มาตรฐานของใช้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กอ่อนในต่างประเทศ
รวมถึงการได้ลองทำธุรกิจ OEM ของครอบครัว ที่ผลิตชิ้นส่วนเบาะที่นั่งรถจักรยานยนต์ให้กับบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น อย่าง Honda และ Kawasaki ทำให้มีองค์ความรู้ในการสร้างผลิตภัณฑ์สู่ตลาด ภายใต้ชื่อแบรนด์ HOYO (โฮโย) เมื่อปี 2560 ซึ่งมาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า กอด โดยตั้งใจให้สื่อถึงความอบอุ่น ความปลอดภัย และความรักของคุณแม่ที่มีให้ลูก ในขณะเดียวกันก็พ้องกับชื่อเต็มบริษัท (บริษัท โฮโยยูไนท์กรุ๊ป จำกัด) ที่มีตราปั๊มเป็นตัวอักษร HUG แปลว่ากอดเหมือนกัน สร้างความไว้วางใจกับลูกค้าว่า ‘ลูกน้อยจะปลอดภัยในอ้อมกอดของโฮโย’
ฉีกภาพคอกกั้นเด็กแบบเดิมๆ
ช่วงอายุ 0-1 ปีควรเป็นช่วงที่เด็กจะได้เรียนรู้และฝึกพัฒนาการ ปกติเวลามีลูก พ่อแม่จะไม่สามารถคลาดสายตาจากลูกน้อยได้เลย เพราะกลัวว่าลูกจะเกิดอุบัติเหตุ จึงมองหาคอกกั้นเด็กเป็นตัวช่วยทุ่นแรงในการเลี้ยงลูก เพื่อให้สามารถทำกิจกรรมไปด้วยในเวลาเดียวกัน ดังนั้นคอกกั้นเด็กจึงควรมีความสูงเข้าไว้ก่อน เพื่อป้องกันเด็กจะปีนออกมา ในช่วงที่ละสายตาไปจากเขา
ทว่า HOYO กลับแตกต่างจากสินค้าในท้องตลาดทั่วไปคือ การฉีกกฎ ‘ยิ่งสูงยิ่งดี’ ซึ่งปกติจะมีความสูง 60-80 เซนติเมตร คนจะมองว่าคอกกั้นเด็กคือที่ขังเด็ก แต่ญาภัทรกลับคิดต่าง พยายามมองในมุมใหม่จนเกิดคำถามว่า “ทำไมต้องขังเด็ก” เพราะคอกกั้นเด็กควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) และฝึกพัฒนาการเด็กมากกว่า จึงออกแบบความสูงของคอกกั้นเด็กเพียง 50 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งเด็กสามารถมองออกมาภายนอกได้โดยไม่รู้สึกว่าถูกขัง สามารถต่อขยายและปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ จากการผลิตที่อาศัยหลักการ Modular และแต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากันแบบสมมาตร ทำให้พับเก็บได้และมีน้ำหนักที่เบา โดยที่ตอนนั้นยังไม่มีผู้คิดค้นการทำคอกกั้นเด็กในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นคอกกั้นที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนย้ายลำบาก รวมทั้งนิยมใช้สีสันฉูดฉาดในการออกแบบ ซึ่งต่างจากคอกกั้นเด็ก HOYO ที่ออกแบบให้สวยงามบางเบา Minimal เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งของบ้านได้
“เราฉีกกฎเลยว่า คอกกั้นเด็กของ HOYO จะสูงเพียง 50 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่ง 50 เซนติเมตรเป็นความสูงที่เด็ก 6 เดือนสามารถเกาะยืนแล้วก็เดินได้ ถ้าสูงกว่านั้นเด็กจะเกาะไม่ถึง แล้วพ่อแม่จะต้องมาคอยอุ้ม ถ้าเราปล่อยให้ยืนตัวตรงได้พอมีพื้นที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย มันก็ส่งเสริมพัฒนาการ พอช่วงวัย 9-10 เดือน ถึงวัยที่เด็กเดินแล้วสามารถเปิดประตูฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ให้เด็กไปเรียนรู้ภายนอก ทำให้คอกเป็นบ้านหลังแรกที่โตไปกับเขา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะกลับมายังบ้านหลังแรกของตัวเองอยู่ดี”
นอกจากนี้พื้นที่ที่เด็กอยู่ต้องนุ่มพอดีที่จะทำให้ล้มแล้วไม่เจ็บ เพราะถ้าเด็กล้มแล้วไม่เจ็บก็จะไม่รู้สึกกลัว ซึ่งการมี Know-how จากธุรกิจ OEM เบาะรถจักรยานยนต์ของครอบครัวญาภัทร ทำให้ได้เนื้อโฟมที่นุ่ม เนื้อแน่น และไม่ยวบ จนไข่ไก่ตกไม่แตก คอกกั้นเด็ก HOYO จึงแสดงให้เห็นว่า เนื้อโฟมสามารถรองรับศีรษะเด็กไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนได้อย่างดี
‘คอกกั้นเด็กที่ดี’ สำหรับญาภัทรต้องเป็นสิ่งที่ ‘Non-toxic และปลอดภัยกับลูก’ เธอจึงเลือกใช้วัตถุดิบหลักอย่างหนังเทียม PU ในการผลิตคอกกั้นเด็กแทนหนังเทียม PVC แม้จะทนทานและใช้ได้นานกว่า ทว่าหนังเทียม PVC ประกอบด้วยสารเคมีที่หากนำมาใช้ เด็กอาจได้รับอันตรายจากการกัดและเลียสิ่งที่อยู่รอบตัวตลอดเวลา
“ถ้าให้เรานิยาม คอกกั้นเด็กที่ดีสำหรับเราคงต้องพูดในมุมมองของวัตถุดิบ อย่างแรกเลยวัตถุดิบต้องปลอดภัยก่อน อย่างที่เราบอกว่า เด็กต้องใช้ชีวิตอยู่ในนั้น สารที่อยู่ในหนังเทียม PVC พวกนี้คือสารที่ทำให้หนังนุ่ม มันเป็นสารที่สะสมในร่างกายแล้วก่อมะเร็ง สารพวกนี้จำเป็นที่จะต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดไม่ให้มีอยู่ในวัสดุที่นำมาใช้ทำคอกกั้นเด็ก ซึ่งตัวหนังที่เรานำมาใช้เรากำหนดไปเลยว่า ไม่ให้มีสารเคมีเหล่านี้ โดยใช้หนัง PU ผลิตด้วยเทคโนโลยีพิเศษจากประเทศเกาหลีใต้ ปลอดภัยจากสารอันตรายกว่า 30 ชนิด ผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งยุโรปและอเมริกา”
การปรับตัวของธุรกิจเด็กในวิกฤตประชากรเกิดใหม่ถดถอย
“เราได้รับผลตอบรับดีมาก เติบโตขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2017 เติบโตมากในช่วงโควิด-19 แล้วมาลดลงหลังโควิด-19 เพราะเด็กเกิดน้อยลง แต่อีกมุมหนึ่ง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราได้รับการยอมรับด้วยคุณภาพสินค้า การบอกต่อของคุณพ่อคุณแม่ กลุ่มสังคมที่เราสร้างขึ้นจากความจริงใจที่เราให้ลูกค้า ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวสินค้าก็ขายตัวเองด้วย เราได้รับการการันตีถึง 12 รางวัล ทั้งในและนอกประเทศ ในเวลาระยะเวลา 7 ปี”
ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเกิดน้อยลงตั้งแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา วันนี้หากไปเดินงานมหกรรมขายสินค้าสำหรับเด็กจะพบว่าซบเซาลงมาก ประกอบกับสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาแข่งขันมากขึ้นและเทรนด์ตลาดมือสองมาแรง ธุรกิจที่เน้นการตลาดในวงกว้างจึงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความคุ้มค่าและคุณภาพมากขึ้น
“เราจะยังคงพัฒนาสินค้าต่อไป อย่างตอนนี้ก็มีพัฒนาวัตถุดิบกับเกาหลี เพราะเรารับฟีดแบกจากลูกค้าตลอดว่า ยังมีจุดไหนที่ยังพัฒนาต่อได้ ยังมีอะไรที่ยังเสริมให้ลูกค้าได้อีก ส่วนการออกแบบของ HOYO ยังคงความเรียบง่าย (Minimal) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร อาจจะเพิ่มลูกเล่นของสีเล็กน้อย ทำเป็น Seasonal Theme หรืออาจจะมีการไปร่วมมือ (Collab) กับแบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ใหม่ชื่อ BABABOO พึ่งเปิดตัวไม่นานมานี้ เป็นคอกกั้นเด็กที่สามารถปรับเป็นของเล่นได้เลยเพื่อเสริมพัฒนาการเด็ก”
สุดท้ายในวิกฤตประชากรเกิดใหม่ถดถอย ญาภัทรเสนอให้ภาครัฐเข้ามาช่วย 2 เรื่องคือ ยกระดับการพัฒนาสินค้าไทย และการกำหนดมาตรฐานสินค้าไทยเพื่อยกระดับไปสู่สากล หากสามารถยกระดับ 2 เรื่องนี้ได้ ผู้ประกอบการไทยหลายคนที่อยากจะพัฒนาของที่มีคุณภาพขึ้นมาก็สามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าคนไทยเกิดน้อย เราก็สามารถนำสินค้าบ้านเราส่งออกไปขายกับประเทศเพื่อนบ้านได้
“เราเพิ่งออกแบรนด์ใหม่ไป เพราะอยากให้การส่งออกมีมากกว่าการนำเข้า ยิ่งเด็กเกิดน้อยลง เราเลยอยากให้ยกระดับการพัฒนาสินค้าไทยมีมากขึ้น เราคลุกคลีกับวงการแม่และเด็กค่อนข้างเยอะ เราเห็นคนเก่งเยอะมากที่พัฒนาสินค้าใหม่ๆ น่าสนใจ แต่ไม่นานก็หายไป เพราะมีเจ้าใหญ่ๆ ที่เป็นเจ้าตลาดมาเอาไอเดียไปพัฒนาแล้วนำมาขายในราคาถูก พอคนขายรายเล็กพัฒนาขึ้นมา การคุ้มครองเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา มันยากและใช้เงินเยอะ เราอยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยกระบวนการนี้มันง่ายขึ้น ให้ SMEs ตัวเล็กๆ ที่อยากพัฒนาสินค้าเหล่านี้ ให้พัฒนาได้ง่ายขึ้น อีกเรื่องหนึ่งคือ อยากให้มาตรฐานของสินค้า มันถูกหน่วยงานหน่วยงานหนึ่งมาคุ้มครองอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กไทยของเราได้ใช้ของคุณภาพดี” ญาภัทรกล่าวทิ้งท้าย
Tags: The Chair, ญาภัทร สรรพวัฒน์, คอกกั้น, คอกกั้นเด็ก, คอกกั้นเด็ก HOYO