ในยุคที่คราฟต์เบียร์กำลังได้รับความนิยมในหมู่คอเบียร์ชาวฮิปสเตอร์ ดนตรีแนว R&B สมัยใหม่ ที่มีชื่อเรียกตามยี่ห้อเบียร์ของเหล่าบรรดาฮิปสเตอร์อย่าง Pabst Blue Ribbon ก็ได้ถูกบ่มเพาะมาถึงระยะเวลาที่เหมาะสม แล้วก็ได้ผันตัวเองกลายมาเป็นกระแสดนตรี R&B กระแสหลักได้ในปัจจุบัน
Pabst Blue Ribbon R&B หรือเรียกย่อๆ ว่า PBR&B คือหนึ่งในชื่อเรียกของดนตรีแนว R&B ทางเลือกใหม่ (Alternative R&B) ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้ ซึ่งนอกเหนือไปจาก PBR&B แล้วยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น Indie R&B, Noir R&B หรือ R-Neg-B เป็นต้น
โดยเอกลักษณ์ของดนตรี R&B นี้ จะมีความแตกต่างจากดนตรีแนว R&B ที่เราคุ้นเคย ที่มักจะไม่หวานและไหลลื่น แต่ส่วนมากแล้วมักมีซาวด์ดนตรีที่หม่นกว่า และเต็มไปด้วยซาวด์สังเคราะห์
ด้วยกระแสของดนตรีแนว EDM ที่ส่งอิทธิพลต่อดนตรีแนวต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดดนตรีแนวลูกผสมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในวงการเพลง และได้ทำให้โปรดิวเซอร์หลายคนกลายมาเป็นคนมีชื่อเสียงติดอันดับโปรดิวเซอร์ระดับโลกในเวลาแค่ไม่กี่ปี อย่าง Diplo, DJ Snake หรือแม้แต่ Skrillex ซึ่งหยิบจับดนตรีสไตล์ EDM ที่ตนเองถนัดนำมาผสมกับแนวดนตรีอื่นๆ ให้เกิดเป็นซาวด์ดนตรีใหม่ แล้วยังทำให้ค่ายเพลงบางค่าย อย่าง OVO Sound ของ Drake กลายเป็นค่ายเพลงหลักที่ผลิตดนตรีแนวนี้ (Alternative R&B) และกลายเป็นผู้นำของเอกลักษณ์ของซาวด์ดนตรีแบบนี้
เมื่อกระแสดนตรีเปลี่ยน รสนิยมของคนฟังก็เปลี่ยน แล้วนั่นก็ทำให้ศิลปินเลือดใหม่ที่มีเอกลักษณ์ทางดนตรีที่โดดเด่นได้รับความโด่งดัง และหนึ่งในนั้นคือ The Weeknd
The Weeknd เคยออกอัลบั้มมาทั้งหมด 7 อัลบั้ม เป็นอัลบั้ม Mixtape ใต้ดิน 3 อัลบั้ม รวมฮิต 1 อัลบั้ม และเป็นอัลบั้มเต็ม 3 อัลบั้ม โดยเริ่มโด่งดังจากอัลบั้มที่ 2 คือ Beauty Behind the Madness (2015) ที่มีเพลงดังๆ อย่าง Earned It ที่ประกอบภาพยนตร์ Fifty Shades of Grey และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แล้วยังมีเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มนี้อย่าง Can’t Feel My Face และ The Hills อีกด้วย
จากความสำเร็จของอัลบั้ม Beauty Behind the Madness ทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมีสาขา Best Urban Contemporary Album กับ Best R&B Performance มา 2 รางวัล
รางวัล Favourite Soul/R&B Album กับ Favorite Soul/R&B Male Artist มา 2 รางวัล
แล้วยังได้รางวัลจาก Billboard Awards อีก 8 รางวัล ทำให้ The Weeknd กลายเป็นศิลปิน R&B แนวหน้าที่ทั่วโลกจับตามอง
Starboy คืออัลบั้มเต็มอัลบั้มที่ 3 ของ The Weeknd ที่ออกมาเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยจำนวนเพลงทั้งหมด 18 แทร็ก และ 2 เพลงในนั้นที่เขาเลือกมาโปรโมตเป็นอันดับต้นๆ มี Daft Punk มาร่วมโปรดิวซ์และฟีเจอริง ซึ่งคือ Starboy และ I Feel It Coming
เพลง Starboy ได้ไต่ขึ้นอันดับ 3 ของ Billboard US Hot 100 Chart อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นกระแสที่น่าจับตามองสำหรับอัลบั้มใหม่ของ The Weeknd คนนี้
อย่างไรก็ดี เพลงทุกเพลงของอัลบั้ม Starboy กลับรู้สึกได้ว่าถูกทำให้ป๊อปและฟังง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการดึง Kendrick Lamar และ Lana Del Rey มาร่วมร้องในเพลง Sidewalks และเพลง Stargirl Interlude ตามลำดับ หรือว่าดึงโปรดิวเซอร์อย่าง Diplo มาช่วยทำเพลง Nothing Without You ให้ แต่โดยรวมแล้วอัลบั้ม Starboy นี้ กลับกลายเป็นอัลบั้ม R&B ที่ฟังง่ายและเน้นหลายเพลงไปที่สไตล์ electro disco จนกลายเป็นอัลบั้มที่รื่นหูธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรให้คาดหวังให้สมกับเป็นผลงานอัลบั้มที่ 3 ของศิลปิน Alternative R&B เลือดใหม่ที่ใครต่อใครจับตามอง
ซึ่งเป็นไปได้ว่าด้วยความคาดหวังในตัวศิลปินที่มีมากขึ้น และโอกาสที่จะขยายกลุ่มคนฟังได้มากขึ้น The Weeknd ได้ลดความยากและความซับซ้อนของตัวเองลง จนทำให้เอกลักษณ์ของตัวเองจางหายไป
Starboy ของ The Weeknd จึงเป็นอัลบั้ม R&B ที่ดี แต่ก็ไม่ใช่อัลบั้ม R&B ทางเลือกใหม่ที่จะมาคาดหวังอะไรจาก The Weeknd เพราะสุดท้ายแล้วเพลงแบบนี้ สามารถหาฟังได้จากศิลปิน R&B คนไหนก็ได้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่ใดๆ
Tags: The Review, STARBOY, The Weeknd