‘หากเราย้อนเวลากลับไป 39 ปี กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ กาแล็กซีอันไกลโพ้น…’
นี่คือประโยคของคำโปรยตอนเปิดเรื่องของ Star Wars ทุกภาค ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1977 เรื่อยมา จนกระทั่งมาถึง Star Wars: Episode III-Revenge of the Sith ในปี 2005 ก่อนที่ Walt Disney จะซื้อ Lucas Film และลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ Star Wars ทั้งหมดในปี 2012
การที่ Walt Disney ซื้อ Lucas Film ไปด้วยราคา 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 แสน 4 หมื่นล้านบาท) นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีของแฟนๆ Star Wars เพราะนั่นหมายความว่า เราจะมีโอกาสได้เห็นเหล่าบรรดาสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Star Wars ถูกทำออกมาขายเยอะขึ้น รวมไปถึงภาพยนตร์ Star Wars ที่จะทำออกมาให้เราได้ดูกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นถือว่าเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด
เมื่อปี 2015 ทาง Walt Disney ได้ปล่อยภาพยนตร์ Star Wars ภาคใหม่ออกมา โดยใช้ชื่อว่า Star Wars: Episode VII – The Force Awakens ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์ Star Wars เรื่องใหม่หลังจากที่ทิ้งช่วงไปถึง 10 ปี จาก Revenge of the Sith ซึ่งนอกจากทาง Walt Disney เองจะออกมาประกาศว่าจะมีภาพยนตร์ Star Wars Episode VIII กับ IX ในปี 2017 และปี 2019 แต่ในระหว่างนั้นก็จะมี Star Wars ภาคพิเศษที่มีเนื้อเรื่องแยกต่างหากจากไลน์เนื้อเรื่องหลักให้ได้ชมอีก 3 เรื่องด้วยกัน และ Rogue One: A Star Wars Story ก็เป็นหนึ่งในนั้น
Rogue One: A Star Wars Story เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน Episode IV – A New Hope ก่อนการค้นพบ Luke Skywalker หลังจากที่ฝ่าย Empire ได้ขยายการยึดครองอำนาจไปทั่วทั้งจักรวาล และเป็นช่วงเวลาที่การก่อสร้าง Death Star อาวุธทำลายล้างที่ทรงอานุภาพที่สุด (ในตอนนั้น) กำลังจะเสร็จสมบูรณ์
เนื้อเรื่องของภาพยนตร์มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของทีม Rogue One จากฝ่าย Rebellion ที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อหาวิธีมาต่อสู้กับฝ่าย Empire นำทีมโดย Jyn Erso (Felicity Jones) ลูกสาวของนักวิทยาศาสตร์ Galen Erso ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อสร้าง Death Star และ Cassian Andor (Diego Luna) สายลับจากฝั่ง Rebellion ร่วมกับหุ่นดรอยด์ K-2S0 (Alan Tudyk), Chirrut Imwe (Donnie Yen … ใช่แล้วครับ อาจารย์ยิปมันของเรานั่นเอง), Baze Malbus (Jiang Wen) และ Bodhi Rook (Riz Ahmed) โดยเนื้อเรื่องได้มุ่งเน้นไปที่ฉากสงคราม และการเล่าเรื่องของจักรวาล Star Wars ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
เรื่องราวของช่วงเวลาที่เกิดขึ้นใน Rogue One จะทำให้เราย้อนกลับไปเห็นเทคโนโลยีเก่าๆ อีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นยานอวกาศรุ่นต่างๆ ดวงดาว และฐานทัพของฝ่าย Rebellion หรือแม้แต่ Stormtroopers ก็จะเป็นชุดเครื่องแบบเก่าที่เราคุ้นเคย ไม่เหมือนกับชุดของ Stormtrooper ในแบบ First Order ที่เราเห็นใน Force Awaken
และที่สำคัญสุดก็คือ Darth Vader ที่ปรากฏตัวขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทางทีมงานได้เก็บรายละเอียดของตัวละครนี้ให้สอดคล้องกับ Darth Vader ที่ถือกำเนิดขึ้น หลังจากเหตุการณ์ใน Revenge of the Sith พร้อมกลับมาใช้เสียงของ James Earl Jones คนเดิมให้มาพากย์เสียงให้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ฉากสงครามและการต่อสู้ภายในเรื่องนั้นทำออกมาได้ดีอย่างน่าพอใจ แม้ว่าหลายฉากจะมีความคล้ายคลึงกับการเล่นเกม Star Wars: Battlefront II อยู่บ้าง ซึ่งตัวเกมเองก็เพิ่งออก DLC (ฉากเสริมที่เพิ่มเข้ามาในเกม) ของสมรภูมิบนดาว Scarif จากเรื่อง Rogue One จนสาวกเกมจะรู้สึกได้ว่ากำลังถูกไทอินขายของอยู่ก็ตาม แต่ด้วยความสามารถของ แกเร็ท เอ็ดเวิร์ดส์ (Gareth Edwards) ผู้กำกับที่เคยผ่านงานที่ใช้ Visual Effects จัดๆ อย่างภาพยนตร์เรื่อง Godzilla (2014) ที่สามารถถ่ายทอดบรรยากาศของฉากต่างๆ ของ Star Wars ได้ค่อนข้างดี และการลำดับภาพและมุมกล้องที่ไม่ดูตั้งใจให้เป็น Star Wars มากนัก จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะทำให้รู้สึกว่ากำลังดูภาพยนตร์ Star Wars ด้วยอารมณ์การเล่าเรื่องที่แตกต่างออกไป
อย่างไรก็ดี ในขั้นสุดท้ายของการถ่ายทำ Rogue One ผู้กำกับ โทนี กิลรอย (Tony Gilroy) ที่เคยกำกับ The Bourne Legacy (2012) และเขียนบทภาพยนตร์ให้กับ Bourne ทุกภาค ได้ถูกเรียกให้มาถ่ายซ่อมและแก้ไขส่วนหลังของภาพยนตร์เสียใหม่ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการทำงานของ แกเร็ท เอ็ดเวิร์ดส์ เอง แต่ผลลัพธ์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี
Rogue One: A Star Wars Story ถูกเรียกว่าเป็น spin-off จากเนื้อเรื่องหลักของ Star Wars แต่การใช้คำว่าเป็นภาพยนตร์ที่ stand alone จากซีรีส์ของ Star Wars น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะถึงแม้จะมีการนำตัวละครเก่าๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีจาก Star Wars ภาคก่อนๆ มาสร้างใหม่ด้วยเทคโนโลยี CG แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่มีเรื่องราวใดๆ ดำเนินต่อไปอีก และในอนาคตก็จะมีภาพยนตร์ stand alone เรื่องต่อๆ ไป ที่ทางค่ายได้วางไว้ว่าจะทำออกมาคือ ภาพยนตร์ของ Han Solo ในวัยเยาว์ (2018) และภาพยนตร์เรื่องของ Boba Fett ในปี 2019 ที่ยังไม่มีการยืนยันแน่นอน
คำโปรยที่บอกว่า ‘Rebellions are built on hope’ คือประโยคที่เกริ่นนำของการเกิดขึ้นก่อนเรื่องราวของ A New Hope ได้เป็นอย่างดี ด้วยความหวังของฝ่ายกบฏที่ยอมพลีทุกอย่างเพื่ออิสรภาพและความสงบสุขของจักรวาล กับเรื่องราวของเหล่าตัวละครเล็กๆ ในสงครามอันยิ่งใหญ่ ทำให้เราได้รู้ว่าวีรบุรุษไม่ได้มีแต่ผู้ที่ครอบครองไลต์เซเบอร์เท่านั้น และ Rogue One คือภาพยนตร์ที่หยิบอุดมการณ์เหล่านี้มาถ่ายทอดให้เราได้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อความหวังไปพร้อมๆ กับน้ำตา
Tags: The Review, StarWars, RogueOne