หนังเกี่ยวกับอะไร
หนังย้อนไปช่วงยุค 60s สงครามสำรวจอวกาศระหว่างโซเวียตที่ประสบความสำเร็จนำหน้าอเมริกา ‘แคทเธอรีน’ (Taraji P. Henson) นักคณิตศาสตร์ในองค์กรนาซาที่ถูกเรียกตัวไปช่วยโครงการปล่อยนักบินขึ้นไปบนอวกาศ แต่เธอไม่ได้รับการยอมรับจากคนในทีม เพราะความเป็นเพศหญิงผิวสี
‘โดโรธี’ (Octavia Spencer) หัวหน้าทีมคณิตศาสตร์ของกลุ่มผู้หญิงผิวสีในนาซาที่ไม่ได้เลื่อนขั้นสักที เธอกำลังจะถูกคอมพิวเตอร์ IBM เข้ามาแย่งงานคำนวณต่างๆ แต่เธอไม่ยอมแพ้จึงแอบฝึกการตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่ออนาคตของตัวเอง
‘แมรี’ (Janelle Monáe) อยากเป็นวิศวกรแต่ถูกกฎระเบียบนาซากีดกันเอาไว้ทั้งที่ความสามารถเธอเพียงพอ แต่เธอไม่ยอมแพ้เลือกจะสู้ตามกฎขององค์กรต่อไปแม้จะต้องต่อสู้กับการแบ่งแยกสีผิวในสถานศึกษา
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง
ในช่วงแรกเริ่มของการสำรวจอวกาศ สหภาพโซเวียตนำหน้าสหรัฐอเมริกาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกเป็นประเทศแรก หรือส่งสัตว์และมนุษย์ขึ้นไปบนอวกาศได้ก่อนสหรัฐอเมริกา ซึ่งการที่สหภาพโซเวียตสำรวจอวกาศได้ก่อนในช่วงยุคสงครามเย็นทำให้เกิดความหวั่นวิตกเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเวลานั้นยกการสำรวจอวกาศขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ
และเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้คือช่วงเวลาหลังจากที่สหภาพโซเวียตส่งมนุษย์ขึ้นไปยังอวกาศได้สำเร็จ ขณะที่อเมริกาเพิ่งทดลองสร้างและทดลองยิงจรวดพร้อมคำนวณจุดตกให้แม่นยำอยู่เลย
สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง
1. ความฟีลกู้ดที่เข้าทาง จริงๆ เราเป็นคนไม่ถูกจริตกับหนังฟีลกู้ดจ๋าสักเท่าไร แต่เรื่องนี้ดันรู้สึกลงล็อกกับตัวเอง (ทั้งที่มันค่อนข้างฟีลกู้ดจ๋าในสายตาเรา) หนังจะมีตัวละครคนดี๊คนดีแบบเข้ามาเป็นกำลังใจ เข้ามาให้หนังสดชื่น ไม่หมองหม่น ส่วนตัวละครที่แอนตี้นางเอกก็จะใช้เสริมให้เราเอาใจช่วยพวกเธอ เพราะสุดท้ายก็รู้ผลลัพธ์อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเอาชนะพวกนั้นได้ พอจังหวะค่อยๆ ละลายอคติมันเลยกินใจเหลือเกิน ซึ่งสาเหตุที่เราอินกับตัวละครอาจจะเพราะเราชอบสไตล์การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งการยอมรับของพวกเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
2. วัตถุดิบที่หนังหยิบมาเล่า อาจจะมีการจงใจสร้างสถานการณ์ไม่เป็นมิตรระหว่างคนผิวขาวเพศชายกับคนผิวสีเพศหญิงที่เกินจริงไปสักหน่อย แต่ดันสำคัญต่อการเล่าเรื่องสร้างพลังใจ เพราะมันทำให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อให้คนในองค์กรนาซายอมรับความสามารถของพวกเธอทั้งสามคน
3. ความสนุก เกินคาดคิดเหมือนกันว่าหนังทำให้เราเพลินกับเนื้อเรื่องจนลืมเวลาสองชั่วโมงไปเลย มีอารมณ์ขันและสามารถสลับจังหวะเคร่งเครียดกับผ่อนคลายได้อย่างพอเหมาะพอดี
สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง
ตัวละคร ‘พอล สตาฟฟอร์ด’ ที่แสดงโดย Jim Parsons มันชัดเจนมากโดยไม่ต้องหาข้อมูลว่าตัวละครนี้ต้องเป็นตัวละครสมมติขึ้นมาเพื่อแทนภาพ ‘ผู้ชายผิวขาวที่มีทัศนคติเหยียดผิวและเหยียดเพศ’ ซึ่งมีอยู่จริงในยุคนั้น
การที่หนังใส่ตัวละครนี้มาอาจจะเป็นข้อดีในแง่ที่ช่วยให้เราคอยเอาใจช่วยนางเอกที่ถูกรังแกอยู่ตลอด ซึ่งพอมานึกดูแล้วเรากลับไม่ค่อยชอบการจงใจใช้ตัวละครสมมติแบบนี้สักเท่าไร แต่ก็ปล่อยผ่านไปให้เป็นสีสันของเรื่องละกัน เพราะถ้าชีวประวัติตรงๆ ไม่มีแทรกเรื่องเหยียดผิวก็คงไม่ส่งผลต่อความรู้สึกคนดูมากขนาดนี้
เราเรียนรู้อะไรจากหนัง
เชื่อว่าทุกคนต้องเจออุปสรรคในทางใดทางหนึ่ง แต่วิธีรับมือกับอุปสรรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนดีแต่บ่นแล้วไม่ลงมือทำอะไรให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับบางคนยอมอดทนต่อสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่แม้บางครั้งจะเป็นขวากหนามที่เกิดจากอคติก็ตาม และเราเชื่อเสมอว่าการลงมือทำแม้จะยากลำบากแค่ไหน ยังไงมันก็ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง
ไม่ทันสังเกตเหมือนกัน แต่เขาบอกว่าหนังตั้งใจใช้สีเพื่อกำหนดสภาพอารมณ์ของสถานการณ์ เช่น การใช้สีโทนร้อนในออฟฟิศของ ‘แฮร์ริสัน’ (Kevin Costner) หัวหน้าของแคทเธอรีน ซึ่งอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดตลอดเวลา และเมื่อการคำนวนประสบความสำเร็จ จะเลือกใช้สีโทนเย็น เช่น ขาว เทา เงิน ที่จะเริ่มเห็นได้ชัดมากขึ้น
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
ใครกำลังมองหาแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับปัญหาก็ขอเชียร์เรื่องนี้เลย หนังบันเทิงมาก ไม่ค่อยเคร่งเครียด โทนหนังฟีลกู้ดสดใสแบบนี้เหมาะกับการดูเพื่อพักผ่อนจากวันที่เหนื่อยล้ายิ่งนัก
ควรชวนใครไปดู
อาจจะไม่เกี่ยวกันโดยตรง แต่ถ้ารู้ว่าใครชอบ The Help (2011) ก็ลองชวนเขามาดูเรื่องนี้ด้วยกันได้เลย
ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป
สัปดาห์นี้มีหนังเข้าประมาณ 7 เรื่อง และ Hidden Figures เป็นหนังเข้าใหม่ประจำสัปดาห์ที่เราเชียร์มากที่สุด อย่างไรก็ตามด้วยระดับคะแนน 3 ดาวครึ่ง เราขอแนะนำเหมือนเคยว่ามันเป็นหนังที่ไม่ได้ดีเลิศถึงขั้นต้องวางแผนเดินทางไปดู แต่ถ้าคุณผ่านโรงหนังระหว่างกลับบ้านก็สามารถแวะซื้อตั๋วดู Hidden Figures เพื่อปลุกพลังใจได้ โดยที่เราเชื่อว่าจะไม่ผิดหวังกันอย่างแน่นอน
ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้
สาม สาว สู้
Tags: TheReview, Movie