เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี มีการเดินขบวนของกลุ่มผู้ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติกว่า 200,000 คน ซึ่งออกมาเดินขบวนเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านนโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดใหม่ที่มีเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติและกีดกันผู้อพยพ
โดยใจความสำคัญของนโยบายดังกล่าวก็คือ ‘Make Italy safer’ ซึ่งระบุว่าถ้าหากผู้อพยพเกิดกระทำความผิดร้ายแรง รัฐสามารถจะขับไล่และถอดถอนสัญชาติจากพวกเขาได้ง่ายขึ้นด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ ภายใต้นโยบายใหม่รัฐบาลอิตาลียังมีความพยายามปิดท่าเรือทางฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนที่มักถูกใช้เป็นเส้นทางอพยพเข้าสู่อิตาลีจากลิเบียอีกด้วย
การเดินขบวนในครั้งนี้จัดขึ้นบริเวณวิหารดูโอโม กรุงมิลาน บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักโดยมีผู้ประท้วงกว่า 200,000 คนโบกธงและถือป้ายรณรงค์ภายใต้สโลแกน ‘People First’ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเหล่านี้สนับสนุนการให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์เป็นอันดับแรก มากกว่าผลประโยชน์ด้านอื่นๆ และต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยหันมายึดผู้คนคนเป็นศูนย์กลางด้วยเช่นเดียวกัน
“เรามาที่นี่เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การยอมรับความแตกต่างระหว่างกันนั้นเป็นสิ่งสวยงาม และเป็นการแสดงออกถึงความเจริญรุ่งเรือง” หญิงสาวผู้ร่วมเดินขบวนคนหนึ่งกล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มนโยบายกีดกันผู้อพยพในอิตาลี ทำให้จำนวนผู้อพยพตกลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก UNHCR ระบุว่า ยอดผู้อพยพที่เดินทางเข้ามาในอิตาลีตั้งแต่มกราคมจนถึงกลางเดือนกันยายน 2018 คือ 20,120 คน ต่างจากในปีก่อนหน้าที่มีจำนวนผู้อพยพจะ 119,000 คน
ที่มา
https://www.bbc.com/news/world-europe-45625833
https://abcnews.go.com/International/wireStory/tens-thousands-march-anti-racism-rally-milan-61428592
https://www.bbc.com/news/world-europe-44660699
Tags: อิตาลี, มิลาน