**คำเตือน บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ
หลังจากยิงทีเซอร์ตัวอย่าง Episode 4 มา เป็นการปะทะกันของเมนเทอร์ลูกเกดกับเมนเทอร์มาช่าที่บอกว่า “อย่าอินเกิน อย่าอินเกิน อย่าอินเกิน” คนชอบเผือกอย่างพวกเราก็ขนลุกเกรียว ตั้งตารอกันตลอดสัปดาห์เลยทีเดียวว่าเขาจะตีกันเรื่องอะไร!
สีสันของรายการนี้นอกจากดราม่าเล่นใหญ่แล้ว ความประดักประเดิดของการโฆษณาแฝงสินค้าที่ยัดเข้ามาแทบจะทุกนาทีก็กลายเป็นความบันเทิงน่าขำขันไปอีกแบบ (ในความพยาย้าม…พยายามจะยัดเยียดโฆษณา) เช่น ผู้เข้าแข่งขันเมื่อโดนคัดออก พรั่งพรูความอัดอั้นเสียใจออกมา อารมณ์กำลังได้ที่พอดีเชียวก็หยิบทิชชู่ของสปอนเซอร์มาซับน้ำตา หรือแข่งแคมเปญลงอ่างอยู่ก็พยายามอัดเข้าคำพูดว่าครีมหอยหนืดอะไรนี่ฟองนุ้มนุ่ม หรือตอน Master Class ก็…อุ๊ย! เสื้อหนูหอมจัง เออ! เอาเข้าไป จะขายอะไรเบอร์นี้!
แต่เช่นเคย ทุกสัปดาห์เราก็ยังคงได้บทเรียนการทำงานจากรายการนี้ให้เราไปปรับใช้กับชีวิตจริงได้อยู่ #ทีมมาช่า #ทีมลูกเกด #ทีมบี #ทีมขุน #ทีมคุณเต้ เรามาดูกันดีกว่าว่าเราได้เรียนรู้อะไรจาก The Face Thailand Season 3 Episode 4 กัน
ร้างบรรยากาศการทำงาน
ดูอย่างเมนเทอร์มาช่ากับเมนเทอร์ลูกเกดที่เมื่อรู้ว่ารูปนี้ต้องการสื่ออารมณ์ผ่อนคลายและมีความสุขในขณะอาบน้ำก็สร้างบรรยากาศให้ลูกทีมผ่อนคลายไปด้วย ไม่มีการกดดัน ไม่มีการดุ เรื่องต้องดุเดี๋ยวเอาไว้หลังงาน แต่ตอนหน้างานต้องดึงอารมณ์ของลูกทีมให้เป็นไปตามโจทย์ก่อน
ในขณะที่เมนเทอร์บีในการแข่งขันแคมเปญคราวนี้ดูจะเครียดและกดดันลูกทีมมากกว่าทีมอื่น มาถึงนางก็ยิงเลยว่าทุกคนสามารถโดนคัดออกได้หมด ลูกทีมเลยดูเกร็งและหงอไปหน่อย ไม่ผ่อนคลายเท่าที่ควร เป็นการอาบน้ำที่กดดันมากทีเดียว ฟองในอ่างอาจจะฟู แต่ใจลูกทีมแฟบไปเลย (ไม่ได้หมายถึงหน้าอกหน้าใจนะคุณ!)
ชีวิตการทำงานก็เช่นกัน อยากให้องค์กรเป็นแบบไหนต้องสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อให้เป็นแบบนั้น เช่น อยากให้ทีมมีความคิดสร้างสรรค์แต่บังคับให้ทำงานแต่บนโต๊ะสี่เหลี่ยม ไม่ให้ออกมาไปดูโลกเปิดโลกทัศน์เลยก็คงไม่มีความคิดสร้างสรรค์กันพอดี
อยากให้ทีมกล้าคิดกล้าแสดงออก หัวหน้าก็ต้องไม่เป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียว ต้องฟังลูกน้องด้วย ไม่ใช่ลูกน้องพูดอะไรมาก็ไปฆ่าความคิดเขาหมด และต้องมีเวทีให้ลูกน้องฉายเดี่ยวโชว์ความสามารถด้วย ไม่ใช่หลบอยู่ข้างหลังหัวหน้าตลอด
อยากให้องค์กรเป็นองค์กรที่ทันต่อโลกดิจิทัล แต่มีความเป็นดิจิทัลอย่างเดียวคือระบบสแกนนิ้วมือไว้เช็กเวลาการมาทำงาน อันนี้ก็ไม่น่าจะรอด ต้องให้ความรู้ด้านดิจิทัลกับพนักงาน ต้องมีระบบการทำงานแบบดิจิทัลรองรับให้พนักงานได้ทดลองกับชีวิตจริง (ยังใช้กระดาษเขียนใบลากันอยู่อีกเหรอคุณ)
อยากให้องค์กรเป็นองค์กรที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่เก่งๆ ก็ต้องมาดูว่าวัฒนธรรมองค์กรของเรามันโบราณมากไปหรือเปล่า มีลู่ทางส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เติบโตไหม ท้าทายความสามารถพอไหม แพ็กเกจที่องค์กรมีดึงดูดหรือเอื้อต่อการดำรงชีวิตของคนรุ่นใหม่จริงไหม ฯลฯ มากไปกว่าการมานั่งบ่นว่าคนรุ่นใหม่ทำไมไม่มีความจงรักภักดีต่อองค์กร ทำงานเดี๋ยวเดียวก็ลาออก ต้องย้อนกลับมาดูองค์กรว่ามีบรรยากาศเอื้อต่อคนรุ่นใหม่ไหม
ลูกค้าไม่ผิด (และไม่มีใครผิดด้วย)
เมนเทอร์ลูกเกดโกรธมากที่กรรมการตัดสินให้ทีมเธอแพ้ โกรธตั้งแต่ พี่ใหญ่ อมาตย์ ที่เลือกรูปไม่ถูกใจนาง ด่าถึงกติกาว่าทำไมไม่ให้เมนเทอร์เลือกรูปเอง ลากไปถึงกรรมการครีมหอยหนืดว่าเอา CFO ที่ดูด้านการเงินมาตัดสินงานด้าน Marketing & PR ได้ยังไง และดูซิ รูปทีมลูกเกดก็ออกมาเหมือนโฆษณา ใหม่ ดาวิกา ขนาดนั้น ทำไมนะ ทำไมกรรมการถึงให้ทีมลูกเกดแพ้ เมทิไม่โอเคค่ะ!
เรื่องกรรมการตัดสินไม่ถูกใจเรามีอยู่ตลอดเวลา เพราะของแบบนี้มันเป็นเรื่องความเห็นของปัจเจกบุคคล ดูอย่างออสการ์แต่ละปีก็ใช่ว่าจะตัดสินได้ถูกใจเราหมด แต่แล้วไง กรรมการตัดสินแล้ว นั่นคือที่สิ้นสุด ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นใครจะไปทวงออสการ์จาก กวินเน็ท พอลโทรว์ มาให้ เคต บลันเชตต์ เสียหน่อย
ลองคิดในมุมกลับกัน ตั้งแต่ซีซันแรกกรรมการก็เป็นคนเลือกรูป เมนเทอร์ไม่ได้เลือกรูปเอง เพราะฉะนั้น กติกาเรื่องนี้เรารู้อยู่แล้ว นั่นแปลว่าทุกทีมต้องรับความเสี่ยงว่ากรรมการอาจจะเลือกรูปที่ยังไม่ดีที่สุดของเราก็ได้ แต่เราต้องยอมรับ เพราะกติกานี้มีมาตั้งแต่ต้น – แม้กระทั่งในแคมเปญที่พี่เกดชนะก็ใช้กติกานี้
หรือการที่เอา CFO มาเป็นกรรมการก็ไม่ได้เป็นปัญหา แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในสาย Marketing & PR เพราะพอถึงเวลาที่โฆษณานี้ออกไป ผู้บริโภคทั่วไปที่ได้เห็นก็ไม่ได้เป็นคนอยู่ในสาย Marketing & PR ทั้งหมด เพราะฉะนั้นจากโจทย์นี้ รูปที่ออกมามันน่าจะสื่อสารกับทุกคนแม้จะไม่ได้อยู่ในสาย Marketing & PR เข้าใจ หรือรู้สึกรัก อยากจะใช้ผลิตภัณฑ์นี้ไปด้วย
การเอา ‘คนนอก’ เข้ามาในวงแบบนี้ บางทีอาจทำให้เราได้มุมมองที่อยู่นอกกรอบเดิมๆ ก็ได้ เวลาทำงานลองเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของเรา หรือไม่เคยรู้เรื่องงานของเรามาก่อนมาอยู่ในวง brainstorm ดู เราจะได้ไอเดียที่หลุดกรอบจากเดิม หรือมองเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยนึกมาก่อน โดยเฉพาะพวกน้องฝึกงานนี่แหละ คนเหล่านี้ยังไม่ถูก ‘ความเคยชิน’ ตีกรอบความคิด เขายังไม่ถูกครอบด้วยสูตรความสำเร็จของคนที่เคยทำมาก่อน เพราะฉะนั้นไอเดียดีๆ ให้เราต่อยอดได้ต่ออาจจะได้มาจากคนนอกแบบนี้ก็ได้
ในชีวิตการทำงานจริงเราก็จะเจออย่างที่เมนเทอร์ลูกเกดเจอ คือบางทีงานของเราจะถูกตัดสินโดยคนที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ หรือไม่มีความสามารถตรงจุด แต่เขาดันเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนจำเป็นต้องฟังเขา
ทีนี้เราจะทำอย่างไรล่ะ
ขอยกเครดิตให้พี่แป๊ะ-นิวัฒน์ รุ่งเรืองวรวัฒน์ รุ่นพี่ที่ทำงานที่เคยสอนไว้ว่า ในเมื่อเราคิดงานนั้นด้วยความตั้งใจที่ดี ด้วยความปรารถนาดีต่อลูกค้า ไม่ใช่ทำด้วยความรู้สึกว่าอยากจะให้ลูกค้าล่มจมไปซะ เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจหรือโกรธเลยถ้าลูกค้าไม่ชอบงานของเรา ถ้าคิดมาดีแล้ว แล้วเขาไม่ชอบ เราก็แค่แก้ไขใหม่ ให้คิดว่าเรากำลังช่วยกันหาทางทำงานให้ออกมาดีขึ้น เราควรจะเสียใจมากกว่าถ้าเราคิดงานให้ลูกค้าด้วยความรู้สึกพยาบาทอาฆาตแค้นหรือสักแต่ว่าทำให้มันจบๆ ไป เพราะฉะนั้นเอาเวลาที่จะมาโกรธมาเสียใจไปทำงานให้ดีขึ้นดีกว่า (งานก็ใช่ว่าจะน้อย!)
ทำงานของเราให้ดีด้วยความตั้งใจแล้วปล่อยวางกับการตัดสิน ผลออกมาดีก็ดีเพราะเราตั้งใจ ผลออกมาไม่ดีก็แก้ไขใหม่ด้วยความตั้งใจให้งานออกมาดีเหมือนเดิม
ทีมเดียวกันต้องเปิดใจกัน
สิ่งที่ประทับใจเมนเทอร์บีใน Episode นี้ คือตอนที่นางเข้ามาบอกข่าวร้ายกับลูกทีม เธอรู้ว่าลูกทีมเสียใจ แต่ไม่มีใครพูดออกมา เมนเทอร์บีจึงพยายามบอกให้ทุกคนแสดงความรู้สึกออกมา มีอะไรเปิดใจกัน คิดอะไรอยู่ต้องพูด เราอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ต้องให้ใจกัน – นี่คนเดียวกับที่กระโดดเหยงๆ ตะโกนเหมือนคนเสียสติเมื่อ Episode ที่แล้วใช่ไหมเนี่ย?!
หัวหน้ากับลูกน้องควรจะเปิดใจคุยกันได้ ระบายความในใจออกมาได้ ปรึกษากันได้เมื่อมีปัญหา การพูดจะช่วยให้สบายใจขึ้น ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น และช่วยให้ทีมสามารถประเมินสถานการณ์ภายในทีมได้
แต่ต่อให้เปิดใจกับหัวหน้าแค่ไหน ไว้ใจหัวหน้าแค่ไหน ลูกน้องอย่างเราก็ต้องไม่มาพรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมาให้หัวหน้ารู้หมด ต้องฉลาดพอที่จะ portray ตัวเองให้หัวหน้ารู้สึก ‘บวก’ กับเราตลอดเวลา เช่น ต่อให้ระบายปัญหาที่เราเจอให้หัวหน้าฟัง แต่เราก็ยังต้องแสดงออกให้หัวหน้าเห็นว่า เรารู้นะว่ามีปัญหา แต่เราจะจัดการมันได้ เราเชื่อมั่นในตัวเอง เราจะไฟต์ ต่อให้เดินเข้าไปหาหัวหน้าด้วยปัญหา แต่เราต้องมีทางออกอยู่ในมือแล้ว เราแค่จะมาปรึกษาเท่านั้น
เพราะในโลกความเป็นจริง สำหรับผู้ใหญ่บางคน การที่เด็กมานั่งพรั่งพรูปัญหาแบบนี้ก็น่ารำคาญไปหน่อย เผลอๆ บนความใสซื่อและไว้ใจคนของเราอาจจะทำให้หัวหน้าเกิดความรู้สึกว่า ลูกน้องคนนี้อ่อนแอเกินไป หรือไม่สามารถจัดการปัญหาได้เลย
อย่าลืมว่าอย่างไรเสียคนเป็นหัวหน้าก็ประเมินและตัดสินลูกน้องอยู่ตลอดเวลา ช่วยไม่ได้ ในเมื่อมันคือหน้าที่ของหัวหน้า
เปิดใจกับหัวหน้าได้ แต่เราต้องกรองดีๆ ว่าจะเปิดเผยอะไรออกมา มิฉะนั้น วันดีคืนดี ความไว้ใจของเราอาจจะกลายเป็นภัยทิ่มแทงตัวเราเองได้ ประเมินหัวหน้าให้ดีว่าเราเปิดใจให้เขาได้แค่ไหน
ฟังดูโหดร้ายจนเหมือนจะไว้ใจใครไม่ได้ เหมือนจะอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้เลย แต่มันคือความจริงของโลกการทำงานที่เราต้องอยู่ให้เป็น
เราต่างคนแค่ทำงานบนหัวโขนที่เราใส่อยู่ก็เท่านั้น
วิธีรับมือกับระเบิดปรมาณู
ใน Episode นี้ความพีกสุดอยู่ที่เมนเทอร์มาช่า ที่ผ่านมานางจะดูนิ่งๆ เนือยๆ เมื่อยๆ มาตลอด แต่ Episode นี้ นางไม่นิ่งแล้ว นางพูดแล้ว!
สังเกตไหมว่าปกติที่ผ่านมา เวลาเมนเทอร์กลับมาจากห้องเชือด เปิดประตูมาก็มาพร้อมกับคำพูดเก๋ๆ ตามสคริปต์ที่ตัวเองคิดมาแล้วว่าแรงที่สุด ร้ายที่สุด อาละวาดฟาดงวงฟาดงาใส่ทีมอื่นให้ฟังแล้วตายตรงนั้นให้ได้ เช่น เมนเทอร์บีมากับประโยคที่ว่า “บีอยากจะเห็นผู้หญิงที่ผ่านมาแล้วทุกยุค ถ้าโดนคัดลูกทีมออกทีละคน จะเปราะบางแค่ไหน” หรือเมนเทอร์ลูกเกดกับประโยค “จะประกาศศึกกับพี่ใช่ไหม”
แต่เมนเทอร์มาช่าในสัปดาห์นี้เปิดประตูกลับมาปุ๊บ ทำหน้านิ่งๆ แค่บอกให้ลูกทีมกลับห้องแล้วก็เดินออกมาเลย ไม่มีคำคมกาละแมร์ฝากไว้ให้ใครแต่อย่างใด เออ! ไม่ละครดี! ชอบ!
แต่เด็ดสุดคือตอนที่เมนเทอร์ลูกเกด (ซึ่งถอดวิกแล้ว) ระเบิดใส่เมนเทอร์มาช่าตูม! แต่ภายในเวลาไม่กี่นาทีของการปะทะกัน เมนเทอร์มาช่ามาพร้อมกับคำคมธรรมะสวัสดีที่รัวเป็นชุดจนน่าเอาไปทำ meme ให้หมดเลย ตั้งแต่ “สติหน่อยเกด” “อย่าอินเกิน อย่าอินเกิน อย่าอินเกิน” “ทุกคนทำงาน ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว” “พี่ไม่จำหรอก” “ตามสบายเหอะ” “โลกไม่ได้หมุนรอบเกดนะ” “เกมก็คือเกมนะ สติ!”
เสียงเรียบๆ นิ่งๆ เย็นๆ รู้ว่าระเบิดอยู่ข้างในใจแต่ไม่ปล่อยให้ระเบิดออกมา แต่สายตานี่สิ อูย… ใครว่าพี่ช่าหน้าอารมณ์ไหนก็เหมือนกัน ขอให้รีบมาดูใหม่
อันนี้ก็สอนให้เรารู้เหมือนกันว่า เวลาโกรธแล้วเกิดการปะทะกัน คนชนะคือคนที่ควบคุมสติและอารมณ์ได้ดีที่สุด (แม้คนดูทางบ้านจะบอกว่า ตบเลย! ตบ! ก็ตาม) ยิ่งถ้าอีกฝ่ายแรงแล้วเราแรงตอบก็เหมือนยิ่งสุมไฟให้แรงกว่าเดิม มันจะยิ่งบานปลายเผาผลาญทุกอย่างเป็นเพลิงพระนางกันเลยทีเดียว (ภาพมวยผมแบบละคร เพลิงพระนาง ลอยมาทันที)
เวลาโกรธ ทุกคำพูดของเรามันจะแรงกว่าปกติ และคำพูดเป็นสิ่งที่เมื่อออกไปจากปากเราแล้วเราเอาคืนไม่ได้ คำพูดบางคำมีอานุภาพทำลายล้างยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูอีก เราไม่ควรปล่อยให้คำพูดของเรามาทำลายตัวเราเองได้ โกรธแค่ไหนก็ต้องคุมสติให้อยู่ (ดีดนิ้วเป๊าะ! เหมือนพี่ช่าด้วย)
ในชีวิตจริง เราไม่ได้วัดชัยชนะกันที่คำพูดใครจะแรงกว่ากัน แต่ดูกันที่ใครมีแรงพอจะประคองสติได้อยู่ในสถานการณ์ที่ชวนเสียสติ
แต่ไปเจอใครระเบิดใส่มาแล้วเราไปดีดนิ้วเป๊าะ! “มีสติ” แบบพี่ช่าแล้วโดนเขาตบมา อันนี้ก็ขอให้มีสติในการหลบฝ่ามือให้ทันด้วย
สัปดาห์หน้าจะดุเดือดแค่ไหน ใครจะเป็นเมนเทอร์ ใครจะเป็นมอนสเตอร์ และรายการจะยัดเยียดโฆษณาอะไรมาให้เราหัวเราะกันอีก เดี๋ยวเรามาดูกัน!
Tags: TheFaceThailand