เริ่มเรื่องมาอาจจะฟังดูหรูหรา ชวนฝัน และน่ากลัวชวนพิศวง แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในประเทศโปรตุเกส เมื่อพูดถึงที่นี่ ส่วนมากคนมักจะรู้จักกันแค่เมืองใหญ่ๆ อย่างลิสบอน (Lisbon) หรือ ปอร์โต้ (Porto) แต่จริงๆ แล้ว ที่นี่ยังมีเมืองเล็กๆ น่าสนใจให้ค้นหาอีกมากมาย เช่นเมืองซิงตรา (Sintra) และเมืองกัชไกช์ (Cascais) ทั้งสองเมืองนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลิสบอน เดินทางก็สะดวกสบาย เหมาะแก่การเป็น day trip อย่างยิ่ง
ซิงตรา (Sintra) เมืองมรดกโลก
ซิงตราเป็นเมืองเล็กๆ ห่างจากลิสบอนเพียง 28 กม. เดินทางโดยรถไฟแค่ 45 นาทีก็ถึงแล้ว ใครที่มาลิสบอนก็มักจะเผื่อเวลามาเที่ยวเมืองนี้ด้วยเสมอ ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี 1995 สถานที่หลายแห่งในเมืองนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนด้วย
การเดินทางในเมืองซิงตราสะดวกสบาย จะเดินเท้า นั่งรถตุ๊กตุ๊ก (ใช่แล้ว! รถตุ๊กตุ๊กแบบเมืองไทยเลย) หรือนั่งรถประจำทางก็ตามแต่สะดวก สถานที่แต่ละแห่งมีรถโดยสารไปถึงหน้าทางเข้า และเนื่องจากที่นี่เป็นเมืองฮิตมาก รถโดยสารจึงแน่นเป็นปลากระป๋องแทบจะขี่คอกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาขากลับยอดฮิต หรือราว 4-5 โมงเย็น
คินตา ดา ฮือกาไลรา (Quinta da Regaleira)
เราเริ่มต้นเดินเท้าจากสถานีรถไฟไปยังบ้านเศรษฐี คินตา ดา ฮือกาไลรา (Quinta da Regaleira) หนึ่งในบ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เดิมที่นี่สร้างโดยตระกูลฮือกาไลรา พ่อค้าเศรษฐีจากเมืองปอร์โต้ (Porto) ภายหลังขายบ้านนี้ต่อให้กับ คารวาลลู มองเตโร (Carvalho Monteiro) เศรษฐีชาวบราซิล ผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทำให้บ้านหลังนี้ไม่เหมือนใครในโลกนี้ เพราะมองเตโรวางแผนสร้างที่นี่ใหม่ให้ตอบสนองความต้องการ ความเชื่อ และจินตนาการอันล้ำลึก โดยมีสถาปนิกชาวอิตาลีมาช่วยสร้างจินตนาการนั้นให้เป็นจริง
เขาผสมผสานการตกแต่งสไตล์ต่างๆ ทั้งโรมัน โรมัน กอธิก เรอเนสซองซ์ และ มานูเอลไลน์ (สไตล์ กอธิกของโปรตุเกส) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ จากพื้นที่ทั้งหมด 24 ไร่ คาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ของตัวบ้านเพียงแค่ 10% ที่เหลือเป็นสวนป่า บ่อน้ำลึกลับ ทะเลสาบจำลอง โบสถ์ขนาดย่อม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำส่วนตัว อุโมงค์เขาวงกต ฯลฯ สุดแล้วแต่จะจินตนาการได้
ใครวางแผนจะมาที่นี่ ควรเผื่อเวลามาเดินเยอะๆ เนื่องจากเป็นบ้านที่เดินผจญภัยได้อย่างสนุกไม่มีเบื่อเลยทีเดียว
พระราชวังเปนา (Palácio da Pena หรือ Pena National Palace)
จากนั้นเราไปต่อกันที่พระราชวังเปนา (Palácio da Pena) ปราสาทที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน ที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเขาซิงตรา ยอดเขาที่สูงที่สุดของเมือง
จากประตูทางเข้า เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินเองผ่านสวนขนาดยักษ์ที่มีต้นไม้มาจากทั่วโลก หรือจะนั่งรถชัทเทิลบัสขึ้นไปยังปราสาทเลยก็ได้
ที่นี่เริ่มต้นจากการเป็นโบสถ์เล็กๆ จนขยายใหญ่โตมาเป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับราชวงศ์โปรตุเกสในภายหลัง
ก้าวแรกที่เข้ามา ก็รู้สึกได้ถึงความสนุกสนานและสีสันสดใสตามสไตล์เมืองอบอุ่น มีการผสมผสานสไตล์การออกแบบสมัยยุคกลางรวมกับแขกมัวร์เข้าด้วยกัน ผนังบางส่วนประดับด้วยกระเบื้องเซรามิกวาดมือสไตล์โปรตุเกส (Azulejo) ภายในปราสาทยังมีกลิ่นอายการตกแต่งคล้ายกับปราสาทแถวแม่น้ำไรน์ของเยอรมัน เนื่องจากสถาปนิกผู้รับผิดชอบ เป็นชาวเยอรมันที่เชี่ยวชาญการออกแบบสไตล์นี้ ปราสาทแห่งนี้จึงผสมผสานสไตล์การออกแบบของยุโรปเข้าด้วยกันอย่างประหลาดแต่ลงตัว
ชมความสวยงามที่มนุษย์สร้างกันแล้ว ยังมีความสวยงามน่าพิศวงที่ธรรมชาติสร้าง เรากำลังจะไปกันที่เมืองกัชไกช์ (Cascais) เพื่อเที่ยวชม “ปากขุมนรก” (Boca do Inferno) ไปลองค้นหากันดีกว่า ว่าปากขุมนรกมันเป็นอย่างไร
กัชไกช์ (Cascais) แหล่งตากอากาศริมทะเล
กัชไกช์ เป็นเมืองชายทะเลขนาดกลาง กะทัดรัด อยู่ติดริมมหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ไพศาล ในอดีต ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ และเป็นเมืองพักตากอากาศของราชวงศ์โปรตุเกสด้วย ปัจจุบัน ที่นี่ยังคงเป็นเมืองพักตากอากาศยอดฮิตของคนโปรตุเกสไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ปากขุมนรก ‘โบคา ดู อินแฟร์โน’ (Boca do Inferno)
เราเลือกมากัชไกช์ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะอยากรู้จักหน้าตาปากขุมนรกว่าเป็นอย่างไร ที่สำคัญเมืองนี้ห่างจากตัวเมืองลิสบอนเพียงแค่ 30 กม. เป็นเหมือนชานเมืองของลิสบอนเลยก็ว่าได้ หากใครต้องการหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ และมาสูดกลิ่นทะเล แนะนำให้นั่งรถไฟตรงมาที่เมืองนี้เลย เพียงแค่ 40 นาทีก็ได้นั่งชมวิวสวยๆ แล้ว
จุดหมายของเราอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ 2 กม. ออกจากสถานีรถไฟไปนิดเดียวก็ถึงย่านใจกลางเมือง เมืองที่นี่มาแนววินเทจ ตึกรามบ้านช่องเก่ามีสไตล์แต่ไม่โทรม พื้นทางเดินทำเป็นลวดลายคลื่นน้ำ ดูสวยเข้ากับเมืองทีเดียว แม้แต่ตู้ไปรษณีย์ที่นี่ ก็ยังเป็นแนววินเทจไม่แพ้ตัวเมือง
ระหว่างทางไป มีจุดให้แวะชมหลายแห่ง ทั้งวังเก่าและพิพิธภัณฑ์ เป็นเส้นทางเดินสะดวกสบายและมีเลนจักรยานขนานคู่กันไปตลอดทาง เดินชมวิวไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก คลื่นที่นี่รุนแรงมากและส่งเสียงคำรามน่ากลัว กัดเซาะชายฝั่งหินจนเป็นรูพรุน ยิ่งเข้าไปใกล้จุดหมาย ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกัดเซาะเป็นโพรงหน้าผาขนาดใหญ่ และนั่นก็คือที่มาของ โบคา ดู อินแฟร์โน หรือ ปากขุมนรกแห่งนี้นี่เอง
นอกจากสองเมืองนี้แล้ว โปรตุเกสยังมีอีกหลายเมืองที่น่าสนใจ ค่าครองชีพก็ไม่แพง ความเป็นอยู่ดี อาหารอร่อย ที่สำคัญประเทศนี้เป็นต้นกำเนิดของ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และทาร์ตไข่ ยิ่งถ้าได้มีโอกาสมาชิมทาร์ตไข่เจ้าอร่อย จะต้องติดใจจนอยากกลับมาที่ประเทศนี้อีกแน่นอน
Fact Box
- หากใครอยากเที่ยวชมเมืองซิงตราอย่างเต็มอิ่ม แนะนำให้เดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ หรือไม่ก็ค้างที่เมืองนี้เลยจะได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่
- ถ้าเดินทางมาพร้อมกับเด็กน้อย การใช้เป้อุ้มเด็กจะทำให้เดินทางง่าย และสะดวกสบายกว่า
- ขอย้ำอีกทีว่า มาประเทศนี้ ต้องอย่าลืมมาชิมทาร์ตไข่ โดยเฉพาะจากร้าน Pastéis de Belém ที่ลิสบอน และถ้าจะให้ดี เดินมานั่งกินที่ศาลาไทยที่อยู่ไม่ไกลจากร้านก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง