ลีซียนลุง นายกรัฐมนตรีของประเทศสิงคโปร์ ได้กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันแรงงาน เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 และนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ ที่กล่าวสุนทรพจน์วันแรงงานผ่านทางระบบไลฟ์ สตรีมมิ่ง
เขาชี้ว่าขณะนี้รัฐบาลมุ่งใช้งบประมาณกว่า 60 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (42.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อรักษางาน ช่วยค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ลูกจ้างและนายจ้างต้องพบกันครึ่งทาง เพื่อให้ระบบแรงงานของสิงคโปร์ยังเดินต่อไปได้ เพราะสิงคโปร์ได้รับผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัสจากการถดถอยทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น เขากล่าวว่ารัฐบาลอาจไม่สามารถช่วยรักษางานของทุกคนไว้ได้ แต่ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแลแรงงานทุกคน
“แต่ผมอยากให้นายจ้างและลูกจ้างทุกคนมองในมุมกว้างมากขึ้น กลุ่มลูกจ้างต้องยอมที่จะเสียค่าแรงบางส่วน เพื่อรักษาธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ขณะเดียวกัน นายจ้างต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือและรักษาลูกจ้างเอาไว้เช่นกัน กลุ่มนายจ้างต้องไม่ทอดทิ้งลูกจ้างในทันทีที่มีปัญหาเกิดขึ้น” เขาชี้ว่าวิธีดังกล่าวจะช่วยให้กลุ่มแรงงานจดจำและตอบแทนคืนด้วยความโอบเอื้อ รวมถึงให้ความซื่อสัตย์และเสียสละเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด และสามารถกลับมาเติบโตมากยิ่งกว่าเดิม หลังสิ้นสุดวิกฤต
“มันเป็นไปได้ที่โครงสร้างระบบเศรษฐกิจของพวกเราต้องเปลี่ยนแปลง และกลุ่มบริษัทต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อความอยู่รอด ซึ่งทำให้อาชีพบางอาชีพจะต้องหายไป” เขากล่าวต่อว่า กลุ่มแรงงานบางกลุ่มต้องยอมรับการปรับตัว และเข้ารับการเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมครั้งใหม่ เพื่อหางานทำในภาคส่วนอื่นๆ
โดยเขาชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงนโยบายล็อกดาวน์ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ทั้งการปรับตัวสู่การทำงานและใช้ชีวิตในระบบสื่อสารทางไกล การซื้อสินค้า รวมถึงการเรียนผ่านระบบออนไลน์ และทุกคนควรมองหาโอกาสใหม่ๆ ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มากกว่ากลับไปอยู่ในความคุ้นชินแบบเดิม ถึงแม้จะมีการยกเลิกนโยบายล็อกดาวน์ ในวันที่ 1 มิถุนายน ก็ตาม
ลีพยายามชี้ให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมบางส่วนของสิงคโปร์ยังคงเติบโต เข้มแข็ง และต้องการแรงงานมากขึ้น อาทิ การแพทย์, เทคโนโลยีชีวภาพ, การผลิตและขนส่งอาหาร รวมถึงไอที
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ ได้เปิดเผยตัวเลขการคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรฐกิจไว้ว่า อาจจะหดตัวลงร้อยละ -1 ถึง -4 ขณะที่อัตราการว่างงานอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.4 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินในปี 2009
ลีให้ความเชื่อมันว่า รัฐบาลมีแผนที่จะ ‘ฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นลำดับ’ (progressively restart) หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลง โดยเขายืนยันว่ารัฐบาลจะยังคงเฝ้าดู ติดตาม และตรวจหาผู้ติดเชื้อ เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ หลังการคลายล็อกดาวน์จะมีการทยอยเปิดภาคอุตสาหกรรม โดยจะเปิดภาคส่วนที่จำเป็นที่สุดต่อเศรษฐกิจภายในประเทศก่อน ส่วนสถานบันเทิงและสถานกีฬายังคงต้องรอต่อไป
“โควิด-19 คือความท้าทายของยุคสมัย เชื้อไวรัสตัวนี้มันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ มองไม่เห็นแต่กลับน่าหวาดเกรง แต่มันเป็นคราวของเราแล้ว ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์คู่ควร และพร้อมที่จะยืดหยัดต่อสู้กับความท้าทายเบื้องหน้า และผมมั่นใจว่าชาวสิงคโปร์ทุกคนจะพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเราทำได้มากกว่าที่ต้องทำ ผมหวังว่าชาวสิงคโปร์ทุกคนจะมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ในวันแรงงาน” ลีกล่าวทิ้งท้าย
*แก้ไขล่าสุดเมื่อ 4 พฤษภาคม 2563 เวลา 14.46 น.
อ้างอิง:
Tags: สิงคโปร์, ลีเซียนลุง, วันแรงงาน