‘นายกับบ่าว’

‘นายหญิงกับทาส’

‘บอสกับลูกน้อง’

‘เจ้านายกับสัตว์เลี้ยง’

ทั้งหมดที่ว่ามาคือรูปแบบของความสัมพันธ์ อีกนัยหนึ่ง สิ่งเหล่านี้คือการ ‘โรลเพลย์’ สวมบทบาทขณะร่วมรักหรือร่วมเพศของคนที่มีรสนิยมเดียวกัน ที่บางครั้งอาจมีอุปกรณ์ต่างๆ ศาสตร์หรือศิลป์บางแขนง เข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เติมเต็มกิจกรรมวาบหวามที่กำลังเกิดขึ้น

ช่วงนี้เรื่องของ BDSM ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้งในสังคม เป็นผลมาจากซอฟต์พาวเวอร์ หรือการขยายอิทธิพลทางความคิดแบบไม่บังคับความคิดใคร แต่สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์ ซีรีส์ บทเพลง หรือวรรณกรรม ที่ทำให้ผู้คนเริ่มค้นหาความหมายเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับรสนิยมที่แต่ก่อนถูกต่อต้านหนัก ไม่เป็นที่ยอมรับ ลุกลามไปจนถึงผลักไสไล่ส่งคนที่มีรสนิยมเซ็กซ์แบบนี้ รสนิยมที่คนส่วนใหญ่ตัดสินไปแล้วว่าผิด

ในช่วงที่สังคมไทยเริ่มเปิดกว้างเรื่อง BDSM แม้เพียงน้อยนิด แต่ก็ถือว่าเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก The Momentum มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘เมย์’ และ ‘เอ’ หญิงสาวสองคนที่ทำงานอยู่ใน BarBar Fetish Club สถานบันเทิงที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของชาว BDSM ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะมีความชอบแบบใด ชอบเป็นผู้คุมกฎ ชอบที่จะเป็นผู้ถูกกระทำ หรือชอบใช้อุปกรณ์ต่างๆ ทั้ง โซ่ เชือก แส้ เทียน หรือชุดคอสเพลย์หลากหลายอาชีพ เพื่อทำให้กิจกรรมทางเพศสุขสมมากขึ้นกว่าเคย ทุกอย่างที่ว่ามานี้มีพร้อมสรรพ รอให้ผู้มาเยือนได้ปลดเปลื้องตัวตนและรสนิยมของตัวเอง

 

BDSM สุขสมในความเจ็บปวด และเป็นสุขจากการได้เป็นผู้กระทำ

หากมองว่า BDSM ที่ถูกต้องคือการไม่ละเมิดใครและเป็นความยินยอมพร้อมใจกันของทุกฝ่าย เช่นนั้นแล้ว BDSM คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย และต้องทำให้คนที่มีรสนิยมนี้ถูกผลักออกจากสังคมให้กลายเป็นคนชายขอบ

ความหมายของ BDSM ตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่จะถูกแยกออกตามตัวอักษร

B คือ Bondage (ความเป็นทาส)

D คือ Discipline (การลงโทษ) และ Dominance (การแสดงอำนาจเหนือกว่า)

S คือ Submission (การยอมจำนน) และ Sadism (ความรู้สึกสุขสมเวลาที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด)

M คือ Masochism (การเกิดความรู้สึกสุขสมจากการถูกทำให้เจ็บปวด)

ทั้งหมดคือ BDSM การสุขสมที่สร้างความพึงพอใจให้กับทุกฝ่าย

เมย์ทำงานที่นี่มาสี่ปีแล้ว ส่วนเอทำงานได้สามปี เมย์เล่าให้ฟังว่ามีบางคนทำงานอยู่ที่ BarBar Fetish Club นานเป็นสิบปีก็มี โดยส่วนใหญ่ทุกคนจะเริ่มเข้างานตอนหกโมงเย็น แล้วกลับบ้านตอนเที่ยงคืน ซึ่งการได้เข้ามาคลุกคลีอยู่ในร้าน ทำให้ทั้งคู่ค้นพบรสนิยมของตัวเองในอีกมุมหนึ่งเหมือนกัน

“เวลาเราเดินข้างนอก เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นอย่างไร ใครมีความชอบแบบเราบ้าง และในสังคมไทยยังถือเป็นเรื่องยาก สังคมแบบนี้ ใครเขาจะเปิดใจว่าตัวเองชอบแนวนี้ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน เราชอบสิ่งนี้ไหม พอทำงานในบาร์ได้พักหนึ่ง ได้สัมผัส ได้เห็นอะไรมากขึ้น กลายเป็นว่าเรารู้สึกสนใจและตื่นเต้นไปกับสิ่งที่เห็น”

“คนที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านคือคนที่มีบางอย่างเหมือนกับเรา เพราะบาร์นี้เป็นบาร์เฉพาะ เขาต้องเลือกและทำความเข้าใจมาระดับหนึ่ง ต้องมีรสนิยมประมาณนี้ถึงเดินเข้ามาที่บาร์ของเรา เพราะส่วนมากคนที่ไม่เคยมาเขาจะศึกษาในเว็บไซต์ก่อนอยู่แล้ว

“แต่ละวันที่เราต้องเจอลูกค้า เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าลูกค้าจะมาแนวไหน ต้องคอยสังเกตว่าเขาเป็นแนวไหน ยกเว้นลูกค้าประจำที่เราจะรู้จักกันอยู่แล้ว เรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างแปลกใหม่ในสังคมไทย ไม่เหมือนบาร์อะโกโก้ทั่วไปที่เต้นอย่างเดียว”

หากจะทำให้ BDSM เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมากขึ้น เมย์เปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades of Grey ที่ค่อนข้างเข้าถึงผู้คนหลายกลุ่ม ก่อนเธอจะย้ำว่าสิ่งที่เห็นในหนังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ BDSM เท่านั้น และ BDSM มีความหลากหลาย มีมิติที่มากกว่านั้นอีกมาก ซึ่งคนส่วนมากที่เล่นกันก็จะรู้อยู่แล้ว

 

BarBar Fetish Club ที่นี่คือ ‘บาร์ซาดิสม์’

ก่อนที่โลกจะมีโควิด-19 BarBar Fetish Club ไม่เคยร้างผู้คน ลูกค้าหลายสิบคนคลาคล่ำอยู่ทั่วร้าน บาร์ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ในช่วงรุ่งโรจน์มีพนักงานเกือบ 30 คน ลูกค้าบางคนพึงใจจะนั่งอยู่ตรงโซฟามุมห้อง จิบเครื่องดื่มสังเกตบรรยากาศรอบตัว บางคนมาเป็นกลุ่มใหญ่ นั่งเล่นพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกับกลุ่มตัวเอง พลางมองการแสดงที่เกิดขึ้นในทุกวัน ส่วนคู่รักที่มาด้วยกัน หรือลูกค้าที่มาคนเดียว พวกเขาต่างก็พร้อมจะเล่นสนุกกับพนักงานในร้านเสมอ

“บาร์แห่งนี้เป็นบาร์ BDSM หรือที่คนมักเรียกว่า ‘บาร์ซาดิสม์’ แต่การที่จะซาดิสม์ได้ มันไม่ใช่แค่ความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องเป็นความต้องการที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เป็นกิจกรรมที่มีมากกว่าสองคนได้ บางคนก็นิยมเล่นกันเป็นกรุ๊ป แต่ส่วนใหญ่ที่เมย์เจอจะมาในรูปแบบของคู่ชีวิต สามีภรรยาที่มาด้วยกัน และให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์”

เมย์เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีคู่รักบางคู่จับมือกันมายังบาร์บาร์ ฝ่ายสามีต้องการจะเห็นภรรยาเล่นสนุกกับเธอ จึงเรียกเธอให้มาเล่นกับภรรยาของเขา ส่วนเขานั่งดูอยู่ไม่ไกล เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ไม่เกี่ยวข้องกับความรักหรือความสัมพันธ์ แต่จะมองว่ากิจกรรมดังกล่าวคือการเติมเต็มเรื่องเซ็กซ์เพียงเท่านั้น

“บางคนหรือบางคู่จะมองเรื่องนี้เป็นแค่แบบหนึ่งของการมีเซ็กซ์จริงๆ เป็นเหมือนแฟนตาซีประเภทหนึ่ง ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม และไม่ใช่ว่าเราจะมาเล่นแบบนี้กันได้ทุกวัน แต่ในทุกครั้งที่รู้สึกเบื่อหรือรู้สึกว่าเรื่องบนเตียงจืดชืดหรือเดิมๆ จนเกินไป ก็สามารถมาลองประสบการณ์ใหม่ๆ และได้ลองค้นหาความชอบของตัวเองมากขึ้นอีกด้วย”

ตอนนี้ประเทศไทยมีบาร์ BDSM เพียง 3 ที่เท่านั้นที่เปิดให้บริการแบบถูกกฎหมาย คือ ที่นี่ BarBar Fetish Club ที่พัฒน์พงศ์ซอย 2 Demonia Fetish and BDSM Club ที่สุขุมวิท 33 และ The Castle ที่พัทยา

แต่พอเกิดโควิด-19 ธุรกิจกลางคืนได้รับผลกระทบหนัก เมย์พูดสิ่งที่อึดอัดใจว่าธุรกิจกลางคืนเป็นธุรกิจที่ปิดก่อนเปิดทีหลัง ซ้ำในช่วงเวลาแบบนี้ พวกเขามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 จากการสัมผัสมากพอสมควร และก็ไม่ได้การแก้ปัญหาหรือรับการเยียวยาใดๆ จากรัฐบาล

 

DOM และ SLAVE เรื่องราวของ ‘ผู้คุมกฎ’ และ ‘ผู้ถูกกระทำ’

“บางคนเคยเป็นทาส และไม่สามารถขึ้นมาเป็นนายหญิงได้ เรื่องแบบนี้ต้องมีความในใจว่าคุณอยากเป็นมาก่อน บังคับกันไม่ได้”

BDSM ถือเป็นโลกใบน้อยๆ ของคนที่มีความชอบเหมือนกัน และพวกเขาจะมีกติกาที่แตกต่างกันไปในแต่ละคู่หรือแต่ละกลุ่ม รวมถึงจะมีสิ่งที่พวกเขาเข้าใจกันเองเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่บาร์ BDSM

ผู้เล่นส่วนใหญ่มักแบ่งบทบาทเป็นสองแบบกว้างๆ คือ Dom หรือ Master ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้คุมกฎ เป็นผู้กระทำ เป็นผู้ออกคำสั่งต่างๆ และอีกบทบาทหนึ่งคือ Slave ที่ความหมายตรงตามชื่อ เป็นทาส เป็นผู้ถูกกระทำ และเป็นผู้ที่จะต้องทำตามคำสั่งที่ Dom ต้องการ

บางครั้ง Dom กับ Slave จะถูกเรียกไปตามการสวมบทบาทต่างๆ เช่น นายหญิงกับทาส บอสกับลูกน้อง หรือแม้กระทั่งเจ้านายกับสัตว์เลี้ยง ที่ในแต่ละบริบทที่เล่นกัน มักมีการกำหนดฐานะชัดเจนว่าใครจะเหนือกว่า และใครที่จะต้องเป็นผู้ทำตามคำสั่ง

“ตอนนี้ที่ร้านเรามีพนักงานประมาณ 14-15 คน เป็น Slave ทั้งหมด เป็นเพราะประสบการณ์ เพราะบุคลิก บางคนอยู่มานานมากแต่เป็น Slave ได้อย่างเดียว พอจะลองเปลี่ยนให้เป็น Dom ก็เป็นไม่ได้ บางครั้งลูกค้าอยากให้พนักงานตีแรงๆ เขาก็ไม่กล้าตี เพราะเป็นคนที่ไม่กล้าทำร้ายใคร ไม่กล้าใช้ความรุนแรงกันคนอื่น แต่เขายินยอมที่จะถูกกระทำแทน”

“บางคนเปลี่ยนได้ พยายามจะทำและทำได้ดี แต่ในบางครั้งพอถึงเวลา ถ้าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นตัวตนของเราจริงๆ เราก็จะทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดี”

เมื่อก่อนการตามหาคนที่มีรสนิยมความชอบเหมือนกันเป็นเรื่องยาก เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครมีความชอบแบบไหน หรือถ้าพออยู่ในสถานที่ที่รวมคนที่มีความชอบเหมือนกัน ก็ยากที่จะหาว่าใครเป็น Dom หรือเป็น Slave ที่ลงตัวกันทั้งสองฝ่าย แต่เมย์บอกกับเราว่า ตอนนี้ เรื่องแบบนี้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะทุกคนอาศัยโซเชียลมีเดีย ใช้เทคโนโลยีตามหาคนที่มีความชอบเหมือนกัน มีการสร้างกลุ่ม คุยกันตามคอมมูนิตี้ออนไลน์ ขยับความรู้สึกที่ไกลห่างให้เข้ามาใกล้กันยิ่งขึ้น

 

‘ชิบาริ คอสเพลย์ โรลเพลย์’ หนึ่งในซับเซตที่หลากหลายของ BDSM

บรรยากาศภายใน BarBar Fetish Club เต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย เมื่อพ้นประตูเข้ามาจะเจอกรงขนาดใหญ่ เจอราวแขวนเสื้อที่มีชุดอาชีพต่างๆ จำนวนมาก แสงนีออนสีแดงทำให้ห้องขนาดกำลังดีไม่มืดจนเกินไป ทำให้พอมองเห็นหน้ากากหลากหลายรูปแบบที่มีไว้เพื่อสร้างความตื่นเต้น หรือมีไว้เพื่อบดบังใบหน้าของผู้สวมใส่

หลังนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ สำรวจบรรยากาศโดยรอบได้พักหนึ่ง เมื่อเงยหน้ามอง เราจึงเห็นสายโซ่ระโยงระยาง ส่วนผนังที่เยื้องไปไม่ไกลทำหน้าที่เป็นที่แขวนแส้ เชือก และอุปกรณ์หน้าตาแปลกประหลาดที่ไม่รู้จัก ก่อนจะได้รับคำตอบว่าข้าวของเหล่านี้ถูกผู้คนที่แวะเวียนมาหยิบใช้อยู่เป็นประจำ

“เทียน แส้ ไม้เรียว เชือก ถือเป็นอุปกรณ์ในซับเซตหนึ่งของ BDSM ลูกค้าบางคนชอบชิบาริ ซึ่งคนที่ทำงานที่นี่ก็มัดเป็น เพราะจะมัดกันสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ บางคนเดินเข้าในร้านเพื่อยืมตัวเราไปฝึกมัด บางทีแค่มาลองดูเฉยๆ มานั่งดื่มลุกมาให้ถูกรัดเชือกเล็กน้อยแล้วค่อยกลับก็มี”

เมย์เล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ต้องทำให้ย้อนกลับไปคิดว่า เดิมทีการนำเชือกพันธนาการร่างกายของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘ชิบาริ’ (Shibari) ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากเซ็กซ์ แต่เริ่มมาจากการมัดเพื่อลงโทษ มัดให้รู้สึกไร้อิสรภาพ มัดเพื่อประจานให้อับอายและเจ็บปวดจากการถูกรัดรึง และต้องใช้ศาสตร์ในการมัดที่ต้องศึกษากันมาก่อน แต่ภายหลังการใช้เชือกรัดร่างเพื่อลงโทษ กลายเป็นการมัดเพื่อความบันเทิงขณะร่วมกิจกรรมทางเพศ

“พื้นฐานของชิบาริค่อนข้างใช้เวลา หากจะมัดกันจริงๆ ใช้เวลาเป็นวัน ต้องไปอบรมหรือไปเรียนมา จะต้องรู้ว่าจุดไหนคือจุดสำคัญ จุดอันตราย จุดที่ห้ามมัดห้ามรัด และต้องมัดไม่เกินกี่นาที และต้องรู้วิธีกระตุกเชือกให้หลุดในครั้งเดียว”

“ส่วนใหญ่เราพอจะดูออกว่าใครทำเป็น ใครเรียนชิบาริมาบ้าง เพราะเบสิกจะเริ่มแค่ไม่กี่รูปแบบและรู้กันอยู่แล้ว เวลาทำโชว์แต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่เกิน 10-15 นาที นานเกินไปจะน่าเบื่อ เพราะบางคนก็ไม่ได้ชอบแค่การมัดเชือก BDSM มันมีอะไรมากกว่านั้น”

โชว์ที่ว่าคือการแสดงของพนักงานที่จะ ‘เล่น’ กับอุปกรณ์ต่างๆ สวมบทบาทต่างๆ เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคนในร้าน บางโชว์เป็นชิบาริ หรือโชว์การมัด การตี การเล่นเทียน หรือโชว์เลสเบี้ยน ที่เมย์เล่าว่าส่วนใหญ่จะเป็นโชว์สำหรับคนหน้าใหม่ที่เพิ่งแวะเวียนเข้ามาครั้งแรก หากเปิดด้วยโชว์ที่รุนแรง ลูกค้าหน้าใหม่คนนั้นอาจจะตกใจหรือรู้สึกกลัวได้ พานให้เกิดความรู้สึกต่อต้านไปเลยก็มี ซึ่งการแสดงก็จะเป็นเพียงแค่การแสดง แตกต่างกับการเล่นกับลูกค้า ที่จะเป็นการ ‘เล่น’ กันจริงๆ

“ชุดคอสเพลย์เรามีทั้งพยาบาล คุณครู หมอ ตำรวจ แอร์โฮสเตส มี Slave ที่แต่งตัวเป็นแม่บ้าน เป็นอาชีพต่างๆ เหมือนคอสเพลย์ทั่วไป จากนั้นก็โรลเพลย์ (การสวมบทบาท) ลูกค้าบางคนเขาก็เอาชุดของเขามาเอง เพื่อทำให้เห็นว่านี่เป็นตัวตนของเขาจริงๆ”

“บางคนมาเป็นหมาเป็นแมวก็มี เขาชอบที่จะเป็นสัตว์เลี้ยง ใส่ปลอกคอแล้วใช้โซ่ล่ามเดินรอบร้าน บางทีลูกค้าไม่ได้เปิดตัวว่าชอบแบบนี้แต่แรก เขาจะนั่งดูอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยเดินมาขอร่วมด้วย บอกว่าอยากให้เราจูง ขอให้เราจูงเดินรอบร้าน”

BDSM ไม่ใช่เรื่องผิด และคนที่ชื่นชอบก็ไม่ใช่คนโรคจิต

“การมาที่บาร์ BDSM ไม่จำเป็นว่ามาแล้วต้องมีเซ็กซ์เสมอไป”

ที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่สถานบันเทิงที่มุ่งไปยังเรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียว เมย์ที่ทำงานอยู่มาสี่ปีแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับเราว่า หลายครั้งเธอคิดว่าบาร์นี้มีบทบาทเป็นสถานที่บำบัดความเครียด ลูกค้าเผชิญกับปัญหาหนักรายวันต่างแวะเวียนมาเพื่อปลดปล่อยความรู้สึก มาทำให้ตัวเองเจ็บ มาทำให้ตัวเองโดนเฆี่ยนตี มาเพื่อตีคนอื่น หรือมาเพื่อต้องการไออุ่นจากคนที่เข้าใจกัน

“ช่วงก่อนโควิด-19 ไม่ได้มีลูกค้าคนไทยเยอะขนาดนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เพราะคนไทยไม่ค่อยกล้าเข้ามา เขากลัวเจอคนรู้จัก แต่พอยุคนี้เราจะมีลูกค้าคนไทยเยอะขึ้นมาก สังคมเริ่มเปิดกว้าง สื่อพูดถึง BDSM มากขึ้น ลูกค้าคนไทยเริ่มเข้าหาเราด้วยการโทรเข้ามาสอบถาม พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ บางทีเขาเห็นเราในเพจทวิตเตอร์ เห็นข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ BDSM ที่เราลง เขาก็จะส่งข้อความมาสอบถาม”

จากสิ่งที่เมย์เล่า เธออยากให้คนเข้าใจ BDSM มากขึ้น เพราะมันเป็นแค่รสนิยมแบบหนึ่ง คนที่ชอบแบบนี้จะเป็นใครก็ได้ เพราะตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เธอเจอคนแทบทุกอาชีพ อาจารย์ ด็อกเตอร์ ข้าราชการระดับสูง ศิลปินสายอาร์ตชื่อดัง ที่ได้มาเจอกัน มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง BDSM

บุคคลเหล่านี้ค้นหาตัวเองเจอแล้วถึงได้มาพบกับเมย์และเอ แต่ยังมีคนอีกมากที่ยังคงไม่กล้าปลดเปลื้องตัวตน และพวกเธออยากให้ทุกคนที่สนใจลองเข้ามาทำความรู้จักกันก่อน

“เราก็จะแนะนำว่าให้ลองมาที่นี่ดูก่อนไหม มาลองดูว่าชอบแนวไหน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ หรือไม่ เพราะบางทีก็มีหลายคนไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบแบบนี้จริงๆ หรือไม่ บางคนเหมือนมาปรึกษากับเราว่า ที่เป็นแบบนี้แสดงว่าเขาป่วยหรือเปล่า บางคนมาที่บาร์ เห็นกิจกรรมต่างๆ เห็นคนโดนกระทำ เห็นการสั่งและการควบคุมคนอีกคนหนึ่ง เห็นคนถูกแส้ตี หรือเห็นการหยดเทียนแล้วรู้สึกชอบ แค่เห็นก็เอนจอยด้วยแล้ว

“บางคนไม่ใส่หน้ากากปิดใบหน้า แต่คนที่กลัวคนรู้จักก็สวมบ้าง แต่พอถึงเวลาจริงๆ หลายคนชอบที่จะทำให้คนอื่นเห็นด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเรื่องของการต้องการการยอมรับ อยู่ข้างนอกเขาอาจทำแบบนี้ไม่ได้ แต่อยู่ในนี้ทุกคนเข้าใจเขา บางครั้งลูกค้าเหมือนมาช่วยเราโชว์ด้วยเลยก็มี เล่นจริง เล่นแรงกับเขาได้ แต่ก็มีบางคนที่พอกลับบ้านไป เขาจะคิดว่าตัวเองไม่ปกติใช่ไหมที่ชอบเห็นอะไรแบบนี้

“BDSM ในมุมมองของเมย์ มันเหมือนการละเล่นแบบหนึ่ง ไม่ทำร้ายใคร ถ้าทำร้ายก็จะเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่าย บางทีเราก็คิดบางอย่างที่ตลกขึ้นมาได้ ใครจะรู้ว่าคนที่แอนตี้เราหนักๆ ตัวเขาเองอาจจะเป็นแบบเราด้วยก็ได้ แต่เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา เลยแสดงปฏิกิริยาต่อต้านสุดขั้วเพราะสังคมของเราก็ยังไม่ได้เปิดกว้างยอมรับ 100% ถ้าไม่ตามสังคมเขาก็จะถูกคนอื่นในสังคมเดียวกันกับเขามองว่าแปลก เลยมีเสียงที่ว่า ‘เออ คนนี้โรคจิตว่ะ ซาดิสม์’ ต้องตามน้ำไป เพราะถ้าไม่ตามจะโดนเหมาว่าเป็นเหมือนกัน”

สิ่งที่เมย์คิดก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดที่จะสมาทานได้ว่าคนที่แสดงท่าทีต่อต้าน BDSM ทุกคนจะเป็นคนที่ชื่นชอบการร่วมเพศแบบ BDSM แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนแบบที่เมย์ว่าจะไม่มีอยู่จริงในสังคมไทย

นอกจากนี้ เธอยังแบ่งปันเรื่องราวที่เคยได้พูดคุยกับเยาวชนบ้างประปราย เด็กวัยรุ่นที่กำลังตามหาตัวตนและรสนิยมของตัวเอง เลือกโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลที่ร้าน เมย์ก็พร้อมพูดคุย ให้ข้อมูล รวมถึงบางครั้งที่ต้องปลอบประโลมความวิตกกังวลของคนปลายสายที่คิดว่าตัวเองอาจผิดปกติ ก่อนทิ้งท้ายไว้ว่า หากมั่นใจมากขึ้นเมื่อไร เราอาจจะพบกันอีกครั้งหลังผ่านพ้นวันเกิดวัย 20 ปี

“ต้องเปิดใจยอมรับให้ได้ว่าตัวเราเป็นแบบไหน ตอนนี้ทุกคนส่วนใหญ่ยังปิดกั้นตัวเองอยู่ แต่เราอยากให้ลอง ลองให้รู้ ถ้ารู้แล้วอาจจะโล่งใจ ได้รู้ตัวตนมากขึ้น และถ้าลองเปิดใจแล้วพบว่ามีความสุขมากขึ้น ตอนนั้นก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดกั้นอีกแล้ว

“เข้าใจว่ามีหลายคนไม่อยากยอมรับตัวเอง รู้สึกอาย กลัวว่าจะเป็นตัวตลก แต่บาร์นี้ไม่เคยเห็นใครเป็นตัวตลกเลย เราคิดว่าเราให้เกียรติกัน ยอมรับกัน ไม่สนใจว่าเป็นใครมาจากไหน พอก้าวเท้าเข้ามาที่นี่คุณสามารถเป็นได้ทุกอย่าง”

Tags: , , , , , , ,