ภูมิทัศน์ของซานโตรินีนั้นช่างมีเสน่ห์ รูปทรงที่เหมือนจันทร์เสี้ยวชวนลึกลับ ยิ่งเดินเลาะเลียบไปตามชายขอบของวงพระจันทร์ยิ่งชวนตื่นตา เพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวเอียงลาดเป็นหน้าผาสูงชัน ลงไปบรรจบกับท้องทะเลสีฟ้าเข้มเบื้องล่าง
ทัศนียภาพที่แปลกตานี้เกิดจากแรงระเบิดของภูเขาไฟในอดีตที่ทำให้พื้นที่บริเวณกลางเกาะซานโตรินีเลื่อนและยุบตัวลงอย่างฉับพลันกลายเป็นหน้าผาสูงชัน ทั้งยังเปลี่ยนรูปลักษณ์ทรงกลมของเกาะซานโตรินีให้กลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
ความพิเศษทางภูมิทัศน์ ผสานกับงานสถาปัตย์เฉพาะถิ่นที่ตัวอาคารมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวโพลน แทรกด้วยโบสถ์ขนาดเล็กหลังคาทรงโดมสีฟ้าที่ผุดลดหลั่นตามความเอียงชันของหน้าผาและเชื่อมต่อถึงกันด้วยเส้นทางเดินแคบๆ ที่เลี้ยวลด ทำให้เกาะแห่งนี้พิเศษไม่เหมือนใคร และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นภาพจดจำในฝันของใครหลายคน
บรรยากาศเมืองเอีย
สีขาวฟ้าคือสัญลักษณ์ของตัวเกาะ สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากการแสดงออกถึงความรักชาติ ต่อต้านการยึดครองของชาวเติร์กที่ขยายอำนาจมาจนถึงดินแดนบริเวณท้องทะเลอีเจียน พวกเขาจึงเลือกที่จะทาสีบ้านเรือนด้วยสีขาวฟ้า ตามสีธงชาติ ซึ่งสีขาวยังช่วยสะท้อนความร้อนระอุของบ้านเรือนในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย และในช่วงปีค.ศ. 1967 – 1974 ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารที่ต้องการให้ประเทศมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง จึงออกกฏให้บ้านเรือนทั้งหมดทาสีตามสีธงชาติ ซานโตรินีจึงกลายเป็นเกาะสีขาวฟ้ามาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อตัดสินใจจะเดินทางมายังดินแดนจันทร์เสี้ยวแห่งทะเลอีเจียน ฉันเพ่งมองภาพเกาะแห่งนี้อยู่เนิ่นนาน บนเกาะมีเมืองอยู่หลายแห่งแต่ที่เป็นที่นิยมคือเมืองฟิรา (Fira) และเมืองเอีย (Oiu)
ฟิราเป็นเมืองที่ใหญ่สุดบนตัวเกาะ ทำเลที่ตั้งนั้นดีเยี่ยมเพราะอยู่แทบจะกึ่งกลางด้านในของขอบแอ่งภูเขาไฟ จึงเป็นจุดที่เห็นทิวทัศน์ที่มีลักษณะพิเศษของเกาะซานโตรินีได้แจ่มชัด และด้วยทำเลเช่นนั้นจึงเป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยว ที่พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายและของที่ระลึก
เมืองเอียก็น่าสนใจเช่นกัน เป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ปลายติ่งของขอบจันทร์เสี้ยวด้านบน ว่ากันว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าที่งดงามที่สุดของตัวเกาะ แต่ความพรั่งพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวนั้นเป็นรองเมืองฟิรา
ฉันนั่งมองจุดตำแหน่งเมืองฟิราและเอีย สลับไปมา ก่อนจะตัดสินใจเลือกที่จะพักที่เมืองเล็กเงียบสงบอย่างเอีย
สิ่งต่อมาที่ต้องขบคิดคือฉันจะเลือกพักที่ไหน ? ที่พักที่เอียมีไม่มาก และแพงกว่าที่ฟิรา และฉันก็ช่างจุกจิกเสียจริง ต้องการที่พักที่ทำเลจะต้องดี สะอาดสะอ้าน เจ้าของเป็นมิตร และที่สำคัญราคาจะต้องย่อมเยาว์
แล้วฉันก็หาที่พักที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจนได้ หากยังมีปัญหาค้างคาใจ ที่พักแห่งนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ
ไม่มีเครื่องปรับอากาศจะนอนได้หรือ ? จะร้อนไหม จะหลับได้หรือ ย้อนกลับไปพักที่เมืองฟิราดีกว่าไหม เพราะที่นั่นมีที่พักให้เลือกเหลือเฟือ ราคาก็ดีกว่า
ฉันคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนตกใจตนเอง นี่ฉันกลายเป็นคนช่างเอาใจยากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทันทีที่สะดุ้งคิดได้ มือก็กดจองที่พักในฉับพลัน การเดินทางเป็นการนำพาตนเองออกจากความคุ้นชินและความสะดวกสบายไม่ใช่หรือ แค่เรื่องเครื่องปรับอากาศจะอะไรนักหนา และเพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศนี่แหละ ทำให้ค้นพบว่าอากาศบนเกาะซานโตรินีช่วงเดือนตุลาคมนั้นดีเพียงใด
เอียเป็นเมืองเล็กที่น่ารัก พื้นที่กะทัดรัดก็จริงแต่มีรายละเอียดชักชวนให้ก้าวเท้าออกเดินสำรวจไปตลอดทาง
แน่นอนว่าร้านรวงรายทางมักเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมไปถึงที่พักต่าง ๆ ที่กระจัดกระจาย และมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ฉันลองสังเกตว่าในบรรดาร้านรวงเหล่านี้แอบมีแกลลอรีงานศิลปะที่นำเสนอความงดงามของเกาะซานโตรินีมาถ่ายทอดในมุมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านหนังสือแอตแลนติส ร้านหนังสือริมถนนสายหลักของตัวเมือง ที่ได้รับการคัดเลือกจากเว็บไซต์หลายเจ้าในอินเตอร์เน็ตว่าเป็นร้านหนังสือที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หากคุณเป็นนอนหนังสือ การได้เห็นร้านหนังสือแอตแลนติสเหมือนได้เห็นผลไม้แสนสวยชุ่มฉ่ำจนต้องกระดึบตัวอย่างเร่งรีบเพื่อเทตัวหล่นร่วงลงไปในผลไม้นั้น
ด้านในร้านหนังสือแอตแลนติส เต็มไปด้วยหนังสือ หนังสือ และหนังสือ ที่จัดเรียงเหมือนสะเปะสะปะ แต่กลับกลายเป็นมุมศิลป์ที่ยกกล้องขึ้นมาหันไปทางไหนล้วนแต่เก็บภาพได้สวยไปเสียทุกมุม
งานศิลปะในเมืองเอีย
วรรณกรรมมากมายหลากหลายประเทศอัดแน่นอยู่ภายในร้าน แต่ที่ชอบคงเป็นมุม All Things Greece Interest ก็ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในดินแดนสวยงาม ที่เต็มไปด้วยประวัติเรื่องราวยิ่งใหญ่ของความเป็นกรีซ แล้วจะไม่ให้โชว์ภูมิปัญญาเรื่องราว เรื่องเล่า และวรรณกรรมกรีซได้อย่างไร
ร้านหนังสือแอตแลนติส
และที่สร้างความโดดเด่นให้กับพื้นที่ที่ทำให้เกาะแห่งนี้ไม่เหมือนที่ใดคือโบสถ์ขนาดเล็กจำนวนมาก ที่มีหลังคาทรงโดมสีฟ้าเข้ม จำนวนโบสถ์ที่มีอยู่มากมายสัมพันธ์กับสถานที่ที่เป็นตัวเกาะ ชีวิตที่ผูกพันและการยังชีพที่ฝากไว้กับท้องทะเลที่เชื่อใจไม่ได้ ทำให้พวกเขาสร้างโบสถ์เป็นจำนวนมาก เพื่อถวายให้กับนักบุญต่าง ๆ เพื่ออำนวยพรให้การเดินทางออกสู่ท้องทะเลของพวกเขาเป็นไปอย่างปลอดภัย
นอกจากโบสถ์แล้วยังมีกังหันลมอยู่หลายแห่ง ซึ่งเป็นกังหันเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เพื่อให้แรงลมช่วยในการบดข้าวสาลีในสมัยก่อน แต่ตอนนี้กังหันเก่าแก่เหล่านั้นกลายเป็นโรงแรมและร้านอาหารไปหมดแล้ว
เส้นทางลงไปยังชายหาดอัมมัลดิ
ในเมืองเอียยังมีเส้นทางเดินเล็ก ๆ ทอดยาวจากด้านบนลงไปยังชายทะเลเบื้องล่าง เป็นทางเดินขั้นบันได 340 ขั้น (มีคนนับขั้นบันไดเขียนบอกไว้เสร็จสรรพ) ไปยังชายหาดอัมมัลดิ (Ammoudi) ที่เป็นอู่ต่อเรือเก่าตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดเรือเฟอรี่ และข้าง ๆ มีร้านขายอาหารทะเลอยู่หลายร้าน
เส้นทางนี้เปิดทิวทัศน์แปลกตา แสดงความเป็นดินแดนภูเขาไฟที่แจ่มชัดกว่าเส้นทางเดินด้านบน ผิวดินที่แดงเข้มตลอดเส้นทางที่ลาดชันตัดกับสีท้องทะเล กลายเป็นเส้นทางเดินที่ฉันยกให้ว่าสวยที่สุดของเมืองเอีย
จากเมืองเอียนั้นเดินทางไปเมืองฟิราได้ง่าย มีรถประจำทางวิ่งระหว่างเมืองตลอดทั้งวัน เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ที่เราพักอยู่ด้วย เปิดโชว์หนังสือภาพของตัวเกาะ และให้ข้อมูลเชิงกระตุ้นเราว่า จากเมืองฟิราเราสามารถเดินเลียบไปตามทางริมขอบผากลับมายังเอียได้โดยใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมง ข้อมูลนั้นทำให้เราตัดสินใจโดยฉับพลันว่า เราจะนั่งรถประจำทางไปเมืองฟิรา และเดินย้อนกลับมายังเอีย
ฟิราเป็นเมืองใหญ่ และวุ่นวายกว่าเอีย ใจกลางตัวเมืองมีโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ยังคงลักษณะหลังคาทรงโดม ภายในโบสถ์ตกแต่งด้วยภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังแบบเฟรสโก้ที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดบนเกาะ
บรรยากาศบริเวณชายหาดอัมมัลดิ
บรรยากาศตัวเมืองสนุกสนาน เพราะคร่าครำไปด้วยนักท่องเที่ยว ฉันกับเพื่อนเดินสำรวจใจกลางเมืองจนทั่วแล้ว จึงเลือกที่จะเดินย้อนกลับไปเมืองเอียตามเส้นทางเลียบขอบผา ฉวยโอกาสได้ชมทิวทัศน์ตัวเมืองควบคู่ไปกับวิวแอ่งภูเขาไฟ นับเป็นเส้นทางที่สวยสมกับที่เจ้าของเกสต์เฮ้าส์เชียร์ ถ้าตลอดเส้นทางสวยอย่างนี้ ฉันแอบคิดในใจ 4 ชั่วโมงนี่เรื่องจิ๊บ ๆ
ระหว่างทางจากเมืองฟิราสู่เมืองเอีย
ทว่าเมื่อเราเดินย่ำเท้าไปกันเรื่อย ๆ ห่างจากเมืองฟิราไปทุกขณะ ร้านรวงริมทางเริ่มน้อยลง รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ค่อย ๆ ลดหายไป เรามองเห็นเมืองเอียอยู่ลิบๆ ห่างไกลออกไปอีกด้าน นั่นทำให้ชักเริ่มไม่มั่นใจในเส้นทางที่เลือก การเดินทางเป็นแบบนี้ทุกที แผนที่วางไว้ กับสิ่งที่เผชิญมักไม่สอดคล้อง สุดท้ายเราเลยตัดสินใจที่จะเดินตัดย้อนกลับไปสู่ทางถนนเส้นหลัก เพื่อรอรถประจำทางกลับสู่เมืองเอีย
รถประจำทางไปยังเมืองเอียมีนักท่องเที่ยวแน่นเต็มคันรถ ใกล้เย็นย่ำแล้ว ทุกคนกำลังมุ่งสู่เอียเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน
ทันทีที่ถึงเมืองเอีย แต่ละคนเร่งหาพื้นที่เหมาะริมไหล่ผาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
ถัดไปด้านล่างไม่ไกลเป็นที่ตั้งของปรากสาทเมืองเอีย ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 หากปัจจุบันหลงเหลือเพียงซากปรักหักพักที่พอจะเหลือเค้าโครงให้เดาได้ว่าเคยเป็นปราสาทมาก่อน และเพราะวัตถุประสงค์ดั้งเดิมที่ตั้งใจสร้างเป็นป้อมปราการสำหรับเฝ้าระวังผู้บุกรุกจึงตั้งอยู่ในทำเลดีเยี่ยมที่มองเห็นวิวเบื้องล่างของตัวเกาะได้โดยรอบ จึงกลายเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันไปจับจองเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกบริเวณนั้น ฉันกับเพื่อนร่วมทางเลือกที่จะอยู่บนทางเดินที่ถัดสูงขึ้นมาด้านบน ภาพที่เห็นอาจไม่แจ่มชัดเท่าบริเวณนั้น แต่ดีเสียอีก นอกจากจะได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกแล้ว ยังได้เห็นปฏิกริยาของผู้คนที่เฝ้ารอคอยอีกด้วย
จุดชมพระอาทิตย์ตกที่มีนักท่องเที่ยวจับจ้องเป็นจำนวนมาก
ไม่ช้าพระอาทิตย์ของวันก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากดวงแสงเล็กๆ ที่จ้าสว่าง กลายเป็นดวงตะวันกลมโตสีอุ่น ก่อนที่จะเคลื่อนหายลงสู่ท้องน้ำ ละเลงระบายสีท้องทะเลให้แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเปรอะเปื้อนไปถึงท้องฟ้า
เสียงกดชัตเตอร์รัว เพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึก เสียงนักท่องเที่ยวหลายคนพึมพำใกล้ ๆ ให้ได้ยิน เสียงนั้นเจือความพร่ำเพ้อราวต้องมนต์สะกด Beautiful very very beautiful จนดวงอาทิตย์ลาลับหาย เสียงตบมือก็ดังขึ้นทั่วทั้งเกาะ การแสดงของดาราเอก ‘ดวงอาทิตย์’ ณ ซานโตรินี จบลงแล้ว
พระอาทิตย์ตกเมืองเอีย
หลายคนยังคงยืนอ้อยอิ่งอยู่ ณ ที่เดิม ก่อนจะค่อยๆ สลายตัวเพื่อสัมผัส และทำความรู้จักเมืองเอียตามมุมและรสนิยมของตนเองกันต่อไป
Tags: กรีซ, ซานโตรินี