ความเชื่อเรื่องพระเครื่องในสังคมไทย มีรากฐานเชิงประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง พระเครื่องเริ่มมีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐต้องการใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการรวบรวมอำนาจและสร้างเอกภาพทางวัฒนธรรม พระเครื่องในระยะแรกถูกมองว่า เป็นวัตถุมงคลที่มีคุณค่าเชิงจิตวิญญาณ ใช้สำหรับคุ้มครองภยันตราย เสริมสร้างความมั่นใจ และแสดงความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไป พระเครื่องได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ กลายเป็นวัตถุที่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน และสะสมได้ แม้จะถูกวิพากษ์ ‘พุทธพาณิชย์’ ที่มองว่าดีมานด์-ซัพพลายแบบระบบทุนนิยมที่เข้าไปสอดรับแปรเปลี่ยนความเชื่อทางศาสนาให้เป็นสินค้าทางวัฒนธรรม ความนิยมในพระเครื่องบางรุ่นบางสำนัก ส่งผลให้เกิดระบบการประเมินมูลค่าทางวัตถุ เช่น ความเก่าของเนื้อผง มวลสาร การปลุกเสกโดยพระเกจิชื่อดัง หรือประวัติการสวมใส่ของบุคคลสำคัญ ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่นำไปใช้และพบพุทธคุณบางอย่าง นำไปสู่การตีราคาและจัดอันดับ ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ของพระเครื่อง ซึ่งในทางหนึ่งเป็นการลดทอนความศักดิ์สิทธิ์เชิงคุณค่า และแทนที่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงราคา
กลายเป็นการสร้างตลาดพระเครื่องที่ใหญ่โตและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงในสังคมไทยในปัจจุบัน¹ พระเครื่องได้กลายเป็นวัตถุที่มีมูลค่าทั้งในเชิงสัญญะและเศรษฐกิจ ซึ่งในแง่นี้แม้จะมีผู้เห็นว่า ความนิยมดังกล่าวเบี่ยงเบนจากหลักธรรมดั้งเดิม แต่ก็ยังมีผู้มองว่า พระเครื่องช่วยส่งเสริมการสืบทอดพุทธศาสนาในลักษณะทางอ้อม โดยเฉพาะในแง่ของการรักษาความสนใจในพุทธศิลป์และการอนุรักษ์วัตถุทางวัฒนธรรมของไทยไว้ได้ในยุคปัจจุบัน
ความนิยมในพระเครื่องและเครื่องราง ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางจิตวิญญาณ เช่น ความคุ้มครองจากภัยอันตรายหรือการเสริมสิริมงคล แต่ยังเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับบุคคลศักดิ์สิทธิ์ พระเกจิ หรือศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของชุมชน ความนิยมนี้แพร่หลายทั้งในระดับชาวบ้านทั่วไปจนถึงชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลวัตของความเชื่อ ที่สามารถปรับตัวและคงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยยุคใหม่ ปรากฏการณ์ ‘พระเครื่องดัง’ หรือ ‘เครื่องรางยอดนิยม’ ได้รับการสื่อสารผ่านสื่อสมัยใหม่อย่างเข้มข้น ทั้งในโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ หรือโซเชียลมีเดีย
กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่สร้างศรัทธาและเศรษฐกิจในเวลาเดียวกัน2 มีการประเมินว่า ตลาดพระเครื่องไทยมีมูลค่าหมุนเวียนต่อปีสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2557 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผู้คนหันมาแสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจมากขึ้น3 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ในปี 2562 ตลาดพระเครื่องในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.7-2.3 หมื่นล้านบาท โดยคำนวณจากการจำหน่ายให้กับคนไทยเท่านั้น ยังไม่รวมการจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือการส่งออกไปต่างประเทศ4
นอกจากนี้พระเครื่องบางรุ่นยังมีมูลค่าสูงถึงระดับหลายสิบล้านบาท เช่น พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ที่มีราคาค่านิยมสูงถึง 55 ล้านบาท หรือรวม 5 องค์ไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท5 โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าของพระเครื่อง ได้แก่ ความเก่าแก่ ความหายาก ความเป็นพระแท้ สภาพของพระเครื่อง และพิธีกรรมการปลุกเสกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่สะท้อนถึงความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อพระเครื่อง
พระเครื่องในสังคมไทยมีสถานะทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่กลับยังไม่มีกฎหมายเฉพาะ โดยเฉพาะในเรื่องสถานะของพระเครื่องในฐานะทรัพย์สิน ที่ควรได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยมรดกวัฒนธรรม หรือกฎหมายว่าด้วยการค้าของเก่า ปัจจุบันกฎหมายไทย เช่น พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ. 2474 มิได้ให้คำนิยามชัดเจนแก่คำว่า ‘พระเครื่อง’ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้กฎหมายเหล่านี้ควบคุมการซื้อขายพระเครื่องได้อย่างครอบคลุมทุกประเภท โดยเฉพาะในกรณีพระเครื่องที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์ของคำว่า ‘โบราณวัตถุ’ แต่กลับมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมและมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
นักวิชาการได้เสนอให้กำหนดนิยามทางกฎหมายของคำว่า ‘พระเครื่องเก่า’ หมายถึงพระพุทธรูปขนาดเล็กหรือรูปจำลองพระสงฆ์ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และสร้างขึ้นเพื่อเตือนสติหรือส่งเสริมศีลธรรม เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มครองทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในตลาดพระเครื่องได้ดียิ่งขึ้น6 แม้พระเครื่องจะเป็นวัตถุที่มีนัยทางศาสนาและวัฒนธรรมในสายตาของสังคมไทย
แต่ในทางกฎหมายกลับยังไม่มีฐานะที่ชัดเจนในการคุ้มครองหรือกำกับดูแล เช่น ไม่มีคำนิยามในระดับกฎหมายแม่บทชี้ให้เห็นว่า พระเครื่องเป็น ‘ทรัพย์สินพิเศษ’ หรือ ‘วัตถุทางศิลปวัฒนธรรม’ ทำให้การซื้อขาย การสะสม หรือการนำไปจำนำ-ขายฝาก ดำเนินไปภายใต้กฎหมายทั่วไป เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ. 2474 แต่ขอบเขตการบังคับใช้ก็ยังคงมีลักษณะจำกัดและไม่เฉพาะเจาะจง
ตัวกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการที่รับซื้อ ขาย หรือรับฝากของเก่า ต้องยื่นขอใบอนุญาตและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด เช่น การเก็บข้อมูลทรัพย์ การบันทึกเวลา สถานที่ และผู้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเพื่อป้องกันการฟอกเงินหรือรับของโจร อย่างไรก็ดีการนิยามว่า ‘พระเครื่อง’ เป็น ‘ของเก่า’ นั้นยังเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี เนื่องจากกฎหมายมิได้ให้ความหมายโดยตรงว่า พระเครื่องซึ่งผลิตในเชิงศาสนาหรือสร้างในยุคหลังที่ยังไม่มีอายุพอจะนับเป็นของเก่า จะอยู่ในข่ายควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่
ปราชญา พรหมสุรินทร์ ชี้ให้เห็นว่า พระเครื่องในบางกรณีควรได้รับการแยกออกจากนิยาม ‘ของเก่า’ ตาม พ.ร.บ. 2474 เพราะเป็นวัตถุที่มีลักษณะเฉพาะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และควรมีกฎหมายเฉพาะควบคุมโดยตรง เช่น การออกใบรับรอง การกำหนดคุณสมบัติของผู้ค้าพระ หรือการจัดทำทะเบียนพระเครื่องเก่า7
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานวงการพระเครื่อง
แต่ข้อถกเถียงหลักในบทความฉบับนี้คือ การไม่สามารถจำแนกสถานะของพระเครื่องให้ชัดเจนได้ว่า ควรอยู่ในหมวดหมู่ของทรัพย์สินทางศาสนา วัตถุทางวัฒนธรรม หรือสินค้าในระบบตลาดทั่วไป หากถือว่าพระเครื่องเป็นวัตถุทางศาสนา การเข้าไปควบคุมการผลิต การปลุกเสก หรือแม้แต่การกำหนดมาตรฐานการซื้อขาย อาจกระทบต่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาและแสดงออกทางความเชื่อ8 ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่หากถือว่าเป็นสินค้าทั่วไปที่หมุนเวียนในตลาด ก็จำเป็นต้องมีมาตรฐานในการควบคุมเช่นเดียวกับสินค้าอื่น โดยเฉพาะกรณีที่พระเครื่องมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หรือมีลักษณะที่อาจใช้เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการฟอกเงิน9
แต่ในด้านหนึ่งการออกกฎหมายเฉพาะเพื่อควบคุมการซื้อขายพระเครื่อง ก็อาจถูกวิจารณ์ว่า เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนในเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคลและเสรีภาพทางศาสนา ก่อให้เกิดภาระต่อผู้ค้าในระบบท้องถิ่น และเป็นการแทรกแซงกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เคยอยู่ภายใต้การจัดการของชุมชนศรัทธาโดยไม่พึ่งรัฐ นอกจากนี้การซื้อขายพระเครื่องยังเผชิญกับข้อยุ่งยากทางสัญญา เช่น การจำกัดความรับผิดในกรณีพระปลอม พระซ่อม หรือพระผิดกรุ รวมถึงกรณีการทำสัญญาแบบขายฝากหรือจำนำ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการฉ้อโกงหรือเอาเปรียบกันได้โดยง่าย
เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำกับ การจัดการเกี่ยวกับพระเครื่องจึงเป็นการกำกับแบบหลวม ๆ มากกว่าการกำกับตามมาตรฐานวิชาชีพหรือมีแม่บทกฎหมาย ส่งผลให้เมื่อเกิดข้อพิพาทกันขึ้น ก็ไม่อาจเรียกร้องความรับผิดได้อย่างเป็นระบบ แม้จะมีสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ ‘ร่างพระราชบัญญัติการค้าของเก่า พ.ศ. …’ ซึ่งอยู่ในการรับฟังความคิดเห็นโดยกรมการปกครอง เพื่อปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ. 2474 ให้ทันสมัย
โดยเฉพาะในแง่การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการค้าและการควบคุมทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง10 ร่างฉบับนี้แม้มีการขยายขอบเขตของคำว่า ‘ของเก่า’ ให้ครอบคลุมมากขึ้น และให้อำนาจรัฐมนตรีในการกำหนดประเภทของเก่าที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ยังไม่พบบทบัญญัติใดกล่าวถึง ‘พระเครื่อง’ หรือ ‘วัตถุมงคล’ ในฐานะทรัพย์สินที่ต้องมีกลไกรับรองความแท้ หรือมาตรฐานในการตรวจสอบและออกใบรับรองอย่างเป็นทางการ11 มีเพียงมาตราเกี่ยวกับการขออนุญาตค้าของเก่า และอำนาจให้ไว้แก่นายกรัฐมนตรีกำหนดประเภทของเก่าที่ควบคุม อาจตีความให้รวมพระเครื่องได้
ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ว่าด้วย ‘พระเก๊-พระแท้’ และใบการันตี
การตกลงซื้อขายพระเครื่องย่อมซื้อขายกันที่ความเป็นของแท้ พระแท้ ผู้ขายมักอ้างว่าเป็นของแท้ และผู้ขายมักกลัวได้ของปลอม ดังนั้นจึงมีสมาคมหรือกลุ่มบริการในการตรวจสอบพระแท้ ทั้งในรูปแบบของสมาคมหรือแบบออกใบการันตีจากเซียนพระ
อย่างไรก็ตามการซื้อขายพระในบางครั้งก็จะซื้อขายกันแบบไม่มีประกัน ซื้อขายแบบอันเป็นที่รู้กันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายแบบ ‘ตาดีได้ตาร้ายเสีย’ ซึ่งมักจะไม่ติดใจเอาความต่อกัน เพราะถือว่าเป็นความผิดพลาด ความไม่รู้ การที่ตนเองนั้นมีประสบการณ์ไม่มากพอ ซึ่งการตกลงรูปแบบนี้ มักเกิดขึ้นในหมู่เซียนพระหรือคนเล่นพระกันเอง เป็นการตกลงโดยยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากการเช่าหาพระเครื่องเกิดขึ้นโดยมีการรับประกันแท้ การรับประกันดังกล่าวก็เป็นการรับประกันเพียงเฉพาะต่อผู้รับประกันเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลต่อความแท้-เก๊ ในสายตาของผู้อื่น ในมุมมองของกฎหมาย สิ่งนี้เรียกว่า การรับประกันเชิงพรรณนา (Descriptive Warranty)
‘การรับประกันเชิงพรรณนา’ เป็นกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ขายให้คำรับรองเกี่ยวกับลักษณะหรือคุณภาพของทรัพย์สินที่จำหน่าย หากภายหลังพบว่า สินค้าไม่เป็นไปตามที่พรรณนาไว้ ผู้ขายอาจต้องรับผิดตามกฎหมาย แม้ไม่ได้มีการรับประกันเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเป็นการตกลงโดยตรงก็ตาม
หลักการนี้มีรากฐานมาจากบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 ที่บัญญัติว่า ‘ผู้ขายต้องรับผิดชอบหากทรัพย์สินมีความชำรุดบกพร่องจนใช้ประโยชน์ตามปกติหรือประโยชน์ที่มุ่งหมายไว้ไม่ได้’ และมาตรา 483 ที่เปิดโอกาสให้คู่สัญญาตกลงยกเว้นความรับผิดดังกล่าวได้ ‘แต่ต้องไม่ขัดต่อความสุจริตหรือศีลธรรมอันดี’ กล่าวคือ ถือว่ามีเงื่อนไขโดยปริยายว่า สินค้า (พระเครื่อง) นั้นมีคุณภาพใช้สอยประโยชน์ได้ตามวิสัยของคนใช้ทั่วๆ ไป (เป็นพระแท้) เว้นแต่ผู้ซื้อได้ตรวจสอบสินค้านั้นแล้วควรจะได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องนั้น ซึ่งในกรณีการซื้อพระเช่นนี้ มักเกิดขึ้นในบริบทการตกลงซื้อขายกันด้วยการประกันว่า เป็นของแท้
หลักรับประกันเชิงพรรณนาข้างต้น จึงมีลักษณะเป็นการ ‘ผูกพัน’ โดยนัย แม้ไม่ได้ระบุเป็นข้อสัญญาโดยตรง แต่หากผู้ขายโฆษณาหรือพรรณนาว่า สินค้ามีคุณสมบัติอย่างใด ผู้ซื้อย่อมมีความคาดหวังตามคำพรรณนานั้น และหากไม่เป็นไปตามนั้น ย่อมเรียกร้องสิทธิทางแพ่งได้ เช่น การซื้อขายพระเครื่องที่ผู้ขายระบุว่า เป็นพระแท้รุ่นพิเศษ แต่ภายหลังพบว่า เป็นพระซ่อมหรือพระปลอม ผู้ซื้อย่อมสามารถอ้างหลักการนี้ เพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือยกเลิกสัญญาได้12
หากนำหลักการดังกล่าวมาใช้กับกรณีการซื้อขายพระเครื่อง การที่ผู้ขายพรรณนาว่า พระเป็น ‘พระแท้’ หรือ ‘พระเกจิรุ่นแรก’ โดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ หรือภายหลังพิสูจน์ได้ว่าเป็นพระปลอมหรือพระซ่อม ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิบอกล้างสัญญาหรือเรียกร้องค่าเสียหายได้ ทั้งนี้เพราะคำพรรณนาดังกล่าวก่อให้เกิด ‘ความคาดหมายโดยสุจริต’ ในสาระสำคัญของการซื้อขาย ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของความเป็นธรรมในการทำสัญญา
มีคดีตัวอย่างคือ คดีหมายเลขดำ อ.2281/2552 เคสของนิตยสารพระเครื่องโพธิ์เพชร คดีนี้ จำเลยได้โฆษณาในนิตยสารพระเครื่อง ‘โพธิ์เพชร’ ว่า พระเครื่องที่นำมาให้เช่าบูชาเป็นของแท้ทุกองค์ พร้อมออกใบรับประกันความแท้ แต่ผู้เสียหายกลับได้รับพระปลอมไม่เป็นที่ยอมรับของวงการ ทำให้ผู้เสียหายรายหนึ่งหลงเชื่อและเช่าพระเครื่องไปจำนวน 10 องค์ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพในประเด็นของการตกลงเช่าซื้อพระชุดดังกล่าว ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงความข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง
ดังนั้นหากผู้ขายแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า พระเครื่องเป็นของแท้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นของปลอม อันเป็นการหลอกลวงให้ผู้ซื้อยินยอมจ่ายเงินโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญา และหากการกระทำมีลักษณะโฆษณาหรือประกาศทั่วไป เช่น ผ่านนิตยสาร เว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นการชักชวนให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อ โดยไม่เจาะจงผู้เสียหายรายใดรายหนึ่ง จะเข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนได้
แต่หากพูดถึงการซื้อขายพระเครื่องในมุมมองทางกฎหมายแพ่ง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาว่าพระแท้หรือไม่ การแก้ปัญหาทางกฎหมายก็ต้องกลับมาพิจารณาถึงความสมบูรณ์ของสัญญาในทางแพ่งแทน กล่าวคือ หากผู้ขายรู้ว่าพระเครื่องเป็นของปลอม แต่แสดงให้เข้าใจว่าเป็นของแท้ เพื่อให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดและตัดสินใจซื้อ ก็ย่อมเป็นการกระทำที่มีลักษณะหลอกลวง อันเป็น ‘กลฉ้อฉล’ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 159 ส่งผลให้สัญญานั้นเป็นโมฆียะ ผู้ซื้อมีสิทธิบอกล้างได้ตาม มาตรา 175(3) และหากบอกล้าง สัญญาย่อมเป็นโมฆะ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม
กล่าวคือ ผู้ซื้อคืนพระและเรียกเงินคืน แต่หากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็ทราบหรือ ‘ยอมรับสภาพ’ ว่าพระอาจเป็นของปลอม แต่ยังตกลงซื้อขายกันอยู่ สัญญาจะมีผลสมบูรณ์ เพราะเป็นการซื้อขายตามสภาพ ไม่มีการหลอกลวงหรือกลฉ้อฉล สัญญาจึงมีผลผูกพันกันได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 453 แม้เป็น ‘พระเก๊’ ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่กฎหมายห้ามซื้อขาย จึงไม่ขัดมาตรา 150 ดังนั้นการซื้อขายดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ การขายพระเก๊จึงไม่ผิดกฎหมาย แต่ขายพระปลอมแต่มีการรับประกันว่าแท้ ก็จะเป็นการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อข้อหาฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา
จากข้อจำกัดข้างต้น การรับรองความแท้ของพระเครื่องจึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของความชอบธรรมในการซื้อขาย แต่ปัจจุบันการรับรองดังกล่าวยังคงเป็นกระบวนการที่อาศัย ‘ความเชื่อ’ มากกว่ากลไกที่ตั้งอยู่บนหลักวิชาชีพหรือกฎหมาย เช่น การตัดสินจาก ‘เซียนพระ’ หรือ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ซึ่งรับบทเป็นผู้รู้เฉพาะทาง มีทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ แต่เอาเข้าจริงเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นว่า พระนั้น ‘แท้หรือไม่’ อาจไม่เพียงพอต่อการฟ้องร้องกันเป็นคดีความ
เนื่องจากในทางกฎหมาย การเช่าพระนั้นคือการซื้อขายสินค้าทั่วไป ต้องพิจารณาความสมบูรณ์ของ ‘สัญญา’ เป็นหลัก แต่ก็ยังไม่ใช่การรับรองโดยกฎหมายว่า พระนั้นเป็น ‘ของแท้’ เนื่องจากเรายังไม่มีกฎหมายแม่บทที่ไว้ใช้จัดการกับปัญหาพระเก๊ จึงต้องนำปัญหากลับมาพิพาทกันด้วยหลักการทางกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาที่มี ซึ่งก็คือหลักความสมบูรณ์ของสัญญา และกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงตามที่กล่าวไปข้างต้น
การตกลงซื้อขายพระเครื่องที่มีมูลค่าสูงย่อมซื้อขายกันที่ความเป็นของแท้ โดยที่ผู้ขายมักอ้างว่าเป็นของแท้ และผู้ขายมักกลัวได้ของปลอม ดังนั้นจึงมีสมาคมหรือกลุ่มบริการในการตรวจสอบพระแท้ ทั้งในรูปแบบของสมาคมหรือการออกใบการันตีจากเซียนพระ อ่านถึงตรงนี้ก็ควรโน้ตไว้ว่า การเช่าหาพระเครื่องหรือเครื่องราง ควรมองหาจากผู้ที่น่าเชื่อถือหรือมีเครดิตที่ดี มีที่มาดี หรืออย่างน้อยก็มีการรับประกัน สิ่งนี้จึงเป็นช่องว่างให้เกิดอาชีพ ‘เซียนพระ’ ที่เข้ามาทดแทนในการรับความน่าเชื่อถือและรับความเสี่ยงในการแบบรับ ‘ความแท้-ความเก๊’ นั้นไว้ด้วยเครดิตตนเองแทนผู้ซื้อ ซึ่งการเป็นเซียนพระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องมีการศึกษา และต้องมีความรู้พื้นฐาน ทำให้เกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนมือกันทั้งจากเซียนพระ ผู้ซื้อ ในบางครั้งผู้ซื้อก็กลับมาเป็นผู้ขาย แลกเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ และได้รับการยอมรับและพบเห็นได้จากวัฒนธรรมร่วมสมัยมากขึ้นด้วย
ท้ายที่สุดไม่ว่าพระเครื่องจะมีราคาหลักสิบหรือหลักล้าน ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ที่ป้ายราคา แต่อยู่ที่ใจของคนบูชา พระบางองค์อาจไม่มีชื่อในทำเนียบเซียน ไม่มีใบรับรอง หรือไม่ได้ผ่านพิธีปลุกเสกใหญ่โต แต่ก็อาจเป็นพระที่เรารู้สึกผูกพันและศรัทธามากที่สุด
เพราะสิ่งสำคัญอาจไม่ใช่ว่าพระนั้นเป็นพระแท้หรือพระเก๊ในสายตาใคร แต่คือความตั้งใจดีที่เรามีเมื่อบูชาพระองค์นั้น ในโลกที่ทุกอย่างถูกตีมูลค่าด้วยตัวเลข พระบางองค์อาจไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงเซียน ไม่มีใบการันตี หรือไม่ได้สร้างโดยเกจิชื่อดัง แต่ก็อาจเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้หนึ่งได้เช่นเดียวกันกับพระหลักล้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องไม่ใช่สิ่งที่ตลาดกำหนด แต่มาจากศรัทธาและเจตนาแห่งการกระทำ
เชิงอรรถ
- นันทวัฒน์ บรมานันท์. “ความเชื่อเรื่องพระเครื่องในสังคมไทย.” วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, ปีที่ 9, ฉบับที่ 2 (2563). https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JGCR/article/view/505/309.
- นันทวัฒน์ บรมานันท์. “ความเชื่อเรื่องพระเครื่องในสังคมไทย.” วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, ปีที่ 9, ฉบับที่ 2 (2563): 125–146. https://so15.tci-thaijo.org/index.php/JGCR/article/view/505/309
- “เมื่อความเชื่อมีราคาที่ขายได้ เหตุผล 3 ประการที่ตลาดพระเครื่องไทยมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก,” ลงทุนศาสตร์, https://www.investerest.co/business/the-worlds-biggest-amulet-market-in-thailand/.
- “เศรษฐกิจสายมู ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่งออก ‘พระเครื่อง’ ไกลถึง ‘จีน’”, กรุงเทพธุรกิจ, https://www.bangkokbiznews.com/world/1123076
- อภินันท์ จันตะนี, “เศรษฐกิจพระเครื่องเมืองไทย,” วารสารบัณฑิตศึกษาวลัยลักษณ์, 10, ฉบับที่ 1 (2559), https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/55945
- ปราชญา พรหมสุรินทร์. “ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการซื้อขายพระเครื่อง.” เอกสารการศึกษาอิสระ หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2562
- เรื่องเดียวกัน
- มาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
- พระวิทูล โพธิเศษ และ ส่งสุข ภาแก้ว. “ความเชื่อเรื่องพระเครื่องในสังคมไทย.” วารสารบัณฑิตศึกษาชัยภูมิปริทรรศน์ 1, 1 (2566
- กรมการปกครอง. ร่างพระราชบัญญัติการค้าของเก่า พ.ศ. …, https://dopacrr.dopa.go.th/draft_law/app/upload/00000301.pdf
- Ibid
- ไตรรัตน์ จารุทัศน์. “หลักรับประกันเชิงพรรณนาในกฎหมายไทย.” ABAC Journal of Law 1, ฉบับที่ 1 (2560), https://assumptionjournal.au.edu/index.php/LawJournal/article/download/915/821/1823
Tags: พระเครื่อง, ซื้อขาย, พระแท้, พระเก๊, การรับประกันพระเครื่อง, กฎหมายพระเครื่อง, กฎหมาย, พระ, Rule of Law