1.
“ถ้าไม่เป็นทหารรับจ้าง ก็ต้องนั่งแหง็กในกำลังพลสำรอง โดยไร้เงินเดือน”
เมื่อรัสเซียรุกรานยูเครน โลกทั้งใบก็ได้เห็นความโหลยโท่ยของกองทัพรัสเซียอย่างชัดเจน แต่ไม่เพียงทุกคนจะได้เห็นความห่วยแตกของทหารหมีขาวเท่านั้น เรายังได้เห็นโฉมหน้าทหารรับจ้างจากบริษัทวากเนอร์ สัตว์สงครามที่เข่นฆ่าย่ำยีคนยูเครนอีกด้วย
ภายใต้คำปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับวากเนอร์มาหลายปี ในที่สุดรัสเซียก็ต้องพึ่งพาทหารรับจ้างเหล่านี้เพื่อรุกรานยูเครน คราวนี้โลกจึงได้เห็นนักรบกินเงินเดือนจากบริษัท ที่ทำเพื่อชาติหมีขาวอันเป็นที่รัก จากนั้นความเลวร้าย ประวัติสุดอื้อฉาว จึงได้ปรากฏให้โลกได้สะพรึง
นี่คือกลุ่มทหารรับจ้างที่เลวร้ายสุดในเวลานี้ ไม่เพียงแต่ในยูเครนเท่านั้นที่พวกเขาลั่นไกฆ่า แต่มันยังลุกลามไปทั่วทุกภูมิภาคที่มีความขัดแย้งในโลก
จากยูเครนสู่ซีเรียไปยันแอฟริกา จุดเริ่มต้นแห่งทหารกลุ่มนี้ อาจต้องย้อนไปไกลถึง 100 กว่าปีก่อน อาจต้องพูดถึงนาซี อาจต้องพูดถึงความลำเค็ญแห่งชีวิต และอาจแตะต้องพระเจ้าซาร์องค์ใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน สังเวยด้วยชีวิตประชาชนที่ต้องถูกเข่นฆ่า
นี่คือเรื่องราวของนักรบแห่งวากเนอร์ ผู้เลื่องชื่อเรื่องความโหดร้าย ก่อเหตุมากมายที่เข้าข่ายอาชญากรรมระหว่างประเทศ ผิดหลักการทำสงคราม พวกเขาคือนักฆ่าสุดเหี้ยมที่ทั้งโลกประณาม
แต่สำหรับพวกเขา กลับเป็นเพียงการทำงานเพื่อหารายได้
“พวกเราเหมือนนักรบไวกิ้งแห่งโลกยุคนี้”
2.
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องกล่าวถึง ดมิทรี อุตคิน (Dmitry Utkin) อดีตทหารพลร่มแห่งกองทัพรัสเซีย เขามีนามเรียกขานว่า ‘วากเนอร์’ ซึ่งมีที่มาจากสุดยอดนักประพันธ์เพลงชื่อดังชาวเยอรมันอย่าง ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานเพลงโอเปรา เมื่อ 100 กว่าปีก่อน
เป็นที่ทราบกันดีว่า งานโอเปราที่วากเนอร์ประพันธ์ขึ้นนั้น เป็นที่ถูกใจของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำพรรคนาซี ที่พาเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และสังหารชาวยิวกว่า 6 ล้านคนอย่างมาก
แท้ที่จริงแล้ว วากเนอร์มีความเชื่อเกลียดชังชาวยิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยเปรยกับลูก หลังเกิดเหตุไฟไหม้โรงละครโอเปราในเยอรมนี ซึ่งมีเพลงที่เขาประพันธ์บรรเลงอยู่ด้วยว่า “เราน่าจะจัดงานเผาแบบนี้ให้กับพวกยิวทุกครั้งที่แสดงเลยนะ”
พื้นฐานความเกลียดชังยิวของวากเนอร์ อยู่ในกระแสสังคมช่วงยุคก่อนปี 1900 ซึ่งขณะนั้นเยอรมนีมีความเกลียดชังคนยิวสูงมาก และวากเนอร์ก็เป็นชนชั้นนำที่รับความเชื่อนี้
มิหนำซ้ำลูกสาวของเขายังแต่งงานกับลูกเขยชาวอังกฤษ ซึ่งเขียนหนังสืออ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ปลอมๆ จากแนวคิดการวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) โดยเอาแนวคิดมาผสมมั่ว สรุปว่าเชื้อชาตินั้นมีจริง และจะมีคนเชื้อชาติหนึ่งเป็นเลิศสุดเสมอ ในมุมกลับก็จะมีคนเชื้อชาติหนึ่งด้อยค่าที่สุด
ดังนั้นเชื้อชาติที่ด้อยค่ากว่า ก็จะต้องถูกจำกัดให้เหลือเชื้อชาติที่เลิศสุดเท่านั้นถึงจะได้ครองโลก
แนวคิดนี้ส่งผลให้กลุ่มคนที่สมาทานแนวคิดเกลียดชังคนยิว สรุปว่า ยิวเป็นเชื้อชาติที่ด้อยค่าสุด ดังนั้นต้องถูกกำจัด ส่วนเชื้อชาติอื่นจะต้องถูกปกครองโดยเชื้อชาติเยอรมัน
ในเวลาต่อมา แนวคิดนี้ พรรคนาซีจะได้รับอิทธิพล และแม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบสิ้น ฮิตเลอร์ยิงตัวตายอย่างอนาถ แต่ก็ยังมีคนเชื่อแนวคิดเชื้อชาตินิยมอยู่มาก ทั้งที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ก็ยังมีมนุษย์บางคนหลับหูหลับตาศรัทธา โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ดังเช่นเดียวกับ อุตคิน
เขาสักรูป SS (Die Schutzstaffel) ซึ่งสื่อถึงกองกำลังเอสเอส ทหารส่วนตัวของฮิตเลอร์ ที่มีส่วนฆ่าคนยิวอย่างโหดเหี้ยม อุตคินศรัทธาแนวคิดเชื้อชาตินิยมอยู่มาก เขาเชื่อว่าคนรัสเซียดีเลิศที่สุด คนผิวขาวคือยอดมนุษย์ที่เหนือชั้น
ด้วยฐานความคิดของอุตคิน ทำให้เขาถูกมองเป็นพวกขวาคลั่งเชื้อชาติ และในเวลาต่อมา อุตคิน ทหารจากพลร่มได้เริ่มก่อตั้งบริษัททหารรับจ้างที่เอาชื่อจากนามเรียกขานของเขาเองที่ชื่อว่า ‘วากเนอร์’
ตัวของอุตคิน ถือเป็นผู้บัญชาการทหารรับจ้างวากเนอร์ที่แท้จริง มันแตกต่างจากนายพลในกองทัพ ตรงที่บริษัทแห่งนี้ ผู้บัญชาการสูงสุดคือคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อนักการเมืองคนไหน เปรียบเหมือนหัวหน้ามาเฟียมากกว่า ไม่ต้องยึดหลักสากลในการทำสงคราม เงินเท่านั้นคือสิ่งที่พวกเขาทำ ความโหดร้ายแลกมาด้วยความร่ำรวย
ความโหดร้ายของอุตคิน สะท้อนได้จากปากของอดีตทหารรับจ้างวากเนอร์ที่บอกกับนักข่าวบีบีซี (BBC) ไว้ว่า
“ชื่อของเขาในหมู่ทหารรับจ้างคือหมายเลข 9 และเหมือนในแฮร์รี่ พอตเตอร์ เราไม่เรียกชื่อโวลเดอมอร์ออกมา ในวากเนอร์ก็เช่นกัน การเรียกชื่อจริงเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่คุ้มที่จะพูด หากคุณไม่อยากโดนเหล็กฟาดหน้า ต้องไปนอนโรงพยาบาล 2 อาทิตย์”
3.
อย่างไรก็ดีอุตคินเพียงคนเดียว คงจะสร้างบริษัททหารรับจ้างสุดอื้อฉาวนี้มาไม่ได้แน่ เขาจะต้องมีนายทุนเส้นดีเพื่อก่อตั้งบริษัทให้โดดเด่นขึ้นมา และนั่นทำให้อุตคินได้รู้จักกับ เยฟกินี พริโกซิน (Yevgeny Prigozhin) นักธุรกิจผู้ร่ำรวย ฉายา ‘หน้าห้องของปูติน’
เมื่อทั้งสองพบกัน บริษัทวากเนอร์ก็เป็นรูปร่างในที่สุด เงินมาแล้ว เส้นสายมีแล้ว ทีนี้ก็เหลือเวลาฉายแสง
สำหรับเยฟกินีนั้น เขาเรียก วลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำของรัสเซียว่า ‘พ่อ’ ซึ่งเป็นชื่อที่รู้กันว่าหมายถึงใคร เจ้าตัวมีเอกลักษณ์คือหัวโล้นโกนเกลี้ยง และมีภูมิหลังที่น่าสะพรึงไม่แพ้กัน โดยตอนอายุ 18 ปี ได้ร่วมกับเพื่อน 3 คน ปล้นทรัพย์ผู้หญิง ทำร้ายร่างกาย ทิ้งเหยื่อนอนจมกองเลือดในถนน จนถูกตัดสินจำคุก 13 ปี เมื่อได้อิสรภาพก็ออกมาขายไส้กรอก ก่อนจะรวบรวมเส้นสายไปรับใช้ปูตินได้สำเร็จ
เยฟกินีได้รับใช้พระเจ้าซาร์องค์ใหม่อย่างศรัทธาจงรักภักดี ทำได้ทุกอย่างที่สั่ง รวมถึงการขับเคลื่อนบริษัทวากเนอร์เข้าไปยังสมรภูมิรบหลายแห่ง มีรายได้งดงาม และมีชื่อเสียงในแง่ความโหดร้าย จนเป็นสัญลักษณ์ของทหารรับจ้างบริษัทนี้
ตามรัฐธรรมนูญรัสเซียนั้น ทหารรับจ้างเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่เมื่อปูตินอยากสร้างมหาอาณาจักรรัสเซียสุดยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง การครอบงำทางกองทัพ ในพื้นที่ซึ่งมีความขัดแย้ง ปนเปื้อนผลประโยชน์ของรัสเซีย หรือต้องการเขย่าขวัญชาติตะวันตก บางจุดซึ่งเรียกว่าพื้นที่สีเทา ไม่อาจส่งกองทัพที่แท้จริงไปได้
ทหารรับจ้างแห่งวากเนอร์จะเข้าไปทำหน้าที่เพื่อรัสเซียเอง
ที่ผ่านมา ทหารกลุ่มนี้ได้เข้าไปก่อเหตุย่ำยีประชาชนทั้งในแอฟริกา ในซีเรีย และในยูเครน ซึ่งพวกเขาก็สูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก จนต้องไปเกณฑ์นักโทษมารบแทน
ถามว่าทำไมคนถึงไปเข้าร่วมกับวากเนอร์ ก็ต้องแจงว่าทหารรับจ้างนั้นรายได้ดีอย่างมาก การเป็นทหารในรัสเซียมีเงินเดือนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่พอกิน แต่ถ้ามาร่วมกับวากเนอร์จะได้เงินเดือนเพิ่มถึง 10 เท่าด้วย
อีกทั้งทหารบางนายไม่อาจกลับไปรับใช้กองทัพได้อีก เพราะมีประวัติอาชญากรรม บางคนติดคุก ดังนั้นวากเนอร์จึงเป็นทางเลือกเดียวของชายชาติทหารที่จะหารายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว
แถมหลายครั้งรายได้ไม่ได้ออกมาเป็นเงินสดเท่านั้น แต่ยังเป็นเพชร โดยเฉพาะการถูกส่งเข้าไปดูแลเหมืองให้กับผู้นำเผด็จการในแอฟริกา ซึ่งตัวเยฟกินีนั้น ได้ส่วนแบ่งจากเหมืองเพชรเหล่านี้ด้วย มันจึงเป็นทรัพย์มหาศาลที่ดึงดูดนักรบให้เดินออกจากวิถีแห่งกองทัพมารับใช้วากเนอร์ ในฐานะทหารรับจ้าง
ที่ซึ่งหลายครั้งพวกเขาก่อเหตุยิงเชลยศึกหรือพลเรือนทิ้งอย่างเลือดเย็น เพียงเพราะว่า
“เราจะได้ไม่ต้องแบ่งอาหารให้พวกมัน”
4.
การรบกับยูเครนได้เปลือยให้เห็นความโหดร้ายแห่งสงคราม โดยเฉพาะทหารรับจ้างจากวากเนอร์ ซึ่งยิงคนทิ้งเป็นว่าเล่น ปล้นย่ำยี และด้วยประสบการณ์ของทหารที่ผ่านหลายสมรภูมิ มันจึงดูมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าทหารแห่งกองทัพรัสเซีย ซึ่งกระจอกงอกง่อย โดนถล่มเละเทะเป็นว่าเล่น
อย่างไรก็ดี ผลงานของทหารรับจ้างนี้ไม่เป็นที่ถูกใจแก่นายพลรัสเซียอย่างยิ่ง เพราะมันเท่ากับแสดงถึงความด้อยประสิทธิภาพของกองทัพหมีขาว และเหล่านายพลก็ต้องการได้หน้า พอๆ กับที่เยฟกินีต้องการได้หน้า เพื่อให้ตัวเองเป็นที่ถูกใจปูติน ยังไม่นับว่าการบังคับบัญชาในกองทัพจะวุ่นวายขนาดไหน เมื่อต้องคุมทหารตัวเอง แต่ก็ต้องมีทหารรับจ้างอีกกลุ่มทำงานแยก ดังนั้นยุทธวิธีการสั่งการจึงซ้อนทับกันไปอีกด้วย ยิ่งทำให้ทหารรัสเซียกับทหารวากเนอร์ไม่ถูกกัน
แต่ทุกความขัดแย้งนี้ ทุกฝ่ายต่างก็ต้องเงียบไว้ เพราะทุกคนต้องศรัทธาต่อปูติน ซึ่งก็คงยินดีที่จะมีลูกน้องไม่ต้องชะตากัน ง่ายแก่การปกครองด้วยซ้ำไป
ถึงกระนั้น การรุกรานยูเครนและความโหดเหี้ยมของวากเนอร์ ก็เจอเข้ากับการต่อสู้ขัดขืนของชนชาวยูเครน ประเมินว่ามีทหารรับจ้างตายไปแล้วกว่า 1 หมื่นคน โดยขณะนี้วากเนอร์กำลังเร่งเกณฑ์ทหารเพิ่มอีก 5 หมื่นราย เพราะเหลือนักรบพร้อมใช้งานอยู่ในมือแค่ 1 หมื่นคนเท่านั้น
ถามว่าที่เหลือไปไหน ก็ต้องตอบว่าโดนฆ่าสูญหายในแผ่นดินยูเครน บางคนก็โดนจับ บางคนก็ยอมแพ้ บางคนก็หนีไปต่างแดน ซึ่งก็โดนจับสอบสวน และพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในการรุกราน ซึ่งก็จะต้องรับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ฐานเป็นอาชญากรสงครามด้วย
ขณะนี้ หลายชาติตะวันตกได้ประกาศว่า วากเนอร์ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีหลักฐานปรากฏมากกว่าเดิม ไม่เพียงแต่ในยูเครน แต่ยังรวมถึงแอฟริกาที่ซึ่งชาวบ้านถูกจับขึ้นรถไปทรมานและยิงทิ้ง ดีที่เจ้าตัวแกล้งตายได้ทัน จนเป็นพยานปากเอกเผยความจริงให้ทั้งโลกสดับฟัง
เมื่อมีหลักฐานมากมาย ยิ่งทำให้วากเนอร์กลายเป็นบริษัททหารรับจ้างที่แตกต่างจากบริษัททหารรับจ้างประเทศอื่นๆ ซึ่งปกติทหารรับจ้างบริษัทของชาติตะวันตก จะได้งานดูแลความปลอดภัยของบุคคลสำคัญเท่านั้น แต่วากเนอร์ไปไกลกว่าคือมีส่วนร่วมในสงครามด้วย แถมยังมียุทโธปกรณ์ไม่อั้นจากกองทัพรัสเซียที่ทำเป็นแอบสนับสนุนส่งให้อย่างเต็มที่
แน่นอนว่าวากเนอร์ไม่ใช่เอกชนธรรมดา แต่พวกเขาพึ่งใบบุญปูติน จนแทบจะเหมือนกองกำลังส่วนตัวของพระเจ้าซาร์องค์ใหม่นี้แล้ว
เราได้แต่หวังว่าเมื่อความขัดแย้งถึงจุดสิ้นสุด เมื่อระบอบปูตินพังทลาย เมื่อนั้นเราจะได้เอาทหารรับจ้างสัตว์สงครามสุดเหี้ยมโหดของวากเนอร์มารับโทษ
หรือบางที มันอาจเป็นได้แค่ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ตราบเท่าที่โลกยังมีความขัดแย้ง และปืนกับทหารยังเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของชาติมหาอำนาจ วากเนอร์ก็คงจะพร้อมถูกเรียกใช้งาน ดังที่นักรบในบริษัทพูดไว้ว่า
“เมื่อมีความขัดแย้งทางทหารที่ไหน พวกเราพร้อมเดินทางไป”
ข้อมูลอ้างอิง
-
https://www.dw.com/en/who-are-russias-mercenary-wagner-group/a-64429380
-
https://www.bbc.co.uk/news/extra/8iaz6xit26/the-lost-tablet-and-the-secret-documents
-
https://www.theguardian.com/world/2023/jan/24/yevgeny-prigozhin-the-hotdog-seller-who-rose-to-the-top-of-putin-war-machine-wagner-group