โรงเตี๊ยมสไตล์จีน-ชาฟิวชัน-บรรยากาศเหมือนบ้านอาม่า อากง

เหล่านี้คือส่วนผสมที่ทำให้ตลอด 2 ปีของ Fakafei เต็มไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตา วัยรุ่นก็สามารถมาถ่ายรูปมุมสวยๆ ของร้าน และกินชาสูตรซิกเนเจอร์ของทางร้านที่ทานง่าย อร่อย และได้สุขภาพ หรือเหล่าอาม่า อากง ที่หลังจากไหว้พระในวัดบริเวณสวนมะลิแล้ว ก็มานั่งจิบชา เสพบรรยากาศสไตล์จีน ผ่อนคลายกายใจ ได้ตามอัธยาศัย 

แต่จุดเริ่มต้นของ Fakafei ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ที่ตั้งของร้านเคยเป็นโกดังเก่าแก่ ฝุ่นเขรอะ ที่ถูกปล่อยร้างมาแรมปี จนวันหนึ่งที่ แตง-ภาสินี ไพศาลธนโชค ได้เห็นแสงแดดลอดมาจากหลังคา เกิดเป็น Magic Moment ที่ทำให้เธอต้องทำอะไรบางอย่างกับพื้นที่ตรงนี้

The Momentum ขอนำเสนอคาเฟ่น้ำชาที่ชื่อ Fakafei ร้านที่นำเสนอเครื่องดื่มและอาหาร ด้วยกระบวนท่าที่แตกต่าง เสิร์ฟพร้อมกับบรรยากาศสุดแสนพิเศษ ที่ช่วยปลุกให้ย่านสวนมะลิครึกครื้น กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งได้

อันที่จริง Fakafei เริ่มต้นจากความคิดอยากจะเปลี่ยนโกดังเก็บของ ให้กลายเป็นมุมกาแฟเล็กๆ ของ ฟ้าคะนอง บริษัทครีเอทีฟที่ตั้งอยู่อาคารหลังถัดไปซึ่งมี ภาสินี เป็นเจ้าของกิจการอยู่เช่นกัน ก่อนที่จะถูกแต่งเติมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นคาเฟ่ที่เปิดบริการแก่ลูกค้าในเวลาต่อมา

“คือจริงๆ ที่ตรงนี้เป็นโกดังเก็บของเก่าๆ รกๆ ของอากง มันถูกทิ้งร้างเอาไว้ แต่มันมีอยู่วันหนึ่งที่เราเดินเข้าช่วงสายๆ แล้วเราเห็นแสงแดดมันลอดหลังคาส่องลงมาตรงกลางห้อง คือเห็นแล้วรู้สึกว่ามันสวยว่ะ หลงรักเลย อยากทำอะไรกับพื้นที่ตรงนี้จัง นับตั้งแต่วันนั้นมันก็เลยถูกต่อยอดมาจนวันนี้”  ภาสินี กล่าว

ทำไมต้องเป็นคาเฟ่สไตล์จีนคล้ายโรงเตี๊ยม ภาสินี เล่าว่าเหตุผลสำคัญคือไม่อยากจะปรับโครงสร้างอาคารอะไรมากมาย จึงต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ให้มากที่สุด ซึ่งก็ปรากฏอย่างที่ทุกคนเห็น คือเป็นอาคารไม้เปลือยๆ คล้ายคลึงกับอาคารอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับย่านสวนมะลิ ซึ่งเป็นพื้นที่เก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร

อีกส่วนคือ ภาสินี เป็นคนชอบศิลปะและวัฒนธรรมจีนแบบโบราณ เธอเล่าว่าหนังและซีรีส์จีนเก่าต่างๆ ทั้งนวนิยายของกิมย้ง ละครชุดมังกรหยก หรือกระทั่งละครเจาะเวลาหาจิ๋นซี เองก็ตาม เหล่านี้คือแรงบันดาลใจที่อยากให้ตนสร้างคาเฟ่สไตล์โรงเตี๊ยม อันเป็นสถานที่ซึ่งจอมยุทธ์ได้แวะมาพักผ่อนหลังจากเดินทางยาวนาน จิบชาให้ชื่นใจ พร้อมออกไปสู้รบและเดินทางต่อ

หากพูดว่า Fakafei คือคาเฟ่น้ำชาคงไม่ผิด เพราะเมนูส่วนใหญ่คือการเสิร์ฟชาที่ประยุกต์เข้ากับส่วนผสมอื่นๆ กลายเป็นเมนูซิกเนเจอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน

“คือสมัยเด็กๆ เราชอบกินชามาก ชอบดื่มชา ชอบไปร้านชา สำหรับเราชามันหอม มันอร่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงนั้น  เพื่อนๆ รอบตัวไม่มีใครอินกับเราเลยนะ จนมาวันที่ได้เปิดร้าน แล้วตัดสินใจจะขายชา เราอยากให้คนได้กินของอร่อยแบบที่เคยกิน จึงต้องมาตีโจทย์ก่อนว่า จะทำอย่างไรการดื่มชาสามารถได้สุขภาพ และทุกวัยทานได้ ทำอย่างไรจึงจะลบภาพจำว่าชาเป็นเครื่องดื่มของคนแก่ เราก็เลยเอาชาต่างๆ มาผสมกัน และออกแบบเป็นเมนูใหม่ ที่หาทานที่ไหนไม่ได้” ภาสินีกล่าว

สำหรับการตกแต่งสไตล์จีนโบราณ ภาสินีเชื่อว่าของพวกนี้มันมีคุณค่าในตัวค่อนข้างสูง เป็นของประดับที่สามารถบอกประวัติศาสตร์ บอกเรื่องราว บอกวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย  

เมนูซิกเนเจอร์ของ Fakafei ที่ได้รับความนิยม เมนูแรกคือ ‘เจ้าหญิงผู่เอ๋อร์’ เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมหลักคือ ชาผู่เอ๋อร์ ที่โดดเด่นในเรื่องสรรพคุณบำรุงสุขภาพ ซึ่ง Fakafei นำมาสกัดและผสมกับรากบัวกรานิต้าและเพิ่มความหวานด้วยพุทรา ให้รสชาติสดชื่น ไม่หวานจนเกินไป 

เมนูต่อมาชื่อว่า ‘ว่านหลี่เซียง’ เป็นการผสมกันระหว่าง กาแฟโคลบริว (Cold Brew) กับชาหอมหมื่นลี้ เป็นการเจอกันของชาและกาแฟ ที่ให้อรรถรสและกลิ่นของเครื่องดื่มทั้งสองชนิดอย่างลงตัว

ขนมก็เป็นอีกสิ่งที่ Fakafei พยายามสร้างซิกเนเจอร์ของตัวเอง โดยเมนูยอดนิยมคือ ‘ขนมไข่เต่า’ ที่นอกจากจะกรอบนอกอย่างที่คุ้นเคยกันแล้ว ยังมีการใส่ไส้ถั่วแดงกวน เกาลัด หรือกระทั่งถั่วพิสตาชิโอ เพื่อให้ได้รสชาติและรสสัมผัสที่อร่อยมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมี ‘หยินหยาง’ ไอศกรีมงาดำเข้มข้นและน้ำเต้าหู้ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงสไตล์จีน สอดรับรสชาติหวานมันได้อย่างลงตัว

ส่วนเมนูโปรดของภาสินี เธอยกให้เมนูที่ชื่อ ‘ดาวเคลื่อนดาราคล้อย’ ซึ่งเป็นชื่อวิทยายุทธของมู่หยงฟู้ จากเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า โดยเครื่องดื่มจะผสมไปด้วยชาอู่หลงยอดน้ำค้างและเก๋ากี้แดง ได้รสอมเปรี้ยว ชื่นใจ กินได้ไม่มีเบื่อ 

ในยุคที่คาเฟ่เต็มเมือง และมีอัตราการล้มละลายที่สูง ภาสินีเล่าว่าสิ่งที่ทำให้ธุรกิจนี้อยู่รอดต่อไปได้ คือต้องทำให้ร้านมีความเป็นเฉพาะตัว สอดคล้องกับตัวตนของเจ้าของร้านให้ได้มากที่สุด ซึ่งหากสามารถทำได้ คาเฟ่นั้นก็จะเจาะตลาดลูกค้าที่มีความชอบใกล้เคียงกันได้

จากวันที่เป็นครีเอทีฟ สู่การเป็นเจ้าของกิจการคาเฟ่  ภาสินีเล่าว่าเธอได้เรียนรู้หลายสิ่งจากลูกค้า ทั้งเรื่องราว ประสบการณ์ และคำแนะนำในการทำคาเฟ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะถูกนำมาปรับปรุง มาพัฒนา เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่มีความชอบใกล้เคียงกับเรา อยากมาร้านอยู่ตลอด ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้ของคนที่รสนิยมใกล้เคียงกัน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Fakafei ประกาศกร้าวว่า ถึงแม้ตัวเองจะเป็นร้านสไตล์ดั้งเดิม โบราณ แต่ร้านก็มีวิสัยทัศน์แบบก้าวหน้า พร้อมปรับตัวตลอดเวลา เพื่อเป็นคาเฟ่ที่ดีกว่าในปัจจุบันเสมอ

ร้าน Fakafei เปิดทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 10.30-10.00 น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.facebook.com/FaKaFeiOfficial

 

Tags: , ,