รานิเอรี ได้รับข่าวร้ายทันทีหลังนำทีมกลับมาจากสเปน
แต่การตัดสินใจจริงๆ นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเกมกับเซบียาแล้ว
เนื่องจากเจ้าของสโมสรไม่ต้องการให้ทีมตกชั้น

Photo: Reuters Staff, Reuters/Profile

ในที่สุดสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อทีม ‘จิ้งจอก’ เลสเตอร์ ซิตี้ ออกแถลงการณ์ปลด เคลาดิโอ รานิเอรี (Claudio Ranieri) ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ คล้อยหลังจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างน่ามหัศจรรย์เพียง 9 เดือน

และคล้อยหลังจากการประกาศของสโมสรว่าพร้อมจะให้การ ‘สนับสนุน’ รานิเอรี ถึงที่สุดเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น

การปลดกุนซือชาวอิตาเลียนออกจากตำแหน่งไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเรื่องของผลงานในฤดูกาลนี้ที่ย่ำแย่เกินกว่าจะยอมรับได้ โดยผ่าน 25 นัดในพรีเมียร์ลีก เลสเตอร์​ อยู่ในอันดับที่ 17 เก็บได้เพียง 21 คะแนนเท่านั้น

และในปี 2017 พวกเขายังไม่ชนะใครในเกมลีกเลยแม้แต่นัดเดียว แพ้รวดใน 5 เกมหลังสุด ความกลัวที่จะตกชั้นเริ่มกัดกินหัวใจ

ผลงานดังกล่าวแตกต่างจากในฤดูกาลที่แล้วราวฟ้ากับเหว เพราะในปีกลายที่เป็น ‘หนึ่งปีอัศจรรย์’ นั้น เลสเตอร์ผ่าน 26 นัด มีถึง 53 คะแนน นำเป็นจ่าฝูง และพวกเขาเริ่ม ‘เชื่อ’ ว่าตัวเองจะเป็นแชมป์

ดังนั้นแม้จะยังมีความหวังในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เพราะได้อเวย์โกล์มาจากการเยือนเซบียา (แพ้ 2-1) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ประเมินจากสภาพทีม ขวัญกำลังใจ (ซึ่งระส่ำระสายอย่างหนักมีรายงานว่านักเตะระดับสตาร์ในทีมผิดใจกับรานิเอรีอย่างรุนแรงในหลายเรื่อง) และปัจจัยแวดล้อมทุกด้านแล้ว เลสเตอร์มองว่ารานิเอรีไม่สามารถที่จะพาทีมพลิกสถานการณ์ได้ในเวลานี้

การตัดสินใจที่เด็ดขาดจึงเกิดขึ้นเพื่อหยุดทุกอย่างไม่ให้เลวร้ายไปกว่านี้ โดยตามการเปิดเผยของ แดน โรน (Dan Roan) บรรณาธิการข่าว BBC Sports เผยว่า รานิเอรี ได้รับข่าวร้ายทันทีหลังนำทีมกลับมาจากสเปน แต่การตัดสินใจจริงๆ นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเกมกับเซบียาแล้ว เนื่องจากเจ้าของสโมสรไม่ต้องการให้ทีมตกชั้น

นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดที่เราต้องทำ
แต่พวกเรามีหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวของสโมสร
มากกว่าเรื่องความรู้สึกส่วนตัวทั้งปวง

เรื่องนี้ตรงตามที่ วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ โพสต์ข้อความชี้แจงทางอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดที่เราต้องทำ แต่พวกเรามีหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวของสโมสรมากกว่าเรื่องความรู้สึกส่วนตัวทั้งปวง ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะแรงกล้าแค่ไหนก็ตาม

“ความอบอุ่นของเขา เสน่ห์ของเขา บุคลิกเฉพาะตัวของเขา เราจะจดจำสิ่งที่เขาได้ทำให้กับเราตลอดไป เราจะสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้ายของจิ้งจอกผู้ไม่กลัวใคร ขอขอบคุณทุกคนที่ยังเชื่อมั่นในทีมของเราอย่างสูง”

แต่แน่นอนครับว่าการปลดรานิเอรีในเวลานี้นำมาซึ่งเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่? นี่คือสิ่งที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ควรกระทำต่อผู้จัดการทีมที่เพิ่งนำทีมคว้าแชมป์ได้อย่างมหัศจรรย์เมื่อ 298 วันก่อนแล้วหรือ?

นี่คือสิ่งที่ผู้จัดการทีมที่สื่อและแฟนบอลรักมากที่สุดคนหนึ่งจากอุปนิสัย ความน่ารัก และความโรแมนติกที่สุดคนหนึ่งควรได้รับแล้วเช่นนั้นหรือ?

แกรี ลีนิเกอร์ (Gary Lineker) ตำนานดาวยิงผู้ยิ่งใหญ่ทีมชาติอังกฤษ และเป็นตำนานของเมืองเลสเตอร์ ในยุค 80s เป็นหนึ่งในคนจำนวนมากมายที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าว โดย ‘มิสเตอร์ไนซ์กาย’ ทวิตข้อความประณามการปลดรานิเอรีว่า “หลังจากทุกสิ่งที่ เคลาดิโอ รานิเอรี ได้ทำให้แก่เลสเตอร์ ซิตี้ การปลดเขาในเวลานี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่สามารถให้อภัยได้ และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ทำให้ใจสลายอย่างยิ่ง”

อย่างไรก็ดี รานิเอรีไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่นำทีมได้แชมป์คนแรกแล้วต้องจากไป เพราะหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะใน 5 ฤดูกาลหลังสุด (ไม่นับคนที่วางมืออย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) ผู้จัดการทีมที่เคยคว้าแชมป์อย่าง โรแบร์โต มันชินี, มานูเอล เปเยกรินี หรือแม้กระทั่งจอมเก๋าอย่าง โชเซ มูรินโญ เองก็ไม่สามารถรักษาเก้าอี้ตัวเองเอาไว้ได้

นั่นเพราะปัจจุบันการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกนั้นรุนแรงมาก ในแต่ละฤดูกาลผลงานของทีมสามารถพลิกผันได้เสมอ การยืนระยะความสำเร็จเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

สำหรับเลสเตอร์ ยังมีเรื่องของการเดิมพันมูลค่ามหาศาลที่แตกต่างกันระดับมากกว่า 100 ล้านปอนด์ ระหว่างการอยู่รอดและตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ ต้องพยายามกันต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งมีกระแสข่าวว่าคนที่จะเข้ารับตำแหน่งอาจจะเป็น โรแบร์โต มันชินี (Roberto Mancini) กุนซือชาวอิตาเลียน ที่ครั้งหนึ่งก็เคยย้ายมาค้าแข้งกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยเป็นระยะเวลาสั้นๆ

สำหรับรานิเอรี ถึงการจากกันครั้งนี้จะแสนเศร้า แต่ทุกเรื่องราว ทุกความทรงจำ ทุกวินาทีของความสุข ทุกช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นใน ‘เทพนิยายจิ้งจอก’ นั้นจะยังคงอยู่กับตัวเขาและชาวเมืองเลสเตอร์ (รวมถึงคนไทยที่ได้ร่วม ‘อิน’ ไปด้วย)

ไม่ใช่แค่วันนี้หรือวันหน้า แต่เรื่องนี้จะถูกเล่าขานนานสืบไป

Tags: ,