การแฮงก์เอาต์สักครั้งอาจไม่ใช่แค่เพื่อพบปะเข้าสังคม ถ้าเราเลือกสเปซ เลือกผู้คน เลือกบรรยากาศอย่างพิถีพิถัน การแฮงก์เอาต์ในค่ำคืนนั้นอาจเติมเต็มความสุขเก็บไว้เป็นพลังงานชีวิตได้อีกนาน
และท่ามกลางสเปซแฮงก์เอาต์นับไม่ถ้วนใจกลางกรุงเทพฯ ไม่กี่ที่ที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังพลัดหลงเข้าไปในฉากหนังฝรั่งเท่ๆ สักเรื่อง ทั้งบรรยากาศสลัวที่คลาคล่ำด้วยผู้คนหลากสัญชาติ รวมถึงบาร์ซึ่งเรียงรายด้วยเครื่องดื่มสีสันจัดจ้านและบาร์เทนเดอร์ที่พร้อมประสานสายตากับเราเมื่อขยับก้าวเข้ามายืนตรงหน้า
เรากำลังพูดถึง ลูนา เลานจ์ (Luna Lounge) ค็อกเทลบาร์ใหม่ล่าสุดใจกลางสุขุมวิท สถานที่ซึ่งหยิบเอาความโรแมนติกของดวงจันทร์มาผสมเข้ากับงานศิลปะ กระทั่งได้บรรยากาศเป็นเอกลักษณ์แปลกตาแต่น่าสนใจ
คลีมอง เจคควัล (Clément Jacquel) หนึ่งในผู้ร่วมทุนเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของ ลูนา เลานจ์ ว่า ทั้งหมดเริ่มต้นจากความประทับใจที่เขามีให้ชิ้นงานศิลปะของศิลปินชาวฝรั่งเศส Matteo Messervy ที่มักใช้ผ้าหลากชนิดมาเรียงร้อยสอยเข้าด้วยกันเพื่อสื่อสารถึงจังหวะอารมณ์อันหลากหลาย แล้วชิ้นงานที่เขาชอบใจจนต้องขอซื้อไว้มาประดับภายในร้านก็กลายมาเป็นเพดานสีขาวสว่างตรงหน้าเรานี่เอง
“คอนเซ็ปต์และชิ้นส่วนทุกอย่างภายในร้าน เริ่มต้นจากงานศิลปะชิ้นนี้” เขากล่าวย้ำด้วยรอยยิ้ม ก่อนเล่าเรื่อยถึงเพดานผ้าสีขาวฉลุลายว่าแค่เพียงแรกพบ มันก็ทำให้เขานึกถึงความโรแมนติกของดวงจันทร์ และความเงียบงันของอวกาศที่เราไม่อาจหยั่งความเคว้งคว้างได้เลย
ค็อกเทล บาร์ ที่มาพร้อมกับความน่าตื่นเต้น
นอกจากบรรยากาศโรแมนติกเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญไม่แพ้กันของ ลูนา เลานจ์ คือเหล่าเครื่องดื่มแปลกหน้าที่เราไม่อาจคาดเดาส่วนผสมหรือรสชาติได้สักนิด
“เครื่องดื่มทุกแก้วคิดค้นขึ้นจากมิกซ์โซโลจิสต์ (Mixologist) มืออาชีพ เรื่องราวและรสชาติของแต่ละแก้วจึงผสมกันอย่างลงตัว” คลีมองต์ว่าแบบนั้น ก่อนแนะนำค็อกเทลแก้วแรกอย่าง La Luna ให้เราชิม และรสชาติละมุนชวนล่องลอยของค็อกเทลสีเหลืองสว่างซึ่งโดดเด่นอยู่บนเคาท์เตอร์บาร์ ก็ทำให้เราระลึกถึงดวงจันทร์ได้สมชื่อ
ส่วนแก้วถัดมาอย่าง Falling star ก็อวลกลิ่นลาเวนเดอร์เข้าที่กันพอดิบพอดีกับรสชาติของว็อดก้าและสมุนไพรนานาที่เบลนด์กันอยู่ในแก้ว
และไม่ใช่แค่เรื่องราวโรแมนติกของดวงดาว แต่ ลูนา เลานจ์ ยังเล่าถึงตัวละครอื่นในจักรวาล ผ่านเครื่องดื่มรสชาติสนุก อาทิ Green Alien ที่หยิบเอาเหล้ารัมรสไม่บาดคอ มาผสมรวมกับน้ำผลไม้จนได้แก้วสีเขียวระเรื่อ รอแจกความสดชื่นให้กับคนรักรสขมปร่า ทว่าแทรกรสเปรี้ยวหวานซาบซ่าไว้ได้อย่างน่าสนใจ
หรือถ้าใครเป็นสายวิสกี้และเตอกีล่า เราขอท้าให้ลอง FAC และ Crater in the head สองแก้วสีสดที่มาพร้อมกับรสขมเจือกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะแก้วหลังที่หยิบพริกแห้งกลิ่นหอมแรงมาผสมเข้ากับผลไม้ได้อย่างกลมกลืนนั้น เรียกว่าเป็นแก้วที่สะกิดให้ประสาทรับรสของเราตื่นขึ้นอีกครั้งก็ไม่ผิด
คืนเปลี่ยนเวียนรส
จุดที่ ลูนา เลานจ์ ทำให้เราว้าว คือการออกแบบให้แต่ละค่ำคืนมีรสชาติและบรรยากาศไม่ซ้ำกัน โดยคลีมองต์เล่าเรื่อยๆ ถึงการจัดวางธีมในแต่ละค่ำคืน ว่าถูกคิดมาแล้วอย่างดี อาทิ ค่ำคืนแห่งแจ๊ส ที่ทั้งบาร์จะคละเคล้าด้วยคนสายชิลล์ มาเพื่อจิบเครื่องดื่มและสนทนากันตามประสาวัยทำงาน ทว่าเมื่อย่ำเข้าคืนวันศุกร์ ทั้งบาร์ก็จะถูกปลุกด้วยดนตรีฮิปฮอปสายโยก พร้อมให้เข้ามาเติมความสนุกกันได้ชนิดไม่ต้องยั้งใจ หรือในบางคืนก็อาจมีดีเจเป็นแขกพิเศษมาสร้างสุขรสชาติใหม่ให้กับใครที่อยากฟังดนตรีสดด้วยเช่นกัน
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงถามหาอาหารว่า จะพิเศษสักแค่ไหน บอกใบ้ให้ว่า ลูนา เลานจ์ มีเมนูอร่อย เป็นทาปาสเก๋กินง่ายไว้เรียกแขก ไม่ว่าจะ Cherry tomatoes & Mozzarella Cheese ที่ผสมผสานมะเขือเทศสดเนื้อฉ่ำเข้ากับชีสหอมมันได้อย่างมีรสนิยม หรือ Marinated Olives, Foie Gras Supreme และอื่นๆ อีกหลายเมนูก็อร่อยล้ำในระดับกินซ้ำๆ ได้ไม่เบื่ออีกเหมือนกัน
เมื่อค็อกเทลแก้วสุดท้ายหมดลง แสงสีส้มระเรื่อภายในร้านก็เหมือนจะวิบวับขึ้นอีกหน่อย คลีมองต์ยิ้มกว้างต้อนรับเราอีกครั้ง ก่อนย้ายตัวเองไปรวมกับอีกหลายตัวละครใน
ซีนหนังฝรั่งเท่ๆ ซีนนี้ตรงอีกมุมหนึ่งของร้าน
ถ่ายภาพโดย ภาณุทัช โสภณอภิกุล
Face Box:
ลูนา เลานจ์ (Luna Lounge) ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 22 เยื้องกับโรงแรม Holiday Inn Bangkok เปิดตั้งแต่ 1 ทุ่ม ถึงตี 2 (ปิดวันอาทิตย์) สอบถามเส้นทางหรือจองโต๊ะได้ที่ 02-040-3385
Facebook : www.facebook.com/lunaloungebkk
Tags: Cocktail, Bar