ทุกเช้าคือความตื่นเต้นล้นปรี่

ขณะเดินผ่านประตูกันกระสุน 3 ชั้น ผมจินตนาการว่ากำลังก้าวเข้าสู่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ไม่ก็ห้องนิรภัยของธนาคารแห่งชาติอิตาลี ห้องปฏิบัติการแยกอะตอมลึกใต้ดิน หรือห้องแล็บที่กำลังศึกษาเชื้ออีโบลา

แต่เมื่อประตูชั้นที่ 3 ปิดให้หลัง ผมก็ต้องผิดหวัง เบื้องหน้ามีแต่ใบหน้าคุ้นเคยของจีโอวันนี ลีเดีย และอันโตนีโอ

The Art of Binding People เป็นบันทึกความทรงจำของ เปาโล มีโลเน (Paolo Milone) จิตแพทย์ชาวเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี เขาเริ่มทำงานในศูนย์สุขภาพจิตในปี 1980 และเป็นจิตแพทย์ประจำแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งนับจากปี 1988-2016 

มีโลเนบันทึกความทรงจำของเขาด้วยถ้อยคำที่สั้นกระชับ ทว่าให้ภาพและมีจังหวะคล้ายกลอนเปล่า บันทึกบางตอนถ่ายทอดอารมณ์ด้วยอุปมาที่งดงามดั่งบทกวี ในสายตาคนไข้ หมอมีโลเนคงเป็นคนอบอุ่น รับฟัง มีอารมณ์ขัน ขี้ประชด แต่บทจะโหดเขาก็ดุและเข้มงวดไม่ไว้หน้าใคร แถมยังรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาไปเสียทุกอย่าง

ในช่วงทศวรรษ 1980 มีโลเนเล่าว่า แผนกจิตเวชที่เขาเข้าไปเริ่มงาน (แผนกที่เรียกกันว่าวอร์ด 77) ยังไม่มีห้องสัมภาษณ์คนไข้ เมื่อเขาร้องขอ ทุกคนมองเขาเป็นตัวประหลาด

“ก็ไปคุยในหอพักผู้ป่วยสิ”

“ศัลยแพทย์ผ่าคนไข้ในหอพักคนไข้ได้รึเปล่าล่ะ”

แรกสุดพวกนั้นเสนอตู้เก็บไม้กวาด แคบไป-เขาบอก

พวกนั้นเสนอห้องกินข้าว ใหญ่ไป-เขาบอก

ขนาดห้องหรือพื้นที่ว่างสำคัญต่อจิตใจ ฝ่ายบริหารดูจะไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ อย่างที่มีโลเนเล่าว่า บ่อยครั้งคณะผู้บริหารมาเยี่ยมสถานพยาบาลและปลื้มอกปลื้มใจกับความโปร่งโล่งของหอพักคนไข้ แต่คนไข้ไม่ได้ชอบพื้นที่โล่งเสมอไป ภาวะทางจิตเวชบางอย่างทำให้คนไข้เครียดกับพื้นที่ว่าง เคยเห็นไหม คนบางคนหลับสบายในโซฟาเน่าๆ เสียยิ่งกว่าเตียงกว้างหลังโต

งานของจิตแพทย์อย่างมีโลเน มีตั้งแต่การตรวจรักษาคนไข้นอก เยี่ยมไข้และรักษาคนไข้ใน เข้าเวรแผนกจิตเวชฉุกเฉิน ซึ่งบางครั้งก็หมายถึงคืนก่อนวันคริสต์มาสและปีใหม่ รวมถึงการเยี่ยมบ้านคนไข้เก่า และรับตัวคนไข้ใหม่จากบ้านเมื่อได้รับคำร้องขอจากญาติหรือเพื่อนบ้าน เช่นกรณีของ ปีนา หญิงชราที่อาศัยอยู่ตามลำพังและมีอาการประสาทหลอน 

ที่ผ่านมาแกอยู่รอดปลอดภัย เพราะเพื่อนบ้าน 2 คนช่วยกันดูแล แต่เมื่อเพื่อนบ้านคนหนึ่งต้องไปนอกเมืองและอีกคนเข้าโรงพยาบาล มีโลเนก็ได้รับแจ้งให้ไปรับตัวและแอดมิตเธอเป็นคนไข้ในชั่วคราว แต่คุณยายปีนาไม่ชอบใจสิ่งนี้ ระหว่างที่รถพยาบาลติดไฟแดงแกก็ร้องตะโกนขอให้คนช่วย และคุณหมอมีโลเนของเราก็เกือบต้องติดตะรางข้อหาลักพาตัว

คนไข้อีกรายที่หมอมีโลเนจำได้แม่นคือ ลุยซ่า ชายผู้มีน้ำหนักตัว 136 กิโลกรัม และใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่กองพูนด้วยขยะอยู่ทุกซอกทุกมุม แม้พวกเขาจะมีกัน 5 คน แต่กว่าจะพาตัวลุยซ่ามาโรงพยาบาลได้ พวกเขาก็ต้องใช้ยาสลบถึง 2 เข็มและฟกช้ำดำเขียวกันทั่วหน้า เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อมีโลเนไปเยี่ยมลุยซ่าในหอพักคนไข้ใน ลุยซ่าเอาแต่ร้องไห้กระซิกๆ และตัดพ้อว่า “ดูสิ เอาตัวผมมาทั้งที่ใส่รองเท้าแตะสลับข้าง”

ในการรับมือและรักษาผู้ป่วยจิตเวชนั้น การรับเป็นคนไข้ในโดยที่คนไข้ไม่สมัครใจ การให้ยาระงับประสาท ใช้ยาสลบ ไปจนถึงการมัดคนไข้ไว้กับเตียง เป็นประเด็นที่มีผู้เห็นต่างและถกเถียงกันอยู่เสมอ ในตอนหนึ่งมีโลเนบันทึกว่า จะมัดคนไข้หรือไม่ เป็นการตัดสินใจร่วมของวอร์ด ไม่ใช่แพทย์คนใดคนหนึ่ง และหากจะเล่าถึงงานในแผนกจิตเวชฉุกเฉินให้เห็นเป็นภาพชัดเจน มันก็คือการมัด เพื่อไม่ให้จิตใจที่แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจาย การมัดและพยายามประสานเศษเสี้ยวเหล่านั้น การดึงจิตและกายให้กลับมาเป็นหนึ่ง ให้คนผู้นั้นกลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งในนาทีวิกฤต

มีโลเนมีวิธีเล่าถึงคนไข้จิตเวชกลุ่มต่างๆ อย่างคมคายหลักแหลม เช่น คนไข้ซึมเศร้ามักพูดด้วยรูปประโยคที่เป็นอดีต คนไข้กลุ่มโรคทางบุคลิกภาพชอบใช้ประโยคคำสั่ง คนไข้โรคจิตเภทพูดสับสนปนเปเดาไม่ได้ว่าอดีตปัจจุบันหรืออนาคต ส่วนคนไข้ที่มีอาการฟั่นเฟือนอ่อนๆ มักจะสุภาพและใช้ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 (หวังว่าจะเป็นไปได้ในอนาคต) หรือ 2 (สถานการณ์สมมติ) แต่ถ้าเขาใช้ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 (อดีต เรื่องสมมติ รู้ว่าสายเกินไป) บ่อยๆ ละก็ เขาเตือนให้ระวัง

ในบันทึกที่เขียนในลักษณะการตัดสลับฉากและรูปอารมณ์สั้นๆ นี้ เราจะได้พบกับพยาบาลผู้มีทักษะเจรจาต่อรองเหนือชั้น สมควรแก่ตำแหน่งผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศประจำสหประชาชาติ แพทย์ฝึกหัดร้อนวิชา คนไข้ที่ซ่อนมีดโกนไว้ในผม คนไข้ที่โทรมาถามว่าหมอสบายดีไหม 3 เวลาหลังอาหาร (เพื่อบอกว่าตนยังมีชีวิตอยู่) อดีตคนไข้ที่ถูกริบเข็มขัดไปตอนเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล และถึงแม้จะผ่านมาร่วม 20 ปีแล้ว เขายังคงเดินไปไหนมาไหนโดยใช้มือข้างหนึ่งหิ้วหูกางเกงอยู่ หญิงสาวและสวนลับที่เธอปลูกต้นไม้จากความผิดหวัง ไม้ต้นแรกเพาะเมล็ดเมื่อสามีทิ้งไป ต้นมะนาวตอนที่พี่สาวตาย แปลงสมุนไพรตอนตกงาน ชีวิตคงขมขื่นนัก เพราะสวนของเธองอกงามและอุดมสมบูรณ์

ด้วยความเป็นคนเจนัวขนานแท้ มิโลเนเล่าถึงบุคลิกของเมืองที่เขาอาศัยและผู้คนไว้ไม่น้อย เช่นว่าเวลาคนเจนัวบ่น แปลว่าเขามีทางออกแล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจจริงๆ เขาจะเงียบ เจนัวเป็นเมืองเก่าแก่ติดทะเล และมีโลเนเล่าถึงข้อดีของการอยู่ติดทะเลกึ่งประชดประชันว่า “พวกหัวเมืองตอนในมีโอกาสเจอพวกสารเลว 360 องศา แต่เมืองติดทะเลอย่างเรา โอกาสเจอะเจอก็ลดไปครึ่งหนึ่ง เพราะ 180 องศาคือน้ำ”

ในชีวิตการทำงานร่วม 40 ปี ในแผนกจิตเวช ซึ่งนาทีวิกฤตมาถึงได้ทุกเมื่อโดยไม่มีนัดหมายหรือแม้แต่กดกริ่งเรียก ทั้งในรูปของการกรีดข้อมือ การรัดคอตัวเอง กระโดดตึก การโขกศีรษะกับพื้นหรือข้างฝา มีโลเนถึงกับประกาศว่า เขาเกลียดจิตวิเคราะห์ และเล่าว่าเวลาต้องไปประชุมสัมมนาด้านจิต และมีคนขอความเห็นเรื่องจิตวิเคราะห์ความฝัน เขาจะบอกว่า “ผมไม่มีความรู้เรื่องการตีความความฝัน นั่นไม่ใช่งานของผม คนไข้ผมไม่ได้เล่าถึงความฝันเวลาหลับ แต่พวกเขามีชีวิตอยู่ในความฝัน ผมจึงมองหาเชือกเพื่อรีบคล้องตัวและดึงพวกเขาออกมาแทนที่จะมานั่งตีความ”

คนไข้โรคซึมเศร้ารายหนึ่งบอกมีโลเนว่า เขาจะไม่ยอมเปิดปากเล่าอะไร ถ้าหมอไม่ยอมรับเสียก่อนว่า หมอเองก็เคยมีอาการซึมเศร้า เขายอมตาย แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาต้องเจอคนไข้สารพัดกลุ่ม ไม่ว่าคนไข้จิตเภท พวกติดเซ็กซ์ ติดยา ประสาทหลอน คลั่งผอม คิดฆ่าตัวตาย คิดฆ่าผู้อื่น แล้วเขาจะเป็นเสียทุกอย่างได้อย่างไร

การอ่าน The Art of Binding People ก็เช่นกัน เราคงไม่ได้เข้าใจผู้ป่วยจิตเวชดีขึ้น หรือรู้ซึ้งว่าความเจ็บปวดชนิดที่ทำให้คนเรากรีดเปิดเนื้อหนังตัวเองนั้นเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเราอาจได้ตระหนักอย่างที่มิโลเนเน้นย้ำว่า แม้ไม่เข้าใจก็อย่าทึกทักว่า ความเจ็บปวดหรือภาวะบางอย่างไม่มีอยู่ เพราะเราแต่ละคนแตกต่างกัน และนั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

Fact Box

  • The Art of Binding People, เปาโล มีโลเน (Paolo Milone) เขียน, ลูซี แรนด์ (Lucy Rand) แปลจากภาษาอิตาลีเป็นภาษาอังกฤษ, สำนักพิมพ์ Europa Editions
Tags: , ,