“…บาสิมาเดินกระแทกเท้าฉุนเฉียวไปบนพรมเปอร์เซียที่ปูโถงทางเดินหินอ่อนแล้วเลี้ยวเข้าครัว เธอมองดูพื้นกระเบื้องสลับลายเขียวฟ้าที่เยห์ยาเป็นคนออกแบบแล้วนึกในใจว่า ถึงจะรั้น แต่เขาก็มีหัวศิลปะทีเดียว ว่าแต่เขาเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานนี้ได้ยังไง…”

บาสิมากำลังโกรธสามีที่จะยอมปล่อยให้ฮะซันผู้เป็นลูกชาย ไปแต่งงานกับหญิงเบดูอิน ที่มีสถานะไม่ต่างจากยิปซีในสายตาของคนในหมู่บ้านไอน์ฮอด หนำซ้ำเธอรู้สึกเสียหน้าที่ไปสัญญาว่า จะให้ฮะซันแต่งงานกับลูกสาวของญาติผู้น้อง

นั่นเป็นเรื่องราวช่วงต้นทศวรรษ 1940 ของครอบครัวเจ้าของสวนมะกอกในหมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไฮฟา ซึ่งชาวบ้านถือกันว่า พวกตนตั้งรกรากสืบลูกสืบหลานที่นั่นต่อกันมาแล้ว 40 ชั่วคน เยห์ยาเป็นผู้มีอารมณ์ศิลปินอย่างที่ภรรยาเข้าใจ เขาชอบเป่าขลุ่ย ชอบไปกินกาแฟและเล่นแบ็กแกมมอนกับเพื่อนคู่หูคู่กัดชื่อฮัญจ์ซาเลม 

ฮะซันซึ่งตามพ่อเข้าเยรูซาเลมอยู่เนืองๆ เพื่อเอามะกอกเข้าไปขาย ได้พบกับอาริ ลูกชายของศาสตราจารย์เยอรมันเชื้อสายยิว ที่หนีพวกนาซีมาทำงานในเยรูซาเลมตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุ บรรยากาศของเยรูซาเลมในเวลานั้น ไม่มีกำแพงชนิดใดขวางกั้นมิตรภาพระหว่างเด็กชายชาวยิวอย่างอาริกับเด็กปาเลสไตน์อย่างฮะซัน

แต่อะไรๆ เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อคลื่นผู้อพยพชาวยิวจากยุโรป อเมริกา และรัสเซียหลั่งไหลเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนนับจากเยรูซาเลมถึงไฮฟา เมื่อข่าวจากวิทยุ BBC และบทสนทนาของชาวบ้านร้านตลาดหนาหูขึ้นเรื่องการสถาปนารัฐยิวบนดินแดนแห่งนั้น ความกังวลของผู้ใหญ่ก็สะท้อนอยู่ในบทสนทนาของเด็ก อาริเล่าให้เพื่อนฟังว่า พ่อและแม่ของเขายังคงเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดในยุโรป แต่ไม่เห็นด้วยกับรัฐยิวที่คนกำลังพูดถึงกันอยู่และไม่อยากเกี่ยวข้อง 

“กำลังมีการเจรจา และพวกอังกฤษตัดสินว่าจะให้ดินแดนนี้เป็นรัฐยิว…ถ้าคนอาหรับยอมรับ ฉันว่าก็คงไม่มีปัญหาอะไร เราก็อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างที่อยู่กันมาไง”

“แต่นายเพิ่งบอกว่าพวกเขาจะให้เป็นรัฐยิว” ฮะซันแย้งด้วยความกังวล

“ใช่ แต่ฉันว่าพวกเขาก็คงยอมให้คนอาหรับอยู่ด้วย” อาริบอกโดยไม่ทันคิด

“อ้อ ผู้อพยพพวกนี้คงยอมให้ฉันอาศัยอยู่ในบ้านของฉันเอง” ฮะซันงุนงงกับตรรกะ พวกเขายังคงเป็นเพื่อนกัน แต่ภายหลังการขับไล่ยึดครองที่ดินและบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ โดยกองกำลังของขบวนการไซออนิสม์ในปี 1948 ที่เรียกกันว่า ‘อัล นักบา’ (Al Nakba แปลว่าหายนะ) ชีวิตของพวกเขาก็ต้องเดินไปคนละเส้นทาง 

Mornings in Jenin เขียนโดย ซูซาน อาบูลฮาวา (Susan Abulhawa) เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ ผ่านเรื่องราวในชีวิตของคน 4 รุ่น นับจากเยห์ยา ฮะซัน อามาล และซาร่า จากพ่อลูกเจ้าของสวนมะกอกที่รอดชีวิตจากอัล นักบา แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเจนิน หญิงสาวที่เกิดและโตมาในค่ายผู้ลี้ภัย เรียนหนังสือในโรงเรียนเด็กกำพร้าในเยรูซาเลม จนได้ทุนไปเรียนต่อในสหรัฐอเมริกา และเด็กสาวอเมริกันเชื้อสายปาเลสไตน์ซึ่งลืมตาดูโลกโดยไม่เคยเห็นหน้าพ่อ เพราะเขาจากไปในซากตึกจากการยิงถล่มของกองทัพอิสราเอล

จากทศวรรษ 1940 จนถึงปี 2002 จากสวรรค์ในสวนมะกอกสู่ชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ 

แม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่หนังสือเล่มนี้ก็เหมือนมนุษย์ผู้มีเลือดเนื้อ คนยังคงเป็นคนแม้โดนบดขยี้ไม่รู้สักกี่ครั้ง 300 กว่าหน้าของหนังสือจึงแทรกอยู่รอยยิ้ม ความหวัง เรื่องขบขัน น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ และความเศร้าที่น้ำตาเยียวยาไม่ได้

แม้ตัวละครในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่บุคคลจริงในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและพลิกชีวิตของเขาล้วนทาบซ้อนอยู่กับเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ นับแต่การลอบสังหาร โฟลเกอ แบนาดอตต์ (Folke Bernadotte) ผู้แทนสหประชาชาติชาวสวีเดน ซึ่งสนับสนุนสิทธิการคืนถิ่นแก่ผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ ที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเลมเมื่อปี 1948, การถือกำเนิดขึ้นขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ภายใต้การนำของ ยัสเซอร์ อาราฟัต (Yasser Arafat), การสังหารหมู่ซาบราและชาติลากลางกรุงเบรุต ระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน 1982 ระเบิดพลีชีพที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเบรุต เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1983 และการยิงถล่มค่ายผู้ลี้ภัยเจนินโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ ระหว่างวันที่ 1-11 เมษายน 2002

การบอกเล่าด้วยภาษาที่เรียบง่ายของซูซาน พาให้เรายืดอกทั้งน้ำตาไปกับเยห์ยา ในวันที่เขาขอให้ลูกสะใภ้ซักเสื้อผ้าชุดเก่งของเขาให้ขาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขาตระหนักว่า “เต็นท์ชั่วคราวที่เขาคิดว่าจะอาศัยเพื่อลี้ภัย บัดนี้ลงหลักปักฐานกลายเป็นผนังดินเสียแล้ว…”

เช้าวันถัดมาเยห์ยาสวมชุดดังกล่าว หันหลังให้กับค่ายผู้ลี้ภัย เดินเล็ดลอดสายตาของสไนเปอร์อิสราเอลกลับไปยังสวนมะกอกของเขา เราไม่รู้ว่า เยห์ยามีโอกาสได้กลับไปนั่งเป่าขลุ่ยบนบันไดหินอ่อนริมระเบียงบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องสีเขียวสลับฟ้าหรือไม่ เราไม่รู้ว่า ชาวอิสราเอลที่เข้ามาครอบครองบ้านหลังนั้น จะช่วยดูแลแปลงกุหลาบของบาสิมาหรือเปล่า แต่เมื่อครอบครัวได้รับศพของเยห์ยากลับคืนมา ในกระเป๋าเสื้อตัวเก่งที่ไม่ขาวอีกต่อไปแล้วมีลูกฟิกหลายลูก และเขายังคงกำมะกอก 3 ลูกไว้ในมือ

เราคงรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อต้องย่างเท้าสู่แผ่นดินอเมริกาในฐานะนักเรียนทุน โดยแทบไม่มีสมบัติใดติดตัวนอกจากผ้าคลุมศีรษะเก่าซีดที่แม่ใช้มาตลอดชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัย และกล้องยาสูบของพ่อที่ต้องพลัดพรากกันในปี 1967 และไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่ความทรงจำของช่วงรุ่งสางที่พ่อมักอ่านหนังสือให้ฟัง เรื่องเล่าถึงวันคืนในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อไอน์ฮอดและตำนานมากมายที่ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนจากปากของผู้เฒ่าฮัญจ์ซาเลม ความอ่อนโยนและแกร่งเยี่ยงหญิงเบดูอินของแม่ที่ยังคงแล่นอยู่ในสายเลือด ก็อาจพาให้เราก้าวเดินและกล้าที่จะหวังถึงวันคืนที่ดีกว่า

ภาษาที่เรียบง่ายของซูซานอีกเช่นกันที่พาให้เราเจ็บปวดจนเข้าใจได้ว่าเหตุใดเด็กชาวปาเลสไตน์จึงใช้ก้อนหินในมือต่างคำประท้วงและอาวุธ และแทบจะเข้าใจว่า เหตุใดวันหนึ่งคนผู้มีจิตใจอ่อนโยน รักลูกเมียยิ่งกว่าชีวิต จะลุกขึ้นมามัดระเบิดไว้กับตัวและทำให้โลกรอบตัววินาศไปพร้อมกับชีวิตตนเอง

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เกินกว่าคำว่า ถูก-ผิด สิทธิ หรือความชอบธรรม 

เราอาจต้องมาเริ่มกันใหม่ด้วยคำถามพื้นฐานที่ว่า ชีวิตที่ดีของเราจำเป็นต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากของผู้อื่นหรือไม่ ‘ภัย’ ที่รัฐทั่วโลกใช้เป็นใบอนุญาตฆ่าเป็นภัยอุปโลกน์ หรือผลจากสิ่งที่รัฐเหล่านั้นกระทำไว้ก่อนหน้าด้วยใบอนุญาตใบเก่าหรือไม่

และโลกนี้ไม่มีที่ทางพอให้เราต่างมีแปลงกุหลาบเล็กๆ ของเราสักแปลงหรือ

Fact Box

  • Mornings in Jenin เขียนโดย ซูซาน อาบูลฮาวา ตีพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในชื่อ The Scar of David ในปี 2006 และแปลเป็นภาษาต่างประเทศถึง 27 ภาษา
Tags: , , , ,