อินเดียเป็นประเทศที่ดาษดื่นด้วยนักเขียนการ์ตูน นักวาดภาพประกอบ นักออกแบบกราฟิก และศิลปินที่ใช้ศิลปะกราฟิกเป็นสื่อ และเหนืออื่นใด ทุกโมงยามของวันและซอกหลืบความรู้สึกมีเรื่องเล่าสารพัดรส ขม ขำ ขื่น เฝื่อน หวานหอม จนถึงแซ่บแสบลิ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่อุตสาหรรมสิ่งพิมพ์ของอินเดียมีการ์ตูนช่องในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร หนังสือการ์ตูนรายเดือน รวมไปถึงหนังสือภาพแนวเทพปกรณัมอย่าง Amar Chitra Katha การ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Bahadur การ์ตูนซีรีส์ เช่น Chacha Chaudhary, Motu Patlu, Feluda Mysteries และสำนักพิมพ์ที่อุทิศตัวกับการผลิตกราฟิกโนเวลอย่าง Campfire
กระนั้นนักเขียนการ์ตูนและศิลปินที่ใช้ศิลปะกราฟิกเป็นสื่อจำนวนมากก็ยังรู้สึกว่า ตนขาดพื้นที่สำหรับการเล่าเรื่องเชิงลึกหรือ ‘Long Form’ ผ่านศิลปะกราฟิกหรือการ์ตูน ที่เป็นมากกว่าภาพประกอบ การ์ตูนช่องเล่นมุกเสียดสี หรือกราฟิกโนเวล เมื่อศิลปินและนักเขียนการ์ตูน 4 คนพบกันโดยบังเอิญในงานเปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่ง และพบว่าต่างก็ฝันถึงสิ่งเดียวกัน นั่นคือหนังสือรวมเล่มรายปีที่จะเป็นเวทีสำหรับเรื่องเล่ากราฟิกเชิงลึก โดยเฉพาะสำหรับนักเล่าเรื่องกราฟิกรุ่นใหม่ที่คันไม้คันมือและกระหายจะเล่าเรื่องในแบบของตน และนั่นคือที่มาของ Longform: An Anthology of Graphic Narratives เล่มแรกในปี 2018 ภายใต้งานบรรณาธิกรของนักเขียนการ์ตูนและศิลปิน 4 คน ได้แก่ สรรพจิต เสน (Sarbajit Sen), เทพกุมาร มิตรา (Debkumar Mitra), เสขร มุขรชี (Sekhar Mukherjee) และพินากิ เด (Pinaki De)
สำหรับชื่อ Longform นั้น บรรณาธิการทั้งสี่เล่าว่า ได้แรงบันดาลใจจากคำดังกล่าวในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของ โจ แซกโก (Joe Sacco) นักเขียนการ์ตูนและผู้สื่อข่าวมีชื่อชาวอเมริกันเชื้อสายมอลตา ที่ผิดหวังกับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และนิตยสารทุกวันนี้ ที่ไม่ยอมเปิดพื้นที่ให้กับการ์ตูนหรือเรื่องเล่ากราฟิกเชิงลึก (Long Form Graphic Narratives) ซึ่งนักเขียนการ์ตูนและศิลปินมากมายพร้อมจะแสดงฝีมือ
กล่าวได้ว่า Longform เล่มแรกมีสถาบันการออกแบบแห่งชาติอินเดีย (National Institute of Design: NID) และโกลกาตาเป็นฐานที่มั่น ผลงาน 18 เรื่องในเล่มจึงมาจากศิลปินหลากสัญชาติ เช่น อิหร่าน ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ และอินเดีย ส่วน Longform 2022 หรือเล่มสอง เรียกได้ว่าเป็นการระเบิดของเรื่องเล่าหลากรสผ่านเส้นสีที่เข้มข้นในความรู้สึก เพราะหายนะและโศกนาฏกรรมจากสถานการณ์โควิด-19 ยังสดใหม่สำหรับนักเขียนและศิลปินที่ร่วมงานทุกคน ดังสะท้อนในบทบรรณาธิการว่า
“ภายใต้หน้ากากเพื่อสุขอนามัยส่วนตนและแนวปฏิบัติในสถานการณ์โควิด ความหิวโหย ความยากจน การเลือกปฏิบัติ ความรุนแรงในครัวเรือน และความเหลื่อมล้ำ ยังคงแพร่ระบาดอยู่ไม่ลดราวาศอก”
นอกเหนือจากนักเล่าเรื่องกราฟิกหนุ่มสาวชาวอินเดีย 16 คน Longform เล่มสองยังมีศิลปินต่างชาติฝากผลงานไว้ 2 คน ได้แก่ Noah Van Sciver จากสหรัฐอเมริกา และ Tanitoc จากฝรั่งเศส
สำหรับ Longform 2025 อันเป็นเล่มล่าสุด โดดเด่นและเหมือนจะกลับไปตอบสนองเป้าหมายหลักแรกตั้งของกลุ่ม Longform ที่ว่า Longform จะเป็นเวทีทั้งสำหรับนักเล่าเรื่องทั้งที่วาดรูปเป็น (และเป็นอาชีพ) และไม่เป็น ดังจะเห็นว่าเมื่อสรรพจิต เสน และเสขร มุขรชี ถอยออกไปเป็นที่ปรึกษา ทีมบรรณาธิการที่เหลือก็ได้ อรฆา มันนา (Argha Manna) เข้ามาร่วมทีม
อรฆา มันนา เป็นนักวิจัยด้านมะเร็งที่หันมาเขียนการ์ตูนและทำงานศิลปะ ปัจจุบันเขาเป็นศิลปินในพำนักของสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย วิทยาเขตคานธีนคร นอกจากผลงานเรื่อง Bose versus Bose ซึ่งตีพิมพ์ใน Longform 2022 เขายังเขียนภาพเล่าเรื่องให้กับโครงการวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์อีกหลายโครงการ
นอกจากมันนาในฐานะบรรณาธิการเล่ม เรายังได้เห็นนักเล่าเรื่องจากแวดวงอื่นอีกหลายคน เช่น คารคี ภัฏฏจารยะ (Gargi Bhattacharya) นักกิจกรรมด้านการศึกษาและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเขียนเรื่อง Genesis โดยมี สุภษิส โฆษ (Subhashis Ghosh) และษาน ภัฏฏจารยะ (Shan Bhattacharya) ร่วมกันถ่ายทอดเป็นภาพ David Lo ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ ประจำ University of California เขียนเรื่อง Resorts to Ruins โดยมี เก โสหินี (Kay Sohini) เขียนภาพ ขณะเดียวกันก็มี สนิคธา (Snigdha SK) นักศึกษาปริญญาเอกด้านโมเลกุลในเซลล์พืชจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย และปรัตยาษา นาถ (Pratyasha Nath) ที่เพิ่งจบปริญญาโทสาขาวิศวกรรมชีวเคมีมาหมาดๆ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติอินเดียขารัคปูร์ ที่ต่างก็ลงมือเขียนภาพด้วยตนเอง
เรื่องเล่ากราฟิกทั้ง 17 เรื่อง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในเรื่องราว ภาษาและการลำดับภาพ การเลือกใช้แบบตัวอักษร เส้น สี หรือฝีแปรง เรื่อง Grief ใช้ลายเส้นและถ้อยคำง่ายๆ เป็นสื่อทำความเข้าใจความเศร้าโศกที่จู่โจมและจางจากไป เรื่อง We Can’t Hear You เป็นภาพขยายชวนครุ่นคิดที่จุดประกายจากคำพูดติดปากเวลาคุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลกับใครสักคนแล้วสัญญาณเสียงขาดๆ หายๆ เวลาที่บอกว่า “ไม่ได้ยินเสียงเลย” เราไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้ยินความหมายในถ้อยคำ หรือว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนในการรับรู้ของเรากันแน่
My Conversation with God เล่าถึงบทสนทนาเบื้องในของพราหมณ์ผู้หนึ่งจากวัยเด็กจนเฒ่าชรา ด้วยภาษาภาพและสีหน้าแสนซื่อ ขณะที่บทสนทนาของแมว 2 ตัวใน Feline Wisdom พาเราย้อนกลับไปสำรวจที่ทางของชีวิตบนโลกผ่าน 5 การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ โรคเชื้อราในช่องหูในเรื่อง Earworm พาให้เราทุ่มเถียงกับตัวเองว่ามนุษย์เราหรือจุลชีพอย่างเชื้อรากันแน่ที่เป็นปรสิตและกำลังเกาะกินโลกใบนี้
สไตล์และภาษาภาพของเรื่องเล่าในเล่มแตกต่างหลากหลายจากเส้นดินสอซื่อๆ เส้นปากกาฉวัดเฉวียนแบบศิลปินมืออาชีพ การเขียนสีน้ำสดใสแบบหนังสือภาพสำหรับเด็ก ไปจนถึงสีน้ำทึบ (Gouache) แนวไซคีเดลิก การนำลักษณะเด่นของจิตรกรรมโบราณในศาสนาไชนะ ที่มักเขียนใบหน้าคนในลักษณะหันข้างหรือเห็นแบบ 3 ใน 4 และเขียนตาให้ยื่นเกินกรอบใบหน้า มาเขียนตัวละครแม่และลูกสาวในเรื่อง Validation โดยผสมผสานกับการใช้สีโทนคู่และเส้นสายยุคดิจิทัล เพื่อล้อความคิดอ่านของคนในศตวรรษที่ 21 ที่บางเรื่องก็ไม่เคยเคลื่อนหรือเปลี่ยนไปจากสังคมยุคโบราณแต่ประการใด การใช้ภาพอุปมาเรื่องปริศนารถรางมาสื่อว่าหากเราเลือกสับรางได้ เราจะเลือกความอยู่รอดของจุลชีพหรือมนุษย์ และการเปรียบต่างเงียบงันไร้คำพูดระหว่างภาพความอุดมมั่งคั่งของชีวิตกับหายนะในโลกจากน้ำมือมนุษย์ในเรื่อง An Elegy
โบนัสสำหรับผู้อ่าน Longform 2025 เห็นจะได้แก่บทสัมภาษณ์ขนาดยาวของโจ แซกโก เจ้าของผลงานเรื่องเล่ากราฟิกชั้นนำอย่าง Palestine (2001), Safe Area Goražde (2000) และ Journalism (2018) ขณะให้สัมภาษณ์เมื่อปลายปี 2024 แซกโกอยู่ระหว่างการทัวร์สอนและเปิดเวิร์กช็อปในสถาบันการศึกษาหลายแห่งของอินเดีย พร้อมกับเตรียมการสำหรับการตีพิมพ์ผลงานล่าสุดของเขาชื่อ The Once and Future Riot ซึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์จลาจลระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมในรัฐอุตตรประเทศ อินเดีย เมื่อปี 2013
ในความเห็นตอนหนึ่ง แซกโกให้ภาพรวมของการ์ตูนและเรื่องเล่ากราฟิกจากอินเดียไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า “สิ่งที่ผมชอบเวลาอ่านการ์ตูนอินเดียคือมันให้ความรู้สึกว่ามาจากอินเดีย ในขณะที่มีแง่มุมที่เป็นสากล มันมีบริบทและกลิ่นอายแบบอินเดียที่เราสัมผัสได้”
Tags: ศิลปะ, อินเดีย, Longform




