น่าจะราวต้นเดือนกันยายนที่ทำให้ผู้เขียนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพากายหยาบของตัวเองออกจากห้องเช่าเล็กๆ ย่านรามคำแหง เพื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินที่คนแน่นขนัด และมุ่งหน้าเข้าสู่เขตบางรัก ใจกลางกรุงเทพมหานครที่แสนพลุกพล่าน
เพราะเกลียดความวุ่นวาย ผู้เขียนจึงไม่ถวิลหาการพาตัวเองไปอยู่แวดล้อมผู้คนและรถรา แต่ทว่าการเดินทางจากพื้นที่ซึ่งมีตึกสูงบางตาเข้าสู่ใจกลางกลุ่มอาคารคอนกรีตในครั้งนี้ มีเหตุผลสำคัญอยู่ 2 ประการด้วยกัน โดยประการแรกคือ การเดินทางมาแสดงความยินดีในงานเปิดตัวหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย โดยผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นพี่สาวของผู้เขียนเอง
ส่วนประการที่ 2 คือ หนังสือเล่มปกสีชมพู ความหนา 283 หน้า ที่หน้าปกเขียนว่า FEMINIST CITY นครเฟมินิสต์ ชีวิตในพื้นที่ไร้ปิตาธิปไตย เขียนโดย เลสลี เคิร์น (Leslie Kern) รองศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม แปลเป็นภาษาไทยโดย วศินี พบูประภาพ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวบีบีซีไทย
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่คาดเดายากว่า เนื้อหาในหนังสือจะกล่าวถึงเรื่องใด คำว่า ‘City’ ชี้แล้วว่าต้องพูดถึงเมือง และคำว่า ‘Feminist’ ก็ตรงตัวคือ ‘สตรีนิยม’ ทว่าสิ่งที่ชวนสงสัยคือ เหตุใด 2 สิ่งที่ดูเหมือนอยู่กันคนละศาสตร์และห่างไกลกัน จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายรวมอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน
หน้าตาเมืองตามหลักคิดแบบสตรีนิยมเป็นแบบไหน คำว่า FEMINIST CITY หมายถึงมหานครที่มีแต่ผู้หญิง หรือหมายถึงแนวคิดการสร้างเมืองที่ทำให้ผู้หญิงใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกับทุกเพศกันแน่ สิ่งนี้ช่างน่าสงสัยและน่าค้นหาอย่างมาก
[1]
ตามหนังสือ เลสลีมีบ้านเกิดอยู่ในเมืองมิซซิซเซากา (Mississauga) ซึ่งเธอกล่าวในหนังสือว่า เป็นเมืองขนาดใหญ่และมีความหลากหลายแห่งหนึ่งในประเทศแคนาดา แต่ภาพจำของเมืองในยุค 1980 ที่หมายถึงเมืองแห่งรถยนต์กับห้างสรรพสินค้า ทำให้เลสลีเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศอย่างโตรอนโตทันทีที่ทำได้ พร้อมกับน้องชายที่ทำให้เธอได้มองเห็นถึงความแตกต่างของการใช้ชีวิตระหว่างเพศในเมืองหลวง
“ฉันกับน้องชายย้ายเข้าเมืองโตรอนโตทันทีที่เราทำได้ เราทิ้งชานเมืองก่อนที่จะท่องชื่อรถไฟสายยองจ์-ยูนิเวอร์ซิตี-สปาดินาได้เสียอีก แต่ประสบการณ์ชีวิตในเมืองของเรากลับแตกต่างกันสิ้นเชิง ฉันไม่เชื่อว่าน้องชายจะเคยต้องเดินกลับบ้านโดยถือกุญแจชูไว้เป็นอาวุธในกำมือหรือเคยถูกเบียดเพียงเพราะเข็นรถเข็นเด็กกินที่ทางมากเกินไป
“เมื่อเรามีสีผิว ศาสนา ความสามารถทางกาย ฐานะทางชนชั้น และสายเลือดที่แทบจะเหมือนกัน ฉันจึงต้องยอมรับว่าเพศคือความแตกต่างที่สำคัญอย่างแท้จริง” (หน้า 17)
เมื่อประสบการณ์การใช้ชีวิตในพื้นที่เมืองมีความแตกต่างด้วยปัจจัยทางเพศ เนื้อหาของ FEMINIST CITY ส่วนหนึ่งจึงหาคำตอบว่า หิน อิฐ กระจก ปูน ที่ก่อร่างเป็นเมืองมีเบื้องหลังเป็นใคร และเมืองกำลังรับใช้ใครเป็นพิเศษหรือไม่ ผ่านประสบการณ์ของตัวเลสลีเอง รวมถึงงานวิจัยของนักภูมิศาสตร์เมืองสายเฟมินิสต์ ที่ต่างทำหน้าที่เปิดเผยความจริงของเบื้องหลังประสบการณ์ผู้หญิงในเมือง
“ผู้มีอำนาจตัดสินใจอันดับต้นๆ ในเมืองต่างๆ ซึ่งยังคงเป็นผู้ชายเป็นส่วนใหญ่กำลังออกนโยบายว่าด้วยทุกสิ่ง ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์เมืองไปจนถึงการออกแบบที่อยู่อาศัย การวางผังโรงเรียน ไปจนถึงที่นั่งบนรถเมล์ มาตรการตำรวจ ไปจนถึงการกวาดหิมะ ทั้งที่ปราศจากความเข้าใจใดๆ เลยในประสบการณ์ของผู้อื่น และยังไม่นับถึงความใส่ใจว่า การตัดสินเหล่านั้นส่งผลต่อผู้หญิงอย่างไร
“เมืองได้ถูกจัดวางขึ้นเพื่อสนับสนุนและอำนวยต่อบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมของผู้ชายโดยประสบการณ์ของผู้ชายเป็น ‘บรรทัดฐาน’ และแทบไม่ใส่ใจเลยว่า เมืองได้วางผู้หญิงไว้อย่างไร รวมถึงเพิกเฉยต่อชีวิตประจำวันของพวกเธอในเมืองอย่างไร
“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันหมายถึง ‘นครของผู้ชาย’ ” (หน้า 23)
[2]
เมื่อหน้าที่ของการออกแบบเมืองตกอยู่ในกำมือของผู้ชาย การขาดซึ่งประสบการณ์จากเพศอื่นได้นำมาสู่อคติทางเพศภายใต้นโยบายการพัฒนาเมือง
ย้อนกลับไปยังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การหลั่งไหลของแรงงานได้แปรสภาพเมืองหลวงในสายตาของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงให้กลายเป็นพื้นที่ของความไร้ระเบียบอันจะนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะต่อผู้หญิงผิวขาวซึ่งถูกนิยามให้เป็น ‘สุภาพสตรี’ แห่งยุคสมัยวิคตอเรียที่เคร่งครัดกฎของการแบ่งชนชั้นซึ่งกำลังพร่าเลือนด้วยการหลั่งไหลของผู้คนในเมือง เป็นเหตุให้สุภาพสตรีกับหญิงแรงงานต้องเดินชนไหล่กันบนท้องถนนด้วยความจำเป็นโดยไม่มีพิธีรีตอง
อย่างไรก็ตาม เพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิ ผู้หญิงชนชั้นกลางและชนชั้นสูงจึงหันหลังให้กับมหานคร ออกไปอยู่ตามพื้นที่ชนบทและแถบชานเมือง “ในขณะที่ผู้หญิงบางคนสมควรได้รับการปกป้องจากความสับสนไร้ระเบียบแห่งเมืองใหญ่ ผู้หญิงอีกจำพวกหนึ่งกลับถูกมองว่า ต้องได้รับการควบคุม การอบรมใหม่ หรือบางรายอาจถึงขั้นต้องถูกขจัดออกไป” (หน้า 19) ด้วยเหตุที่ว่า ชนชั้นกลางเริ่มรับไม่ได้กับสภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานภายในเมือง
ย้อนกลับมายังยุคสมัยปัจจุบัน แม้ว่าความเคร่งครัดกับชนชั้นทางสังคมแห่งยุควิคตอเรียจะเบาบางลงแล้ว แต่การพัฒนาเมืองยังคงส่งมอบอคติมาให้ผู้หญิงอย่างต่อเนื่อง ผ่านนโยบายที่พยายามจะควบคุมร่างกายของผู้หญิง การหลอกล่อทำหมันผู้หญิงผิวสีและผู้หญิงชนพื้นเมืองผ่านการสนับสนุนงบประมาณของรัฐบาล สมมติฐานที่มองว่า การตั้งครรภ์ของวัยรุ่นจะกลายเป็นผู้พึ่งพิงรัฐและให้กำเนิดลูกที่มีแนวโน้มเป็นอาชญากร รวมไปถึงการรณรงค์ต่อต้านโรคอ้วนที่พุ่งเป้าไปยังผู้หญิง ทั้งในฐานะของปัจเจกและฐานะแม่ เพื่อพยายามผูกโยงเข้ากับปัญหาของเมืองยุคใหม่ อย่างการพึ่งพารถยนต์และกินอาหารจานด่วนมากไป
ในขณะที่สายวิชาชีพทั้งสถาปนิก วิศวกร สถาปัตยกรรม และการผังเมือง ยังคงมีจำนวนผู้หญิงป้อนเข้าสู่ระบบน้อยกว่าผู้ชาย ประสบการณ์การใช้ชีวิตในเมืองที่จะนำไปสู่การออกแบบเพื่อแก้ปัญหา หรือโอบรับเจ้าของประสบการณ์กับคนอื่นๆ ที่เผชิญปัญหาแบบเดียวกันจึงถูกผูกขาดอย่างสิ้นเชิงกับเพศใดเพศหนึ่ง และนั่นย่อมตอกย้ำอคติที่จะเกิดขึ้นอีกมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องขึ้นรถไฟแต่ไม่มีที่นั่งเพียงพอ อาคารและสถานีขนส่งที่ไร้ลิฟต์สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์และหญิงผู้พิการ หรือไม่มีห้องให้นมบุตร ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้พวกเธอถูกมองด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกรำคาญ และไปจนถึงทำให้เกิดความเปราะบางจากการถูกทำร้ายทางวาจาและทางร่างกาย
ดังนั้น สำหรับการพัฒนาเมืองผู้หญิงจึงถูกมองเป็นปัญหาสำหรับเมืองสมัยใหม่มาโดยตลอดตั้งแต่ยุคเก่าก่อนมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตามคำกล่าวของเลสลี ทั้งนี้เธอไม่ได้ปฏิเสธแบบหัวชนฝาว่า ผู้ชายที่มีอำนาจในการออกแบบรูปร่างหน้าตาของเมืองยังคงมีความพยายามอยู่บ้าง ที่จะพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของผู้หญิงในเมืองหลวง ไปจนถึงแถบชานเมืองและชนบทให้ดียิ่งขึ้น แต่การเติมผู้หญิงเข้าไปสู่สายวิชาชีพพัฒนาเมืองเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหา เนื่องจากผู้หญิงแต่ละคนมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน และยังไม่ได้คำนึงถึงอัตลักษณ์ทับซ้อนทั้งเชื้อชาติ ศาสนา ร่างกาย ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องนำมาคิดรวมกันในการสร้างสรรค์เมืองขึ้นมา
[3]
หลักคิดของเฟมินิสต์กับเมืองที่น่าสนใจสำหรับผู้เขียนในหนังสือเล่มนี้มากที่สุด คือสิ่งที่เรียกกันว่า การรุกคืบกลืนพื้นที่ของทุน (Gentrification) หมายถึงกระบวนการที่พื้นที่ของแรงงานและคนรายได้น้อยถูกครอบครองโดยครอบครัวและนักธุรกิจชนชั้นกลาง
ร้านค้าและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาครอบครองพื้นที่ที่เคยเป็นที่อยู่กินของแรงงานนี้ ในมุมมองของหลายคนคงมองว่าเป็นการพัฒนาทำเลที่อยู่ให้มีสภาพดีขึ้น หรือเรียกง่ายๆ ว่า กำลังจะเจริญขึ้น แต่ในทางกลับกัน สิ่งนี้ได้นำมาซึ่งความสับสนอลหม่านขึ้นในพื้นที่ที่เคยโอบรับฐานะทางเศรษฐกิจของหลายครอบครัว และขยับมันให้เข้าใกล้กับชนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
ในพื้นที่แห่งการรุกกลืน สิ่งที่หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่คือภาพโฆษณาที่พยายามชี้ให้เห็นว่าครอบครัวต้องผลักดันให้ตนเองมีอะไรบ้าง ต้องสร้างสิ่งใดให้กับลูกของตัวเองบ้าง ซึ่งเป็นการผลักดันที่ทำให้พ่อแม่ของเด็ก ต้องเหนื่อยหนักกับการหาทางพัฒนาลูกของตัวเอง ผ่านการทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินมาจุนเจือ
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของทุนในคราบธุรกิจ ยังส่งผลให้พื้นที่แต่เดิมเข้าถึงได้ทุกกลุ่มกลับคับแคบลง เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้นจากการเข้ามาพัฒนาพื้นที่ให้ตอบรับกับการอยู่อาศัยของชนชั้นกลาง แน่นอนว่าไม่ใช่แม่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงบริการและทรัพยากรในการเลี้ยงลูกที่มีราคาสูง การรุกกลืนพื้นที่จึงไม่ต่างอะไรกับการผลักไสคนกลุ่มนี้ ให้ออกห่างจากเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ กลืนกินพื้นที่อยู่อาศัยที่รองรับหลากหลายความสัมพันธ์ ให้เหลือแต่ความสัมพันธ์แบบสามี-ภรรยาในบ้านเดี่ยวหรือคอนโดฯ
สิ่งนี้มีต้นทุนและกำลังทำให้เมืองแพงขึ้น กล่าวคือหากคุณต้องการความปลอดภัยคุณเพียงต้องจ่ายเงินให้มากขึ้นเพื่อเข้าถึง และหากต้องการสาธารณูปโภคที่ดีก็เพียงแต่ซื้อมันในราคาที่ไม่ปรานีต่อคนยากไร้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เลสลี เจ้าของหนังสือ FEMINIST CITY ตั้งคำถาม แต่เราเองในฐานะผู้อ่านก็ต้องถามว่า เหตุใดการเข้าถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ควรจะเป็นสิทธิของทุกคน จึงกลายเป็นราคาที่ต้องจ่าย
นอกจากนี้ การจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงความปลอดภัยนี้จะนำมาซึ่งความปลอดภัยจริงหรือ ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ เพราะในทุกวันนี้ยังคงพบว่า การล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงต่อผู้หญิงยังคงเกิดขึ้นจากคนรอบตัวและคนที่รู้จักเธอ มากกว่าจะเป็นคนตามท้องถนนทั่วไป ดังนั้นการติดไฟส่องสว่าง และการปรับแต่งผังเมืองในพื้นที่ที่ถูกรุกกลืนโดยทุนอาจมีความจำเป็น แต่อาจไม่ช่วยในการสลายความอันตรายต่อผู้หญิงไปเสียทีเดียว
[4]
FEMINIST CITY ไม่ได้เป็นหนังสือที่ต่อต้านการอาศัยในเมืองของผู้ชาย และแทนที่ด้วยผู้หญิง แต่เป็นการเพิ่มมุมมองของผู้หญิงในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์กับพวกเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเรียกร้องมานานหลายทศวรรษ อาจมีความคืบหน้าบ้างในทั่วโลกจากการที่เรามองเห็นสนามบินมีห้องสำหรับให้นมบุตร การทลายโครงสร้างครอบครัวเดี่ยวที่ประกอบไปด้วยสามี-ภรรยาและลูก ให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ผู้หญิงมาอยู่ร่วมกัน เพื่อรับผิดชอบกันและกันในเคหะเพื่อแบ่งเบากันไปทำงาน
รูปแบบของเมืองที่เป็นศูนย์รวมของโอกาส ไม่ว่าจะเป็นรายได้ การศึกษา การเข้าสังคม ส่วนอีกด้านหนึ่งในมุมมองของเฟมินิสต์ ความเป็นจุดศูนย์รวมอำนาจรัฐและเอกชนยังเป็นโอกาสที่จะใช้เมือง ในวาระของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนโยบายที่จะทำให้ผู้หญิงทั้งเมือง ทั้งประเทศ หรือทั้งโลกได้อยู่สุขสบาย ไร้ความกลัวทัดเทียมกับเพศอื่นๆ บ้าง
“นครเฟมินิสต์ไม่ใช่โครงการที่ต้องเขียนพิมพ์เขียวเพื่อสร้างสรรค์ให้มันเป็นจริงขึ้นมา เราไม่จำเป็นต้องมีแม่เมืองผู้ยิ่งใหญ่มาทุบเมืองเก่าให้ราบคาบ แล้วตั้งต้นรังสรรค์นครใหม่จากศูนย์
“แต่ทว่าเมื่อใดที่เราตระหนักรู้ถึงกลไกอันแยบยลของมหานครที่ถูกออกแบบมาเพื่อค้ำจุนระเบียบทางสังคมเฉพาะกลุ่มว่าด้วยเพศภาวะ เชื้อชาติ รสนิยมทางเพศ และความเหลื่อมล้ำอื่นๆ เราก็จะเริ่มมองเห็นทางเลือกใหม่ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ ในเมืองที่เราอยู่นี้” เลสลีระบุในบทส่งท้าย
Fact Box
- FEMINIST CITY นครเฟมินิสต์ ชีวิตในพื้นที่ไร้ปิตาธิปไตย เขียนโดยเลสลี เคิร์น แปลเป็นภาษาไทยโดย วศินี พบูประภาพ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นิสิตสามย่าน ความหนา 283 หน้า ราคา 350 บาท