กองโจรของเชอร์ชิล: ภารกิจรวมพลคนฝนตกขี้หมูไหล ทลายความทะเยอทะยานฮิตเลอร์

“เราจักสู้จนถึงที่สุด เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้บนฟากฟ้าด้วยความเชื่อมั่นและแข็งแกร่ง เราจักปกป้องเกาะของเราแม้ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้ทั้งในทุ่งนาและท้องถนน เราจักสู้ตามป่าเขา และเราจะไม่มีวันยอมแพ้…”

ข้างต้นคือหนึ่งในสุนทรพจน์สำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์โดย วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) รัฐบุรุษและอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ผู้นำพาประเทศอังกฤษพ้นจากวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด

หลายคนอาจรู้จักรัฐบุรุษรายนี้จากการใช้วาทศิลป์ปลุกความกล้าหาญคนในชาติ บ้างก็ชื่นชมไหวพริบปฏิภาณดังที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ ‘ปาฏิหาริย์ดันเคิร์ก’ (The Miracle of Dunkirk) บ้างรู้สึกแขยงจากพฤติกรรมเขี้ยวลากดินที่ปรากฏในสภาสามัญ

จะอย่างไรก็แล้วแต่มีอีกแง่มุมที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับเชอร์ชิล กับภารกิจลับสุดยอดที่รวบรวมเหล่าแกะดำ เพื่อสร้าง ‘กองโจร’ สุดแสบสัน มุ่งหน้าบ่อนทำลายความทะเยอทะยานของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) 

‘หกคน หนึ่งเป้าหมาย บ่อนทำลายกองกำลังของฮิตเลอร์’ คือคำโปรยสั้นๆ ที่ปรากฏในบทนำของหนังสือที่มีชื่อว่า กองโจรของเชอร์ชิล หรือ Churchill’s Ministry of Ungentleman Warfare เขียนโดย ไจลส์ มิลตัน (Giles Milton) ที่มีวิธีการเล่ากึ่งสารคดีกึ่งนิยาย สมจริงตามหน้าประวัติศาสตร์ แต่ขณะเดียวกันก็ให้อารมณ์ตื่นเต้น เร้าใจ จิกกัดเจ็บแสบ มิต่างจากหนังสายลับฮอลลีวูด

หนังสือดังกล่าวเล่าถึงสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 เมื่อกองกำลังนาซีอุกอาจบุกยึกดินแดนโปแลนด์ สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วยุโรป เป็นเวลาไล่เลี่ยเดียวกันกับที่อังกฤษกระโจนลงสู่สงครามครั้งนั้น หลังคำขาดที่ยื่นให้นาซียุติการรุกรานมลายไปกับสายลม

เมื่อนั้นปฏิบัติการฝนตกขี้หมูไหล รวมพลกองโจรแกะดำมากความเก๋าของเชอร์ชิลจึงอุบัติขึ้นอย่างลับๆ ในสำนักงานเก่าแก่ที่ตั้งอยู่มุมถนนแค็กซ์ตัน (Caxton Road) กรุงลอนดอน ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหกคือ

เซซิล คลาร์ก (Cecil Clarke) วิศวกรจอมปราดเปรื่อง ผู้สร้างระเบิดสังหาร ‘จอมเชือดแห่งปราก’ ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) 

มิลลิส เจฟเฟริส (Millis Jefferis) ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดอันดับหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษ

วิลเลียม แฟร์แบร์ (William Ferbear) นายทหารผู้กรำศึกโชกโชน เจ้าของฉายา ‘เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้’ ผู้มาพร้อมกับกลยุทธ์ตลบหลังแนวข้าศึกจากฟากฟ้า

เอริก ‘บิล’ ไซค์ส (Erik Bill Sikes) นักลอบสังหารที่กองทัพไม่เคยเห็นคุณค่าความสามารถ

โคลินส์ กับบินส์ (Colins Gablin) ผู้นำและมันสมองของกองโจรแกะดำ

และสุดท้าย วินสตัน เชอร์ชิล ที่เบื้องหน้าคือนายกรัฐมนตรีกุมบังเหียนประเทศ แต่เบื้องหลังคือนายใหญ่ของกลุ่มกองโจร ที่พร้อมใช้แผนสกปรกชกใต้เข็มขัดเหล่านาซีได้กระอักเลือด

ไม่มีตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ใช่สงครามของสุภาพบุรุษ แต่เป็นสงครามที่เดิมพันกับชีวิตของตนเองและเพื่อนร่วมชาติ 

เมื่อไร้ทรัพยากรมากพอสร้างเรือรบแข่งกับนาซี ก็ทำลายพวกมันด้วยชามอ่างโลหะ ลูกอม และถุงยางอนามัย ที่ราคารวมกันไม่ถึง 6 ปอนด์

บุกโจรกรรมเรือดำน้ำนาซีกับอิตาลีอย่างละลำหายไปกับความมืดอย่างไร้ร่องรอย

ระเบิดสะพานที่เป็นเส้นทางขนส่งทรัพยากรบำรุงไปยังแอฟริกาเหนือ จน เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) จอมพลและคนโปรดของฮิตเลอร์ต้องควันออกหู

ปั่นป่วนกองกำลังยานเกราะของฮิตเลอร์จนเสียเวลาล่าช้ามาสมทบไม่ทันที่สมรภูมินอร์มังดี

มีวีรกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่เล่าในหนังสือเล่มนี้ โดยฝีมือของกองโจรเพียงหยิบมือที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 จากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยที่เนื้อเรื่องเล่าตั้งแต่การรวมตัวกันอย่างทุลักทุเลราวกับจับปูใส่กระด้ง ก่อนจะเริ่มภารกิจแรกและภารกิจต่อๆ ไป พร้อมกับกลยุทธ์ลูกบ้าดีเดือดดังที่กล่าวไปในข้างต้น 

และที่น่าสนใจคือบุคคลในเนื้อเรื่องนั้นมีตัวตนอยู่จริง และเป็นดังจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่กระจัดกระจายไปจากหน้าฉากประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงไม่ใช่แค่อ่านเอาอรรถรสความมัน แต่ยังเป็นการอ่านเพื่อคลายข้อสงสัยต่อเหตุการณ์หลักในอภิมหาสงครามครั้งนั้น เช่นทำไมจู่ๆ กองทัพนาซีอันเกรียงไกรกลับพลาดท่าเสียง่ายๆ ในสมรภูมินอร์มังดี ซึ่งมีทฤษฎีและข้อสงสัยมากมายเต็มไปหมด

ผมว่าใครที่เป็นคอหนังสงครามย่อมไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเร็วๆ นี้ หนังสือกองโจรของเชอร์ชิลกำลังจะถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์ที่มีชื่อว่า The Ministry of Ungentlemanly Warfare