ผลเอ็กซิต โพลล์การเลือกตั้งที่อิตาลี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (4 มี.ค. 2018) ออกมาแล้ว ปรากฏว่าพรรคการเมืองสาย Populist ได้คะแนนเสียงมากที่สุดคือราว 36%

แต่ในอิตาลี ผู้ชนะต้องได้คะแนนเสียงถึง 40% ถึงจัดตั้งรัฐบาลได้

พรรค Five Star Movement (M5S) พรรคการเมืองสาย Populist  ได้คะแนนเสียงมากที่สุดประมาณ 36%  นำโดย ลุยจิ ดิ มาโย  (Luigi Di Maio) หัวหน้าพรรควัย 31 ปี  พรรคนี้มีนโยบายมุ่งเน้นปรับฐานเงินเดือนขั้นต่ำ และแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณ เพิ่มภาษีบริษัทพลังงาน ก่อตั้งโดยเบปเป กริลโล (Beppe Grillo) นักแสดงตลกเมื่อ 9 ปีก่อน

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ลงคะแนนเสียงให้กับพรรค Five Star Movement ประมาณ 50%

ส่วนคะแนนเสียงของแนวร่วมพรรคกลางขวาน่าจะอยู่ที่ 36% ประกอบด้วย พรรค Forza Italia ของแบร์ลุสโคนี ซึ่งได้คะแนนเสียง 13-16% ร่วมกับพรรค The Northern League พรรคขวาชาตินิยมได้รับคะแนนเสียง 13-16%  และพรรค Brothers of Italy พรรคขวาจัด ทั้งหมดมีนโยบายร่วมกันคือ การต่อต้านผู้อพยพ

ส่วนพรรคกลางซ้าย Democratic Party ที่นำโดย แมททีโอ เรนซี (Matteo Renzi) อดีตนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดได้คะแนนเสียงประมาณ  19%  น้อยกว่าคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งก่อนถึงครึ่งหนึ่ง ตัวแทนพรรคประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้

หากผลคะแนนอย่างเป็นทางการเป็นไปตามผลเอ็กซิตโพลล์ แปลว่าต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม แม้พรรค Five Star Movement อาจร่วมกับพรรค Democratic Party จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่นายลุยจิ ดิ มาโย หัวหน้าพรรคประกาศก่อนการเลือกตั้งว่าจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสม

คาดว่าแนวร่วมพรรคกลางขวาที่มีอดีตนายกรัฐมนตรี ซิลวีโอ แบร์ลุสโคนี ที่ตอนนี้อายุ 81 ปีแล้วเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจะสามารถครองเสียงมากที่สุดในสภา เขาจะไม่สามารถบริหารประเทศได้เพราะยังต้องโทษอยู่

น่าจะมีการประกาศผลคะแนนอย่างเป็นทางการเวลาบ่ายสองโมง ตามเวลาท้องถิ่น

 

ที่มาภาพ: REUTERS/Alessandro Bianchi

ที่มา:

Tags: ,