ฉายา Purple City หรือ เมืองสีม่วง ส่งให้เมืองเล็กๆ ใจกลางเวียดนามสะดุดใจนักท่องเที่ยว รวมถึงเราเองที่ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองแสนโรแมนติกของเวียดนาม ข้อพิสูจน์นี้จะประจักษ์ต่อสายตาได้ก็ต่อเมื่อเราได้มีโอกาสมาคอยแสงแรกในยามเช้า คนเว้บอกว่า ช่วงก่อนแสงอาทิตย์จะส่องแสงทอประกาย สีม่วงคือสีแรกที่เปล่งออกมาห่มคลุมทุกอณูของเมือง เช่นนี้แล้วคุณจะปฎิเสธการเยือนเมืองมรดกโลกแห่งนี้ไปได้อย่างไร

หากมองภูมิทัศน์ทางอากาศ ทัศนียภาพของเมืองเว้จะเต็มไปด้วยภูเขาเล็กๆ เรียงซ้อนกันสุดลูกหูลูกตา โดยมีแม่น้ำเหิงไหลคั่นกลาง องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เว้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 ด้วยความที่เป็นราชธานีมาก่อนจึงมีทั้งโบราณสถานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า

แม่น้ำเหิงกลางเมืองเว้ โดยคำว่าเหิง ในภาษาเวียดนามแปลว่า หอม เนื่องจากริมแม่น้ำมีดอกไม้ปลูกไว้มากมาย

หนุ่มๆ ในทริปถึงกับฮือฮา เมื่อไกด์ท้องถิ่นยืนยันว่า คนเมืองเว้หน้าตาดีที่สุดในเวียดนาม อีกทั้งวาจายังไพเราะอ่อนหวาน เหตุเพราะเว้เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศอยู่ประมาณ 400 ปี ดังนั้นสาวสวยจากทั่วประเทศจึงถูกคัดสรรมาเป็นนางสนมของกษัตริย์ ซึ่งแต่ละองค์สามารถมีสนมมากถึงร้อยกว่าคน  

โดยพระสนมในตอนนั้นต่างก็ต้องฝึกทั้งกริยามารยาท รวมถึงพัฒนาความรู้ เรียกได้ว่า ผ่านขั้นตอนเพื่อรับใช้กษัตริย์มาอย่างดี ด้วยมรดกการคัดยีนเด่นเช่นนี้ทำให้ตกทอดมาจนถึงลูกหลานชาวเมืองเว้ด้วยเช่นกัน รู้ไหมว่า หนุ่มเมืองเว้เวลาชวนสาวออกเดทแต่ละที เขาจะต้องแต่งกลอนพูดจาเกี้ยวพาราสี นี่ยังรวมถึงลักษณะการรับประทานอาหาร ที่ชาวเว้มักจัดอาหารมาในจานเล็กจานน้อย เพราะห่วงใยเรื่องหุ่นอันสะโอดสะองเป็นสำคัญ

ว่ากันว่าคนเว้หน้าตาดี พูดจาไพเราะอ่อนหวาน

ในฐานะที่ไปเยือนเวียดนามมาสักสามสี่เมือง เราเห็นด้วยกับไกด์ในเรื่องที่ว่า คนเว้มีความสุภาพมากกว่าที่ใดๆ ไกด์เสริมว่า ไม่เพียงแค่เช่นนั้น ชาวเว้เองยังเป็นพวกคิดก่อนพูด ด้วยความที่ตัวเองถือว่า มีเชื้อสายเจ้าก็ต้องฉลาดพูด พลอยให้มีทักษะในการโน้มน้าวใจเก่งอีกด้วย (นี่เราก็ดูจะเห็นคล้อยตามไกด์ไปทุกอย่างแล้ว) เรื่องนี้พิสูจน์ได้จากทรัพย์ที่ร่อยหรอของผู้ร่วมทริปหลังแวะที่ตลาดดองบา (Dong Ba market) ตลาดสดที่ขายทุกสิ่งอย่างทั้งของชำ ของใช้ และอาหาร เป็นอันเชื่อได้ว่า พ่อค้าแม่ค้าชาวเว้มีชั้นเชิงจริงดังว่า

60% ของสถาปัตยกรรมในเวียดนามได้รับอิทธิพลจากจีน เนื่องจากเคยถูกปกครองโดยจีนนับพันปี ดังนั้นไม่ว่าคุณจะไปเยือนพระราชวังใดๆ ก็จะได้กลิ่นอายความเป็นจีนเข้าไปด้วย ก่อนหน้านี้ตัวอักษรจีนใช้สำหรับบันทึกเอกสารราชการในเวียดนาม แต่อ่านออกเสียงต่างไปเล็กน้อย จึงไม่แปลกหากจะพบข้อความสลักเป็นภาษาจีนตามมุมต่างๆ ของพระราชวัง จนมาภายหลังที่ถูกฝรั่งเศสยึดครองจึงเปลี่ยนเป็นตัวอักษรโรมันและมีอั๊กซอง (Accent) แบบฝรั่งเศส  

ประตูมังกรแห่ง The Imperial City

ภัยของสงครามรวมชาติเวียดนามทำให้สถาปัตยกรรมสำคัญของเมืองโดนทำลายไปบ้าง แต่ก็ยังคงหลงเหลือเป็นสมบัติของโลกให้ร่วมชื่นชม สถานที่สำคัญได้แก่ The Imperial City ที่ประทับของกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์เหงียน (Nguyễn Dynasty) ราชวงศ์สุดท้ายที่ครอบครองเวียดนามยาวนานถึง 143 ปี เริ่มตั้งแต่จักรพรรดิซา ล็อง ( Gia Long) ในปี ค.ศ. 1802และสิ้นสุดลงในจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (King Bảo Đại) ทรงสละราชสมบัติ และมอบอำนาจให้กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเมื่อปี 1945  ซึ่งจักรพรรดิที่ปกครองมีทั้งสิ้น 13 พระองค์ ทางเข้าพระราชวังเมืองเว้ตั้งปืนใหญ่อยู่สองฟาก ข้างหนึ่งมีปืนใหญ่ 4 กระบอก อีกฟากมี 5 กระบอก ตามความเชื่อที่ว่า ปืนใหญ่ 4 กระบอก แทนฤดูกาลทั้ง 4 ในหนึ่งปี ปืนใหญ่ 5 กระบอกแทนธาตุทั้ง 5 ในจักรวาล (ดิน น้ำ ลม ไฟ โลหะ – ความเชื่อแบบจีน) รวมกันเป็นปืนใหญ่ทั้งหมดรวม 9 กระบอก เลขมงคลสำหรับกษัตริย์ เนื่องจากเลข 9 เป็นเลขพิเศษที่บวกหรือคูณแล้วผลสุดท้ายก็จะยังเป็นเลข 9 เช่น 9 x 1 = 9, 9 x 2 = 18 และ 1+8 ก็ยังได้ 9

ปืนใหญ่หน้าทางเข้า The Imperial City

         สนามเทนนินภายในพระราชวังสีม่วง

หลังท้องพระโรง เรียกกันว่า พระราชวังสีม่วง (Purple Palace) เป็นบริเวณที่ประทับของกษัตริย์และพระมเหสีเชื้อพระวงศ์และครอบครัว ส่วนเหล่านางสนมอยู่รวมกันในอีกส่วนหนึ่งของพระราชฐาน ตัวพระราชวังมีทุ่งนาเล็กๆ กระทั่งถึงสนามเทนนิส ที่เป็นเช่นนี้เพราะจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยทรงเติบโตที่ฝรั่งเศส ทำให้มีนิสัยชอบเที่ยวเตร่ ชอบการพนัน และทรงโปรดเทนนิสเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วตามเมืองตากอากาศ เช่น ดาลัด จึงมีวิลล่าพักผ่อนของพระองค์เอาไว้

      สถาปัตยกรรมภายใน The Imperial City

 จากพระราชวังเว้อันยิ่งใหญ่ นั่งรถออกไปไม่ไกลเราเดินทางสู่ King Tự Đức’s Mausoleum หรือ สุสานพระจักรพรรดิตึดึ๊ก กษัตริย์องค์ที่ 4 ในราชวงศ์เหงียน เมื่อเข้าไปแล้วรู้สึกว่าเป็นสวนสวยมากกว่าที่เก็บพระศพ งดงามในเรื่องการจัดวางยิ่งนัก ชอบความร่มเย็นของต้นไม้ที่ปกคลุม รวมถึงทะเลสาบเล็กๆ ซึ่งมีลำธารไหลเย็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงเป็นนักกวีชอบแต่งกลอนและมีความเป็นศิลปินสูง และที่นี่พระองค์ก็ใช้เป็นที่ประทับพักผ่อน ทรงใช้เวลาว่างในตำหนักแห่งนี้นิพนธ์บทกวีและพักผ่อนหย่อนใจด้วยการตกปลา ที่ชอบเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นบ่อน้ำรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ซึ่งไว้รองรับเฉพาะน้ำฝนน้ำบริสุทธิ์ทางธรรมชาติเท่านั้น

ทางเข้าสุสานพระจักรพรรดิตึดึ๊ก กษัตริย์องค์ที่ 4 ในราชวงศ์เหงียน

สุสานพระจักรพรรดิตึดึ๊ก กษัตริย์องค์ที่ 4 ในราชวงศ์เหงียน
         

ความโรแมนติกของพระจักรพรรดิตึดึ๊กเป็นที่เลื่องลือ ทั้งพระพักตร์ของพระองค์ก็งดงาม แต่จากภาพถ่ายประวัติศาสตร์ที่เราเห็น กลับสัมผัสได้ถึงความเศร้าในแววตา จนเมื่อไกด์เล่าให้ฟังว่า พระองค์ไม่ใคร่เป็นที่รักของประชาชนมากนัก เนื่องจากรัชสมัยของพระองค์มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญมากมาย อาทิ การขึ้นครองราชย์แบบไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล พระองค์ต้องสั่งขังพระเชษฐาซึ่งควรเป็นผู้สืบราชสันติวงศ์เนื่องจากพระบิดาทรงเล็งเห็นว่า พระเชษฐามีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมจึงทรงยกบัลลังก์ให้พระจักรพรรดิตึดึ๊กแทน ผู้สนับสนุนพระเชษฐาย่อมเกิดความไม่พอใจ จนแบ่งแยกตัวออกไป ดังนั้นสุสานของพระจักรพรรดิตึดึ๊กจึงแตกต่างจากสุสานทั่วไป โดยตามสุสานของจักรพรรดิ์ท่านอื่นๆ มักมีป้ายพรรณนาถึงความดีงามของกษัตริย์นั้นๆ แต่ที่นี่ป้ายดังกล่าวล้วนเป็นการรวบรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพระองค์ รวมถึงทรงกล่าวขอโทษสำหรับหลายๆ เรื่องที่ประชาชนมองว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ดังเช่น การสั่งขังพระเชษฐา ฟังเรื่องของพระองค์แล้วพลอยตระหนักถึงคำพูดที่ว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว    

เต่าคือสัตว์มงคลของคนเวียดนาม

            อีกหนึ่งจุดชมวิวของเมืองเว้คือเจดีย์เทียนมู่ (Thiên Mu Pagoda) หรือ Heaven Lady Pagoda สร้างขึ้นใน ค.ศ.1601 จากตำนานเล่ากันว่า ในสมัยขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ได้ฝันถึงหญิงแก่ท่านหนึ่งชี้จุดให้สร้างเจดีย์ในบริเวณนี้ โดยตั้งอยู่บนเนินที่จะสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเหิงได้อย่างงดงาม เจดีย์เทียนมู่ทรงแปดเหลี่ยมมีทั้งหมด 7 ชั้น สูง 21 เมตร เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ภายในมีรูปปั้นขององค์พระสังข์กระจายที่มีความหมายถึง เทพแห่งความสุข หรือ เทพแห่งเสียงหัวเราะ คำว่า เทียนมู่ แปลว่า เทพธิดา นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่ที่มาเยือนจึงตั้งชื่อภาษาไทยให้ว่า ‘วัดเทพธิดาราม’

แม้เว้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่เมื่อมาเยือนแล้ว เสมือนได้กลับเข้าไปเล็คเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ผสมกับวิชาดราม่า มรดกทางวัฒนธรรมที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนามน่าติดตามและชวนเศร้าเคล้าน้ำตา เป็นอีกหนึ่งเมืองเสน่ห์ที่หลังจากกลับมาไทยแล้ว ต้องจัดตำราประวัติศาสตร์เวียดนามขึ้นมาศึกษาอีกยกใหญ่

Fact Box

  • การเดินทางโดยรถยนต์ในอาเซียน ต้องขอหนังสืออนุญาตรถระหว่างประเทศ หรือพาสปอร์ตรถ และแผ่นป้ายทะเบียนรถ ที่เป็นภาษาอังกฤษ สามารถยื่นคำขอ พร้อมหลักฐาน ประกอบด้วยสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนรถบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ หรือสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมิได้มาดำเนินการด้วยตนเอง) พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียง 55 บาท เท่านั้น โดยจะได้รับพาสปอร์ตรถภายใน 2 วันทำการ 
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักมาตรฐานงานทะเบียนและภาษีรถ กรมการขนส่งทางบก หรือ สำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ
  • เส้นทางเริ่มต้นที่มุกดาหารเข้าสู่สะหวันนะเขตใช้เวลาประมาณ 25 นาที (16.9 กิโลเมตร) จากนั้นวิ่งไปยังเมืองเว้ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง (388 กิโลเมตร)    
  • ไม่มีสายการบินที่บินตรงจากไทยไปเว้ บินสู่โฮจิมินห์ใช้เวลา 1.45 ชั่วโมง จากนั้นบินต่อโฮจิมินห์ไปเว้ ใช้เวลาอีก 1.25 ชั่วโมง โดยสายการบินอื่นที่มีเที่ยวบินไปเว้ ได้แก่ Vietjet และ Vietnam Airlines
Tags: ,