เรื่องราวดีๆ มักจะมาจากชีวิตจริงเสมอ ข้อนี้คนทำซีรีส์ Game of Thrones ก็รู้ดี ก่อนจะหยิบเอาหนังสือประวัติศาสตร์หลายๆ เล่มมาถลกและยำเสียใหม่ แล้วแต่งแต้มด้วยแฟนตาซีพอหอมปากหอมคอ

ตัวอย่างเช่น…

โดธากี

หนึ่งในกลุ่มคนชั่วร้ายใน Game of Thrones คือชนเผ่าโดธากี ซึ่งมีผู้นำชื่อ ‘คาล โดรโก’ พวกเขาเคลื่อนพลไปตามที่ต่างๆ เพื่อปล้นสะดม ข่มขืน และฆ่า แบบอย่างของชนเผ่านี้มีให้พบเจอในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ชนเผ่ามองโกล ที่ชอบบุกยึดเมือง ฆ่า ปล้น ข่มขืน เผา และทำทุกอย่างเท่าที่พวกเขาคิดอยากทำ ผู้นำเผ่าที่มีชื่อเสียงคือ เจงกีสข่าน จักรพรรดินักรบซึ่งชอบแสวงหาความรุนแรง เช่น เมื่อครั้งที่เขาและกองกำลังบุกโจมตีและยึดครองอัฟกานิสถานในปี 1221 ได้สำเร็จ และในเมืองเมอฟ (เติร์กเมนิสถาน) อันเป็นที่กล่าวขานถึงในตำนานนี้เอง เจงกีสข่านมอบหมายให้ โตลุย-โอรสองค์ที่ 4 สังหารหมู่ประชาชนทั้งชายหญิงและเด็กอย่างไร้ความปรานี

 

งานแต่งสีแดง มื้อค่ำสีดำ

ส่วนหนึ่งของพิธีวิวาห์คือของขวัญ ‘ลอร์ด เฟรย์’ ใน Game of Thrones ก็นึกหาของขวัญเหมือนกันเพื่อมอบให้ ‘กษัตริย์ร็อบบ์’ และ ‘ทาลิซา’ นั่นคือ ความตายให้กับเธอ เขาคิด แล้วก็ทำ ทาลิซาถูกแทงด้วยมีดบริเวณหน้าท้องหลายแผลจนเสียชีวิต เลือดของเธอไหลนองจนกลายเป็นฉากหนึ่งในตำนานของตอน ‘วิวาห์สีเลือด’ ต้นแบบมาจากชะตาชีวิตของวิลเลียม ดักลัส เมื่อวัย 16 ขณะมีสถานะเป็น ‘เอิร์ลแห่งดักลาสที่ 6’ และเดวิด-น้องชายของเขา เนื่องจากตระกูลดักลาสเริ่มมีอำนาจมากเกินไป ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองต้องถูกหลอกไปที่ปราสาทเอดินบะระ เมื่อปี 1440 ในตำนานเล่าถึง ‘มื้อค่ำสีดำ’ มีการเสิร์ฟหัววัวสีดำให้กับอาคันตุกะทั้งสอง ซึ่งเป็นสัญญาณการปลิดชีพ แต่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ จึงตกเป็นเหยื่อสังหาร

 

กษัตริย์จอฟฟรีย์ VS เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด

‘กษัตริย์จอฟฟรีย์’ ผู้ปกครองเวสเตรอสใน Game of Thrones เป็นคนแข็งกร้าว เข้ากันไม่ได้กับพ่อของคู่หมั้น ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ทหารนำชายชราไปตัดศีรษะ โดยกระทำการต่อหน้าต่อตาฝ่ายหญิง ในประวัติศาสตร์โลกเคยปรากฏ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (แห่งเวสต์มินสเตอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์) ประสูติในปี 1453 เป็นโอรสองค์เดียวของกษัตริย์เฮนรี ที่ 6 และพระนางมาร์กาเรต แห่งอองฌู จากความกริ่งเกรงว่าโอรสจะเล่นดาบหรือของมีคมยามรู้สึกเบื่อ เมื่อเติบใหญ่กลายเป็นต้องกังวลว่าเขาจะไปตัดศีรษะใครเล่น โอรสหนุ่มชอบเสนอตัวไปรบพุ่งในสงคราม และทุกครั้งเขาไม่เคยได้ดั่งใจ สุดท้ายต้องไปจบชีวิตในสนามรบทูกสเบอรี ในปี 1471 ขณะพระชนม์ยังไม่ถึง 18 พรรษา

 

แอริส ทาร์แกเรียน

กษัตริย์แอริส ทาร์แกเรียน ตัวละครน่าทึ่งใน Game of Thrones ที่ชอบเฝ้าดูมนุษย์ถูกเผาเป็นชีวิตจิตใจ เขามีความสุขกับการเห็นผิวหนังมนุษย์ถูกไฟเผาเกรียมไหม้ และเนื้อสุกหลุดจากกระดูก เขาดูคล้ายเป็นผู้ปกครองดินแดนที่ดี แต่ท้ายสุดก็บ้า เปรียบเทียบได้กับคนต้นแบบในประวัติศาสตร์คือ พระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วัย 11 เป็นที่รักใคร่ของประชาชน แต่เมื่อย่างเข้า 20 พรรษาก็เริ่มมีอาการทางประสาท ชาร์ลส์มีชีวิตในช่วงปี 1368-1422 จากความเพี้ยนทำให้เขาสังหารองครักษ์ของตนเองไป 4 นาย และเชื่อว่าตนเองทำจากแก้ว จนถึงขั้นบ้า และไม่สามารถปกครองแผ่นดินได้ในที่สุด

 

การเกิดใหม่ของสงครามดอกกุหลาบ

ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลสามารถสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ไม่เกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะถ้าหากเป็นสองตระกูลที่ถือครองอำนาจการปกครองแผ่นดิน เช่น แลนนิสเตอร์และสตาร์กใน Game of Thrones ที่ห้ำหั่น และกระหายอยากจะตัดศีรษะของคู่อริมาเสียบประจาน ไอเดียสำหรับเรื่องชวนติดตามน่าจะมาจาก ‘สงครามดอกกุหลาบ’ ในช่วงเวลา 30 ปี ระหว่างปี 1455-1485 ของ 2 ตระกูลผู้สูงศักดิ์ คือ ราชวงศ์ยอร์ก และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ซึ่งมีตราสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์เป็นกุหลาบขาว และกุหลาบแดง ต่างช่วงชิงอำนาจกันเพื่อครอบครองมงกุฎกษัตริย์ สงครามของ 2 ราชวงศ์สิ้นสุดลงในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 7 จากนั้นได้รวมกุหลาบขาวและแดงเป็นดอกเดียวกันที่เรียกว่า ‘กุหลาบทิวดอร์’

 

กำแพงต่อต้านการบุกรุก

ทุกวันนี้ การสร้างกำแพงกั้นแบ่งพรมแดนกลายเป็นประเด็นอีกครั้งหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ใน Game of Thrones ก็เช่นกัน เมื่อเวสเตรอสสร้างกำแพงขึ้นทั้ง 7 อาณาจักร เพื่อป้องกันการบุกรุกของคนป่าซึ่งมีถิ่นฐานอยู่อีกฟากหนึ่ง งานสร้างเป็นเสมือนนิยายโบราณ เป็นกำแพงสูง 213 เมตร และยาว 482 กิโลเมตร ทำจากน้ำแข็ง และแล้วเสร็จภายในเวลา 1 คืนด้วยเวทมนตร์คาถา นั่นคือเรื่องเล่าขานกันมาเมื่อ 8,000 ปีก่อน ความเป็นจริงในประวัติศาสตร์ หากเทียบเคียงแล้วดูคล้ายกำแพงฮาดริอานุส ซึ่งเป็นกำแพงหินบางส่วนและกำแพงหญ้าบางส่วน สร้างขึ้นโดยจักรวรรดิโรมัน ในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 2 และ 5 แต่มีความยาวเพียง 117.5 กิโลเมตร และสูงเพียง 5 เมตร ขึงกั้นตลอดแนวตอนเหนือของเกาะอังกฤษ ใต้แนวพรมแดนอังกฤษและสกอตแลนด์ เป็น 1 ใน 3 แนวป้องกันการรุกรานอาณานิคมบริเทนของโรมัน

ซึ่งแน่นอน-แฟนตาซีของ Game of Thrones ย่อมต้องล้ำกว่าจักรวรรดิโรมันอยู่แล้ว

Tags: , , , ,