การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากซามิน-อุด (Zamiin-Uud) เมืองชายแดนมองโกเลียซึ่งอยู่ติดกับเมืองเอ้อเหลียน (Erlian) ของจีน เราเลือกบินตรงจากประเทศไทยมาลงที่มหานครปักกิ่ง แล้วต่อรถนอนมาที่เมืองเอ้อเหลียนในตอนเช้าตรู่ จากนั้นเราต้องหาแท็กซี่รับส่งข้ามแดน เพราะการข้ามแดนไปมองโกเลีย เจ้าหน้าที่ด่านจะตรวจเข้มงวด และไม่สามารถเดินเท้าผ่านแดนได้ด้วยตนเอง ต้องนั่งอยู่ในรถยนต์เท่านั้น สำหรับเรามันน่าตื่นเต้น เพราะรอบๆ ประเทศไทย เราสามารถทำใบผ่านและเดินสวยๆ เข้าประเทศเพื่อนบ้านได้เลย

มองโกเลียเป็นประเทศที่คนไทยยังไม่ค่อยปักหมุดมาท่องเที่ยวกันมากนัก ทั้งๆ ที่เราไม่ต้องขอวีซ่า (free visa) อาจเป็นเพราะหลากหลายสาเหตุ เช่น ประเทศนี้มีภูมิอากาศสุดขั้วทั้งร้อนและหนาว คนไทยอาจคุ้นตากับหนังจีนกำลังภายในที่เล่าถึงมองโกเลียด้วยภาพความทุรกันดาร มีทะเลทรายโกบีเป็นฉากหลัง ที่สำคัญ อาจเพราะการมาเที่ยวประเทศนี้ไม่ได้มากันง่ายๆ ยังไม่มีไฟลท์บินตรงจากไทย แถมราคาตั๋วเครื่องบินก็แอบแรงอยู่

​การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของทรานส์-มองโกเลีย (Trans-Mongolian) เส้นทางรถไฟในฝันของใครหลายคน ซึ่งคุณเริ่มต้นไล่ล่าความฝันได้ตั้งแต่มหานครปักกิ่ง ประเทศจีน จนไปสุดทางฝันที่เมืองอูลาน-อูเด (Ulan-Ude) ประเทศรัสเซีย

ม้าเหล็กสีเขียวจากซามิน-อุดไปอูลานบาตอร์ (Ulaanbaatar) เป็นรถไฟท้องถิ่น มีเพียงวันละเที่ยว รถออกตอนเย็น เวลา 18:05 น. ถึงปลายทางอูลานบาตอร์ประมาณ 09:00 น. รถไฟขบวนนี้เป็นรถนอน แต่ละตู้แบ่งซอยเป็นห้อง ห้องละ 4 คน ค่าโดยสารคนละประมาณ 35,000 MNT (1 บาท = 69.5 MNT) ตั๋วรถไฟที่นี่ไม่สามารถจองล่วงหน้าได้ ต้องซื้อที่สถานีในวันเดินทางเท่านั้น วันที่พวกเราทั้ง 4 คนเดินทางไปถึงก็แอบลุ้นอยู่ว่าจะมีตั๋วมั้ย สมมติว่าวืด Lonely Planet แนะนำว่าทางเลือกเดียวคือนอนคอยขบวนของวันรุ่งขึ้น ซึ่งแปลว่าช่วงการเดินทางที่เหลือทั้งทริปน่าจะรวนเละ ไม่ก็ต้องเปลี่ยนแผนไปนั่งรถโดยสารแทน

เรา 4 คนแบ่งหน้าที่กันชัดเจน 2 คนเฝ้ากระเป๋า 8 ใบ อีกคนไปติดต่อซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ และอีกคนไปแลกเงิน เพราะการซื้อตั๋วที่นี่รับเงินสดเท่านั้น และเนื่องจากเป็นเมืองเล็กๆ จึงไม่รับแลกเงินบาทไทย ยังโชคดีที่เรามีทั้งเงินหยวนและ USD ในกระเป๋า

พนักงานขอพาสปอร์ตพวกเราทั้งสี่คนไปพิมพ์ตั๋ว ระหว่างรอคนที่ไปแลกเงินกลับมา ตอนนั้นเราคิดเอาเองว่าพนักงานน่าจะขายตั๋วให้พวกเราแบบเหมาห้อง แต่ก็ต้องผิดหวัง ตั๋วที่พิมพ์ออกมาบอกว่าเราอยู่ตู้เดียวกัน แต่คนละห้อง ณ จุดนี้ การสื่อสารกับพนักงานค่อนข้างยาก เพราะคุณป้าไม่พูดทั้งจีนและอังกฤษ

เมื่อได้ตั๋วเรียบร้อย พวกเรามีเวลาสำรวจเมืองอยู่หลายชั่วโมง ช่วงต้นเดือนเมษายนสำหรับที่นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าโปร่ง สีฟ้าสดใส แดดจ้า แต่อากาศหนาวแบบเลขตัวเดียวในตอนกลางวัน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่อยู่กันแบบเรียบง่าย เมืองชายแดนแห่งนี้ดูเหมือนจะมีศูนย์กลางความเจริญอยู่แถวๆ สถานีรถไฟนี้เอง

ระหว่างเดินสำรวจเมือง เราพบกับแกงค์เพื่อนตัวจิ๋วที่อยากอาสาเป็นไกด์ ไกด์ตัวน้อยเหล่านี้พอตอบโต้ภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย คอยขี่จักรยานตาม ชี้ให้ดูโน่นนี่ เดินไปเรื่อยๆ จนพวกเราได้กลิ่นหอมฟุ้งจากขนมปังอบใหม่ จึงเดินตามกลิ่นไปจนเจอที่มาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถนนสายหลักมากนัก เราแวะเข้าไปทักทายและขอชม เจ้าของบ้านใจดี เปิดบ้านพาเราเข้าไปเดินดู และแน่นอน เราขอซื้อขนมปังไว้เป็นเสบียง และไม่ลืมที่จะแบ่งปันให้ไกด์ตัวน้อยด้วย

เราเดินกลับมาถึงสถานีรถไฟประมาณ 5 โมงเย็น บอกลาไกด์ตัวน้อยก่อนแวะซื้อน้ำและอาหารเย็นไปกินบนรถ และเตรียมตัวออกเดินทาง

รถไฟออกตรงเวลา ฟ้ามองโกเลียต้นเดือนเมษา กว่าจะมืดก็เกือบ 2 ทุ่ม เปิดโอกาสให้เรามีช่วงเวลาที่จะอยู่เงียบๆ จับจองเก้าอี้เล็กๆ ริมหน้าต่างทางเดิน มองดูช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป

พอเริ่มมืด อากาศก็เริ่มเย็น บนรถไฟที่นี่มีฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น ทำให้เราหลับสบายได้ทั้งคืน

ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นกับทริปหรือฟ้าสว่างเร็วกันแน่ พวกเราตื่นตั้งแต่ตี 5 ยังไม่ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และจริงๆ ก็ไม่รู้ด้วยว่าพระอาทิตย์อยู่ทางไหนแน่

เราจิบกาแฟและกินขนมปังที่ซื้อมาเป็นอาหารเช้า สองข้างทางเป็นเนินหญ้าสีน้ำตาลที่หิมะละลายสลับกับทุ่งโล่งกว้าง ​ช่วงสาย แดดเริ่มแรงขึ้น เส้นทางข้างหน้าคดเคี้ยวผ่านภูเขาสูงต่ำ เราเก็บภาพไปเรื่อยๆ จนได้ภาพขบวนรถไฟยาวเหยียดตามที่จินตนาการ

เรายังคงนั่งมองทิวทัศน์โล่งๆ สองข้างทางที่เหมือนกับภาพวาดในหนังจีนโบราณต่อไป จนกระทั่งเมืองหลวงของมองโกเลียใกล้เข้ามา เราจึงเริ่มมองเห็นชุมชนรถยนต์ เห็นความเคลื่อนไหวของคนเดินทาง

รถไฟมาถึงตรงเวลา แม้ว่าอุณหภูมิตอนนั้นเพียง 1 องศาเซลเซียส แต่เราก็ได้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของการจากลาและความยินดี ทริปนี้คงไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่ได้ใช้เวลากับตัวเองและปล่อยใจไปกับสิ่งรอบตัว

ยังมีเรื่องราวที่เราจะได้พบเจออีกมากมายในเมืองทะเลทราย ทุ่งหญ้า และฝูงม้าแห่งนี้

ถึงสักที อูลานบาตอร์

9 โมงตรง รถไฟเข้าเทียบชานชาลาสถานีอูลานบาตอร์ แสงอาทิตย์เจิดจ้าและอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส พร้อมใจกันต้อนรับเรา ผู้คนมากมายบนขบวนรถไฟยาวเหยียดทยอยขนของลงจากรถ เนื่องจากเราได้ที่นั่งในตู้แรก จึงต้องเดินเข็นกระเป๋ากันไกลโขกว่าจะถึงตัวสถานี

เช้านี้พวกเรามีนัดกับหนุ่มน้อยที่เราคาดหวังว่าจะเป็นหนุ่มหน้าตามองโกลตามแบบฉบับ

เอ็นดา (Enda) เป็นไกด์ที่เราติดต่อทางอีเมล โดยการแนะนำจากเอเจนซี่รายหนึ่ง ในบทสนทนาผ่านตัวหนังสือ เราสัมผัสได้ว่าเขาน่าจะให้บริการแบบเป็นกันเอง ระหว่างเดินเข็นกระเป๋าเข้าสถานีก็มีหนุ่มน้อยลุคเกาหลี ใส่แว่น หน้าตาสดใสร่าเริงเป็นกันเอง เดินเข้ามาทักทายเหมือนกับว่ารู้จักกันมาก่อน เขาบอกว่าเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าต้องใช่พวกเราแน่ๆ เพราะดูเป็นคนเอเชียที่ไม่ใช่คนมองโกล แถมมาพร้อมกระเป๋าใบเขื่อง เอ็นดาบอกว่าแบ็กแพ็กเกอร์ฝรั่งที่เขาเคยมารับจะมากันแบบเป้ใบเดียว แต่พวกเราดูแตกต่าง เลยคิดว่าต้องใช่แน่ๆ

ไกด์หนุ่มพาเรามาเก็บกระเป๋าที่โรงแรมซึ่งจองไว้ และพักสักเล็กน้อยก่อนออกไปสัมผัสกับอูลานบาตอร์

เราจองทัวร์ Gorkhi-Terelj National Park เอาไว้ ในตาราง เราจะไปแวะ Genghis Khan Equestrian Statue อนุสาวรีย์ท่านเจงกิสข่านที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาสีทองตัดกับท้องฟ้าสีสดใส หลังจากนั้นจะไปกินข้าวเที่ยงกันที่เกอร์ (Ger) ซึ่งอยู่ใน Gorkhi-Terelj National Park แวะชมวัด Gunjin Sum ซึ่งมีความหมายว่า ‘ลูกสาวของจักรพรรดิ’ ก่อนกลับจะแวะถ่ายรูปที่ภูเขาหินรูปเต่า (Turtle Rock) ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่

อูลานบาตอร์เป็นเมืองที่การจราจรคับคั่งไม่แพ้กรุงเทพฯ ถนนหนทางส่วนใหญ่ไม่กว้างนัก ที่นี่รถขับเลนขวา แต่ที่อะเมซซิ่งคือรถยนต์ในประเทศนี้มีทั้งแบบพวงมาลัยซ้ายและขวา เอ็นดาเล่าว่ารถยนต์นำเข้ามาจากค่ายรถทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรป และรัฐบาลก็ไม่ได้บังคับว่าต้องพวงมาลัยขวาหรือซ้าย จะซื้อแบบไหนก็ได้

ชมวิวสองข้างทางประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึง Genghis Khan Equestrian Statue เอ็นดาบอกว่าบริเวณนี้เคยมีการขุดพบธนูที่เชื่อว่าเป็นของเจงกีสข่าน รัฐบาลจึงสร้างอนุเสาวรีย์ไว้ที่นี่เมื่อปี 2551 ในโอกาสครบรอบ 800 ปีของการสถาปนาจักรวรรดิมองโกเลีย อาคารพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ด้านในฐานของรูปปั้น จัดนิทรรศการเกี่ยวกับยุคสำริดและวัฒนธรรมของกลุ่มชนซุยงหนู (Xiongnu) นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปที่ศีรษะของม้าซึ่งมีจุดชมวิวในมุมมองแบบพาโนรามา ขณะที่ในพิพิธภัณฑ์ก็มีร้านขายของที่ระลึกประเภทผลิตภัณฑ์จากขนแกะในราคาย่อมเยา

ที่หมายสำหรับมื้อเที่ยงคือเกอร์ที่อยู่ในอุทยาน เอ็นดาบอกว่าเกอร์ที่เราจะไปเป็นเกอร์สำหรับให้นักท่องเที่ยวกินอาหารหรือค้างแรม ไม่ใช่เกอร์แบบที่ชาวมองโกลพักอาศัย เขาเลยชวนให้เรากลับมาอีกครั้ง เพื่อจะลองนอนค้างแรมในเกอร์ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่กันจริงๆ แต่แน่นอนว่ามื้อกลางวันวันนี้ เราจะได้ลิ้มลองอาหารประจำถิ่นที่เรียกว่า Khuushuur ซึ่งเป็นเกี๊ยวทอดไส้เนื้อ คลุกเคล้ากับเครื่องเทศ มีน้ำซุปชุ่มฉ่ำอยู่ในไส้เกี๊ยว เสิร์ฟคู่กับซุบเนื้อแกะกับผัก

ไม่รู้ว่าเพราะหิวจัดหรือบรรยากาศน่าตื่นเต้นกันแน่ พวกเราจัดการเกี๊ยวทอด 2 ชิ้นใหญ่อย่างรวดเร็ว อิ่มแล้วจึงเดินสำรวจเกอร์ซึ่งมีโครงไม้ที่วาดลวดลายสวยงาม และบุด้วยผ้าขนแกะอย่างหนาเพื่อความอบอุ่น

Gunjin Sum เป็นวัดที่มีลักษณะคล้ายวัดพุทธแบบธิเบต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1740 โดย Dondovdorj ลูกชายของจักรพรรดิแมนจูเรีย ระหว่างเดินขึ้นเขา เราจึงมีเวลาพูดคุยทำความรู้จักกับไกด์หนุ่ม เขามีอายุเพียงแค่ 28 ปี ทำธุรกิจทัวร์เล็กๆ ที่เน้นการบริการลูกค้าด้วยตนเอง ทำงานแทบจะทุกตำแหน่งในบริษัท โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มเล็กแบบเรา เขาจะขับรถไปรับลูกค้าเอง

ในมุมมองของพวกเรา เอ็นดาไม่ใช่ไกด์ที่พยายามหยิบยื่นข้อมูลแน่นปึ้กเรื่องประวัติศาสตร์ชาติมองโกลให้กับเรา แต่เขาพยายามทำตัวให้คุ้นเคย แลกเปลี่ยนมุมมองเล่าสู่กันฟังในหลายเรื่องราวแบบเพื่อน ซึ่งนั่นทำให้ทริปของเราสนุกมากยิ่งขึ้น

ด้านบนของวัด Gunjin Sum เป็นโบสถ์ไม้ที่วาดลวดลายนักษัตรและตัวหนังสือสันสกฤต รอบโบสถ์ล้อมด้วยกงล้อมนตราและมนตราธวัชแบบธิเบต ด้านในมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะ ที่นี่เราได้พบกับน้องคนไทย 4 คน ทักทายกันพอได้ใจความว่าน้องๆ ต่อเครื่องบินมาจากปักกิ่ง ซื้อแพ็กเกจทัวร์มานอน Ger Camp 2 คืน และมีแผนจะเดินทางไปที่เมืองเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) ประเทศรัสเซีย

เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะร่ำลากัน แล้วอวยพรให้แต่ละฝ่ายโชคดี

ก่อนกลับเข้าเมือง เราแวะถ่ายรูปที่ Turtle Rock ซึ่งมีถ้ำอยู่ด้านในกระดองเต่า แต่พวกเราตัดสินใจไม่เข้าไปเพราะเย็นแล้ว เย็นทั้งอากาศและเวลา บวกกับเกี๊ยวทอดใส้เนื้อเมื่อตอนกลางวันย่อยสลายไปกับทางเดินขึ้นเขาไปเรียบร้อยแล้ว

 

มองโกเลีย ทะเลทรายโกบี และเมืองอูลานบาตอร์ ยังมีอะไรอีกมากมายให้ค้นหา สำหรับนักเดินทางที่นิยมเสพความสุขอันเรียบง่าย

Tags: , , , , , , , , , , , , , ,