ระหว่างที่เรากำลังเดินอยู่ที่เมืองคุนหมิง ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ไอเย็นจากภูเขาสูงที่ตั้งอยู่ทางเหนือก็พัดผ่านมาปะทะกับใบหน้าของเราอย่างแผ่วเบา ชวนให้เราคิดไปว่า “ถ้าพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้าง สิ่งที่เราได้เจอจะมีอะไรบ้างนะ” เรากับเพื่อนร่วมทางจึงกางแผนที่และปักหมุดกันเอาไว้ที่เมืองลี่เจียง เมืองโบราณที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เชิงเขาหิมะมังกรหยก ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะขอไปเยือนเมืองนี้ให้จงได้

THE STARTING POINT:

เราตัดสินใจเดินทางไปที่เมืองลี่เจียง ด้วยการค่อยๆ ไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศที่จะลดน้อยลงตามระดับความสูง

จุดเริ่มต้นของการเดินทางต่อไปยังเมืองลี่เจียงอยู่ที่เมืองคุนหมิง เมืองที่ราบสูงในมณฑลยูนนาน ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,800 เมตร คุนหมิงทักทายเราด้วยอุณหภูมิประมาณ 10 องศา ในช่วงต้นฤดูหนาว

การเดินทางจากเมืองคุนหมิงสู่เมืองลี่เจี่ยงมีหลายวิธี เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟนอนสองชั้นขบวนพิเศษที่ไม่จอดรายสถานี ที่สำคัญยังเป็นขบวนรถไฟที่มีโบกี้ VIP เพียง 10 ห้องเท่านั้น (ราคาห้องละ 4,480 บาท) ที่เหลือจะเป็นโบกี้นอนรวมธรรมดาแบบ 4 คน ทั้งแบบ Hard Sleeper และ Soft Sleeper

ความพิเศษของตู้โบกี้ VIP คือ เป็นห้องนอนที่อยู่บนชั้นสองของขบวนรถไฟ แยกเป็นโซนส่วนตัว หนึ่งห้องนอนได้ 4 คน เตียงบนมี 2 เตียง คือฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ด้านล่างตรงกลางเป็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ที่นอนได้ 2 คน มีบริการ ฟูกนอน ผ้านวม หมอน พร้อมรองเท้าสลิปเปอร์ ชุดแปรงฟัน มีโต๊ะเล็กๆ โคมไฟ และที่แขวนเสื้อผ้า ดูไปดูมาคล้ายโฮสเทลเล็กๆ เคลื่อนที่ได้

ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 9 ชั่วโมง เราก็เดินทางถึงยังที่หมาย

IN TO THE OLD TOWN, IN TO THE WORLD HERITAGE:

เมื่อก้าวลงมาจากรถไฟ เราก็ได้รับการต้อนรับอันหนาวเย็นจากเมืองลี่เจียงด้วยอุณหภูมิติดลบ 2 องศา ในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า พร้อมเหล่าคนขับแท็กซี่บริเวณหน้าสถานีรถไฟที่คอยแวะเวียนมาถามไถ่ เสนอราคาเหมาเข้าเมือง เที่ยวละ 30 หยวน หรือประมาณ 180 บาท เพื่อพาเราเข้าสู่ตัวเมืองลี่เจี่ยง ซึ่งห่างออกไปราว 10 กิโลเมตร เราตอบตกลงทันที เพราะเป็นราคาที่ตั้งเอาไว้ในใจมาก่อนอยู่แล้ว

ทันทีที่ท้องฟ้าลี่เจี่ยงสว่าง ซุ้มประตูขนาดทางใหญ่ทางทิศใต้ก็ปรากฏกายให้เห็น สถาปัตยกรรมโบราณที่คั่นระหว่างเขตพื้นที่เมืองใหม่ ที่มีรถไฟใต้ดิน ตึกสูง ห้างสรรพสินค้าแบรนด์เนม และรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ ตัดกับเขตเมืองเก่าแสนสงบเงียบที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า 800 ปี สร้างขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 12 ถึงกลางศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงปลายราชวงศ์ซ่ง ต้นราชวงศ์หยวน อาณาบริเวณของเขตเมืองเก่ากินพื้นที่ 4 ตารางกิโลเมตร ได้การรับรองจากยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1997

แม้ว่าพื้นถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่จะสร้างปัญหาให้กับกระเป๋าล้อลากของเราอยู่มาก แต่ก็แลกมาด้วยความคุ้มค่าเมื่อได้เจอกับร่องน้ำเล็กๆ ใสแจ๋วที่ไหลผ่านบ้านปูนหลังเตี้ยๆ ประตูไม้บานเฟี้ยม มุงหลังคากระเบื้องทรงงุ้มโค้ง แต้มด้วยสีสันฉูดฉาดของเครื่องเรือน และเสื้อผ้าของผู้คนในบริเวณนั้น รวมทั้งแผ่นป้ายอักษรภาษาจีน ที่ตรึงหัวใจของเราไว้ได้อยู่หมัด

เราเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยจนเกือบหลง ก็พบกับโรงแรมที่เราจองไว้ (จนได้) เจ้าของโรงแรมมอบแผนที่เมือง แล้วกำชับเราว่า “ให้เดินไปทางทิศเหนือ เมื่อเจอกังหันน้ำโบราณ นั่นคือแลนด์มาร์ก หากหันหน้าเข้า ซ้ายมือคือเมืองใหม่ ขวามือคือสระน้ำมังกรดำ ที่นั่นสวยมาก และเส้นทางตรงหน้าคือทางกลับสู่ที่พัก ซึ่งเป็นทางทิศใต้”

ระหว่างทางเดิน จากที่เห็นแค่ร่องน้ำ ค่อยๆ ขยายขึ้นจนกลายเป็นคลองน้ำใส ที่เห็นพืชน้ำพลิ้วไหวตามทิศทางน้ำอย่างชัดเจน ระหว่างทางน้ำ เราเดินข้ามสะพานกันหลายครั้ง ในแต่ละสะพานก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน มีทั้งแบบโค้ง แบบยาว สร้างจากไม้บ้าง หินบ้าง ซึ่งจากข้อมูลที่ค้นมา ที่นี่มีสะพานถึง 354 สะพาน แต่ละสะพานจะเห็นวิวยอดเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลังในมุมต่างๆ กัน ซึ่งยอดเขาแห่งนี้คือหมุดหมายสำคัญของเราในวันรุ่งขึ้น

CLASSIC LIFE IN LIJIANG:

เราออกเดินสำรวจในเขตเมืองเก่า (ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบำรุงเมืองประมาณ 80 หยวน หรือราวๆ 480 บาท) โดยเริ่มเดินชมสถาปัตยกรรมจีนโบราณเพลินๆ ตลอดทาง โดยมีเสียงคนตีกลองพื้นเมืองประกอบเพลงสไตล์ทิเบตจากร้านขายเครื่องดนตรีเป็นซาวนด์แทร็กประกอบให้ฟังเป็นระยะ พร้อมกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่โรยอยู่บนไก่ปิ้งเสียบไม้ที่โชยมาแตะจมูกเราเป็นพักๆ จนน้ำย่อยในกระเพาะของเราทำงานอย่างหนัก

รู้ตัวอีกทีเราก็นั่งอยู่ในร้านที่ขายหม้อไฟยูนนานที่อร่อยจนไม่ต้องให้ใครมาช่วยฟันธง และเราก็ได้ลองชิมเสี่ยวหลงเปา ซาลาเปา หมั่นโถว ไข่ต้ม ชาร้อนๆ ที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นสู้กับอากาศหนาวของที่นี่ได้ ก่อนจะปิดท้ายด้วยโยเกิร์ตจามรี และหมายมั่นว่าถ้ามีโอกาสจะแวะกลับมาชิมอีกสารพัดเมนูที่เหลือให้ได้

ระหว่างที่เดินชมเมืองกันต่อเพื่อย่อยของกินจำนวนมหาศาลที่เรากินเข้าไป เราก็สะดุดตากับคุณยายในเสื้อแดง กระโปรงสีน้ำเงิน คาดผ้าขาวที่หน้าอก ซึ่งนี่คือชุดประจำชาติของคนชนชาติน่าซี คนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่กันมาช้านาน คุณยายท่านนี้กำลังแวะทักทายชาวบ้านที่กำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำ น้ำในลำคลองของที่นี่ใสมากๆ เราจึงได้เห็นชาวบ้านบางคนนำผักและผลไม้สดหลากสีมาแช่และล้างในระหว่างนั้นด้วย

เรามาหยุดอยู่ที่ร้านแมวสีส้มบนเนินเขาที่บังเอิญเจอ เพราะสะดุดเข้ากับกลิ่นกาแฟยูนนานหอมๆ และสิ่งที่เราเห็นจากระเบียงของร้านก็คือภาพหลังคาบ้านที่เรียงรายจนเป็นทะเลหลังคากระเบื้องโบราณสีหม่นนับร้อยนับพันเบื้องล่าง ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าผืนใหญ่ มีภูเขากว้างเป็นฉากหลัง ทำให้เราขลุกตัวอยู่ในร้านนี้จนถึงช่วงที่ตะวันตกดินกันเลย

IN TO THE JADE DRAGON SNOW MOUNTAIN:

“ไม่รู้ว่าวันนี้ภูเขาหิมะฯ เขาจะให้พวกคุณขึ้นไปหรือเปล่านะ ดูเมฆหนาเชียว” คุณป้าคนขับรถแท็กซี่ที่เราเหมาไปพิชิตภูเขา (ไปกลับประมาณ 200 หยวน หรือราวๆ 1,200 บาท แล้วแต่ความสามารถในการต่อรอง) พูดเป็นภาษาจีนใส่ Google Translate และแปลออกมาเป็นภาษาไทย แต่อย่างไรก็ตามเราก็ไม่หวั่น เพราะจ่ายค่าเข้าสถานที่ไปแล้ว (ค่าเข้าอุทยาน 105 หยวน หรือประมาณ 630 บาท)

เรารู้มาว่าเมื่อคืนมีหิมะตก ทำให้อุณหภูมิต่ำลงกว่าเดิม จากจุดเริ่มต้นตรงตีนเขา ความหนาวอยู่ที่ประมาณ 0 องศา และความสูงเริ่มต้นที่ 3,356 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราเดินขึ้นไปที่กระเช้าซึ่งพาเราข้ามผ่านภูเขา ฝ่าหมอก และเมฆหนา ขึ้นไปยังลานกว้างด้านบน (ค่าขึ้นกระเช้า 180 หยวน หรือประมาณ 1,080 บาท)

ภูเขาหิมะมังกรหยกอ้าแขนต้อนรับเรา ด้วยท้องฟ้าสีเข้ม เผยให้เห็นยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า จากจุดนี้เราไต่มาถึงที่ความสูง 4,506 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิก็ลดต่ำลงอีก ออกซิเจนเริ่มเบาบาง เราเริ่มหายใจลำบาก จนต้องพึ่งออกซิเจนกระป๋อง (ซึ่งเป็นกติกาสากลว่า ถ้าเราซื้อจากร้านขายของในเมืองมาตั้งแต่แรกจะได้ราคาถูกกว่ามาซื้อจากที่นี่) แล้วแวะพักเติมพลังงานให้กับร่างกายด้วยไส้กรอกจีนสไตล์ และน้ำส้มอุ่นๆ ที่ขายอยู่รายทาง

หนึ่งชั่วโมงครึ่งคือเวลาที่เราเดินขึ้นไปถึงแหัวใจของเรากลับมาเต้นเร็วอีกครั้ง เมื่อพบว่าตัวเองทำสำเร็จ ซึ่งคนอื่นอาจจะซื้อเหรียญสลักชื่อประกาศชัยชนะ แต่สำหรับเราแล้ว สิ่งแรกที่เราทำคือการยกมือพนมบริเวณเขตธงมนตราที่อยู่เบื้องหน้า แสดงความขอบคุณภูเขาที่เปิดรับเรา และขอบคุณตัวเราเองที่ยังมีลมหายใจจนมาถึงที่นี่

เราใช้เวลา 30 นาทีสำหรับตอนเดินลงโดยเร่งทำความเร็ว เพราะออกซิเจนกระป๋องหมด ซึ่งเรื่องนี้เป็นความคิดและการกระทำที่ผิด เพราะทำให้เราเหนื่อยยิ่งกว่าเดิม ต้องพยายามหายใจทั้งๆ ที่ออกซิเจนน้อยลงทุกที ไอหมอกเริ่มโหมพัด เรายึดเกาะรั้วไม้ไว้มั่น อาการมึนหัวเริ่มปรากฏ หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง เหงื่อออกมือทั้งๆ ที่หนาวมาก คาดว่าอาการแพ้ที่สูงกำลังคุกคาม เราจึงตั้งสติอีกครั้ง เดินให้ช้าลง หายใจสั้นขึ้น พักถี่ขึ้น จนกระทั่งกลับลงมาสู่ลานกว้างเบื้องล่างได้สำเร็จ

 

จากเหตุการณ์นี้ และความน่ารักของเมืองลี่เจียง เราเจอกับคำตอบที่ถามตัวเองก่อนเดินทางแล้วว่า ถ้าเรามาถึงที่นี่นอกจากความหนาวแล้วเราจะได้เจอกับอะไร ซึ่งที่แน่ๆ คือ เราจะไม่มีทางได้เจอกับความเหงา และความเศร้า เหมือนอย่างที่เรากลัวในตอนแรกอย่างแน่นอน

เรื่อง: ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ, ทรรศน หาญเรืองเกียรติ ภาพ: พฤษ อ่าวสมบัติกุล