ถึงคุณ, เด็กผู้หญิงสีม่วง
ยังจำได้ใช่ไหมที่ผมเคยถามคุณว่า สำหรับคุณ ‘ความรัก’ คืออะไร วันนั้นคุณบอกกับผมว่า อย่าพยายามจำกัดความสิ่งนี้ด้วยคำแค่ไม่กี่คำ เพราะความหมายของมันซับซ้อนและหลากสีสันเกินกว่าจะนิยามกันสั้นๆ
เราเลือกรักคนที่เราคิดว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขา
ผมจำได้ดีว่าคุณเอ่ยถึง ‘ทฤษฎีสีชมพู’ ผมถามเพื่อให้คุณอธิบาย คุณยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า “ก็แบบนี้ไง เราชอบสีม่วง นายชอบสีเทา เราไม่เคยรู้สึกอะไรกับสีเทามาก่อนเลย แต่พอเราชอบนาย เราก็จะเริ่มมองเห็นสีเทาบ่อยขึ้น ส่วนนายเองก็จะเริ่มมองเห็นสีม่วง และเริ่มให้ความหมายกับของสีม่วงไม่เหมือนเดิม เวลาเราเห็นสีเทา เราจะคิดถึงนาย เวลานายเห็นสีม่วง นายจะคิดถึงเรา”
‘ทฤษฎีสีชมพู’ คือทฤษฎีการผสมสีของโลกสองใบที่เคยอยู่ห่างไกลกัน เมื่อสองคนได้มารู้จักกัน โลกสองใบนั้นก็หลอมรวมกันกลายเป็นใบเดียว
ผมคิดถึงทฤษฎีของคุณขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ฟังโสเครติสชวนคิดว่า “มีคุณสมบัติแบบไหนบ้างที่สมควรรัก” ตอบง่ายๆ เราอาจตอบกันว่า หล่อ สวย รวย เก่ง เป็นคนดี มีคุณธรรม หรืออะไรทำนองนั้น ตอบมากกว่านั้นอาจตอบว่า ฉันจะเลือกคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ได้เป็นตัวของตัวเอง แต่โสเครติสกลับไม่คิดแบบนั้น
เขาตั้งข้อสังเกตว่า เราเลือกรักคนที่เราคิดว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขา
ใช่แล้ว, รักคือการเรียนรู้-นักปราชญ์เครายาวเขาว่างั้น
เราจึงมองหาคนที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่เราไม่มี หรือเราอาจจะมี แต่ยังไม่ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ในแง่นี้ คนรักก็เปรียบเสมือนครูของเราที่ช่วยสะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่เราไม่มีหรือยังไม่แสดงออกมา เพราะเขาแสดงสิ่งนั้นให้เห็นอยู่ทุกวัน
เราอาจชอบคนพูดตรงเพราะเราเป็นคนขี้เกรงใจ เราอาจชอบคนอ่อนหวานเพราะเราเป็นคนแข็งกร้าว เราอาจชอบคนใจเย็นเพราะเราอารมณ์ร้อน เราอาจชอบคนไร้ระเบียบเพราะเราใช้ชีวิตอยู่ในตารางตลอดเวลา ทั้งหมดนี้สามารถสลับข้างกันได้หมด
โสเครติสจึงบอกว่า เราไม่ได้รักบุคคลนั้น
แต่เรารักคุณสมบัติของเขาที่เรามองเห็น
แรกเริ่มอาจประทับใจกันที่รูปร่างหน้าตา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะค่อยๆ ก้าวข้ามตัวบุคคล
มาสู่การรักในความดีงามในตัวของเขาแทน
ผมคิดถึงวินาทีที่มั่นใจว่าผมรักเด็กผู้หญิงคนนี้แน่นอน ตอนที่คุณชวนผมขับรถไปบางแสนกัน โดยที่เราไม่ได้เตรียมชุดไปเล่นทะเล แล้วคุณก็จูงมือผมลากลงทะเลด้วยกันโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง วินาทีนั้นผมรู้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้แหละที่จะพาผมไปสู่โลกอีกใบที่ผมไม่เคยสัมผัส ออกไปนอกความรอบคอบและการวางแผนที่ผมเป็นมาเสมอ
คุณพาผมออกนอกโลกใบเดิมที่แน่นอน ไปสู่โลกที่ ‘จะเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน’
คุณช่วยฉุดคุณสมบัติอีกด้านของผมที่ไม่เคยถูกใช้ให้ปรากฏออกมา เช่นนี้แล้ว รักคือการขยายศักยภาพของกันและกัน คนรักมีในสิ่งที่เราไม่มี และการใช้ชีวิตร่วมกันก็จะค่อยๆ ชักจูงกันไปทำในสิ่งที่อีกคนไม่เคยทำออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
รักอาจเป็นการเติมเต็มในแง่นี้
เราไม่ได้ขาดสิ่งนั้น เรามีอยู่ แต่เราต้องการบางคนมาช่วยสนับสนุนให้สิ่งนั้นปรากฏชัดออกมา
บางคนจึงแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีคนรัก บางคนจึงมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเมื่อมีคนรัก และบางคนจึงรักตัวเองและมองตัวเองในแง่บวกมากขึ้นเมื่อมีคนรัก ทั้งนี้มิใช่เพียงแค่เพราะเรารู้สึกว่ามีใครอีกคนยอมรับเรา หากเป็นเพราะตัวเราเองพัฒนาบางด้านขึ้นมาจากการคบหาคนคนนั้น
เหมือนที่ผมได้สีของคุณมาผสมเข้าไปในชีวิต
ในตัวคนที่เรารักจึงมักจะมีบางสิ่งที่เราโหยหาอยู่เสมอ เราอยากมีสิ่งนั้นในตัวเอง อาจเป็นสิ่งที่ขาดหายไป สิ่งที่เราถวิลหา สิ่งที่เราเคยมีแต่ทำหล่นหายไป เราจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างๆ คนคนนั้น
มิใช่แค่รอเขามอบสิ่งนั้นให้ แต่ยังต้องการซึมซับสิ่งนั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น
เราต้องมองเห็นคุณค่าของคนอื่นก่อนจึงจะมีความรักได้ หากใครสักคนคิดว่าตัวเองดีที่สุดเสมอ เขาไม่มีวันเจอความรัก
To be a better person
ใช่, เรารักใครสักคนเพราะเราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น
และในส่วนลึก หากเรารักเขาจริง เราก็ปรารถนาเช่นกันว่า การคบหากันจะทำให้เขากลายเป็นคนที่ดีขึ้น หรือมีบางมุมที่เราสามารถทำให้เขาโอเคขึ้นได้ ไม่ว่าในแง่อารมณ์ ความคิด หรือความสามารถบางมิติ
โสเครติสจึงบอกว่า เราไม่ได้รักบุคคลนั้น แต่เรารักคุณสมบัติของเขาที่เรามองเห็น แรกเริ่มอาจประทับใจกันที่รูปร่างหน้าตา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะค่อยๆ ก้าวข้ามตัวบุคคลมาสู่การรักในความดีงามในตัวของเขาแทน
ถึงวันหนึ่ง สิ่งที่ทำให้คู่รักอยู่ด้วยกันได้ยืนยาวก็คือคุณค่านามธรรมเหล่านี้ ความใจดี ความใจเย็น ความเห็นอกเห็นใจ การให้เกียรติ ความกล้าหาญ ความอ่อนโยน การมองเห็นสิ่งสวยงาม ความช่างสังเกต ความตลกขบขัน ฯลฯ
‘ความรักเกิดจากความไร้’ โสเครติสตั้งข้อสังเกตไว้เช่นนั้น เพราะเราบกพร่อง เราจึงใฝ่หาความรัก ตอนเด็กๆ ผมรู้สึกว่าช่างโชคร้ายที่ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองไม่สมบูรณ์ เหมือนมีบางส่วนขาดหายไป ผมไม่มีความมั่นใจในตัวเองแม้แต่น้อย แต่มาถึงวันที่ได้พบกับคุณ ได้เรียนรู้จากคุณ ผมกลับพบว่า นับเป็นโชคดีของมนุษย์จำนวนมากที่มีบางส่วนขาดหายไป เพราะคุณสมบัติเว้าแหว่งเช่นนี้เองที่ทำให้เขารู้จักรักใครสักคน คนที่แข็งแกร่งมาก เก่งมาก ฉลาดมาก หรือสมบูรณ์แบบมาก อาจไม่รู้จักความรัก อาจไม่รู้จักที่จะรักใคร เพราะเขาไม่คิดว่าจะต้องการการเติมเต็มจากใครอีก
รักจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนไม่สมบูรณ์แบบสองคนที่เหมาะสมกัน
คุณคิดเหมือนผมไหมว่า สิ่งที่โสเครติสตั้งข้อสังเกตนี้น่าจะเป็นจุดเชื่อมต่อจากอารมณ์รักโรแมนติก เราอาจโหมไฟแห่งความประทับใจใส่กันในช่วงเวลาสามถึงหกเดือนแรก เราพร่ำเพ้อถึงรอยยิ้มน่ารัก ใบหูสีชมพูนุ่มเนียน การขยับร่างกายที่สง่างาม สรรพสิ่งที่เย้ายวนชวนฝัน แต่หลังจากนั้นสิ่งที่ทำให้คู่รัก ‘ไปต่อ’ ได้ก็คือบทเรียนที่อีกฝ่ายมี ขณะที่อีกฝ่ายไม่มี
คู่รักเป็น ‘ครู-ศิษย์’ ของชีวิตกันและกัน
เราแค่สลับกันเรียนคนละวิชา
วิชาต่างๆ ที่คุณสอนผม ค่อยๆ ทำให้ผมมองเห็นมนุษย์ในมุมอื่นมากขึ้น ในมุมที่ผมไม่ได้เป็น ในมุมที่ผมไม่ได้คิดเห็นเช่นนั้น คุณจึงเป็นผู้เปิดโลกทัศน์ให้กับผม ขยายมุมมองพร้อมกับขยายขนาดของหัวใจให้มีพื้นที่บรรจุความเป็นไปได้ใหม่ๆ ลงไปในนั้น
รักทำให้เราใจกว้างขึ้นเสมอ เพราะคนรักของเราไม่เหมือนเรา เมื่อเรายอมรับข้อแตกต่าง ใจเราก็กว้างขึ้น รักจึงฝึกให้เรายอมรับในสิ่งที่ไม่ใช่เรา ในสิ่งที่อาจจะขัดใจ รักฝึกให้เราเปิดหูและเปิดใจ เมื่อยอมรับสิ่งที่ไม่เหมือนตัวเอง นั่นหมายความว่าเรายอมรับแล้วว่า เราไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแบบเดียว
เราจะเห็นคุณค่าแบบอื่น เหมือนที่คุณทำให้ผมเห็นคุณค่าในแบบที่คุณเป็น
เราต้องมองเห็นคุณค่าของคนอื่นก่อนจึงจะมีความรักได้ หากใครสักคนคิดว่าตัวเองดีที่สุดเสมอ เขาไม่มีวันเจอความรัก
ที่คุณพูดไว้จึงไม่ผิด รักคือการผสมสีจริงๆ ตามทฤษฎีที่คุณบอก ผมเชื่อว่าไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับสีเต็มกล่อง เราเกิดมากับความพร่องไปบางสี หากอยากวาดภาพชีวิตสวยๆ เราต้องเปิดฝากล่องเพื่อรับสีของคนอื่นมาไว้ในกล่องของเรา และมอบสีของเราไปบีบใส่จานสีของคนอื่น
เมื่อรักบางคนแล้ว เราจึงรักคนอื่นเป็นไปพร้อมๆ กัน เพราะเราเริ่มมองเห็นความงามของสีที่เราไม่มี และเห็นความจำเป็นของสิ่งนั้น เราจะมีดวงตาที่มองเห็นโลกด้วยแว่นสีอื่น
ความ ‘น่ารัก’ ของอีกฝ่ายคือสิ่งที่เราอยากเรียนรู้นั่นเอง
ความรักที่เต็มไปด้วยทิฐิและอัตตาของบางคู่จึงสูญเสียสิ่งนี้ไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะได้เรียนรู้จากกันและกัน
นี่คืออีกหนึ่งนิยามรัก (ในจำนวนนับล้าน) ที่คุณสอนผม
สิ่งที่ทำให้ความรักยืนยาวคือการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตัวเองอยู่เสมอ และมองเห็นคุณค่าที่อีกฝ่ายมีอยู่ตลอดเวลา ความแตกต่างที่อยู่ข้างๆ กันทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น
ผมรักคุณ เพราะคุณคือคนที่ทำให้ผมมองเห็นความงามของสีม่วง
การได้เจอคุณ คือการได้ตาดวงใหม่ในการมองโลก
ผมระบายสีชีวิตได้สนุกขึ้นมาก เมื่อมีสีของคุณอยู่ในจานสีของผมด้วย
ภาพประกอบ: Suminkgy
Tags: Relationship, LOVE