ในสถานการณ์ที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดเหมือนไฟลามทุ่งจากจีนสู่ทั่วทั้งโลก บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง กูเกิลจึงขอความร่วมมือจากพนักงานให้เริ่ม ‘ทำงานจากบ้าน’ หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า ‘Work from Home’
หลังจากข่าวคราวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่สหรัฐอเมริกาเริ่มแพร่หลาย สัปดาห์ก่อน กูเกิลได้เริ่มแนะนำให้พนักงานในรัฐวอชิงตันหันไปทำงานจากที่บ้านถ้าสามารถทำได้ เพื่อลดโอกาสในการแพร่ระบาดของไวรัส
ก่อนสถานการณ์จะยกระดับขึ้นจนมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 1,000 คนในสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้ อัลฟาเบต (Alphabet) บริษัทแม่ของกูเกิลตัดสินใจประกาศแนะนำให้พนักงานกว่า 100,000 คนใน 11 สำนักงานทั่วทั้งภูมิภาคอเมริกาเหนือร่วมกันทำงานจากที่บ้าน ถ้าสามารถทำได้
โดย คริส แร็คโกว์ (Chris Rackow) รองประธานฝ่ายความปลอดภัยระดับโลกของกูเกิลได้อธิบายผ่านอีเมลที่ส่งตรงถึงพนักงานว่า เพื่อความระมัดระวังและความปลอดภัยของอัลฟาเบต และชุมชมโดยรอบ บริษัทฯ ขอแนะนำให้พนักงานทุกคนทำงานจากที่บ้าน หากภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบสามารถทำได้ พร้อมเผยว่าสำนักงานทั้งหมดในภูมิภาคอเมริกาเหนือจะยังเปิดให้พนักงานที่จำเป็นจะต้องเข้าออฟฟิศสามารถมาทำงานได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่กูเกิล แต่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกอื่นๆ อย่าง Apple, Amazon, Microsoft และ Facebook ก็แนะนำให้พนักงานเริ่มทำงานจากที่บ้าน หลังรัฐวอชิงตันมีจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุ 160 คน พร้อมๆ กับที่รัฐแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์กมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการยืนยันว่ามีพนักงานของแอมะซอน และเฟซบุ๊กติดเชื้อไวรัสดังกล่าวจริง
ทางด้าน ทิม คุก (Tim Cook) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Apple ก็ได้ขอให้พนักงานในสำนักงานทั่วโลกหลายแห่งทำงานจากบ้าน ถ้าสามารถทำได้ เช่นเดียวกับที่ Twitter แถลงการณ์ว่าบริษัทฯ “เป็นกำลังใจอย่างยิ่ง” ให้พนักงาน 5,000 คนทั่วโลกสามารถเริ่มต้นทำงานจากที่บ้านของพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานในพื้นที่ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง
ทั้งนี้ นอกจากอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้แล้วกูเกิลยังได้ร่วมเคลื่อนไหวหลายอย่างเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 เช่น แบนโฆษณาหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ชั่วคราว จัดตั้งกองทุนโควิด-19 สำหรับพนักงานที่ป่วยหรือติดเชื้อและต้องหยุดงานชั่วคราวโดยได้รับเงิน รวมถึงจับมือกับ NHS ของสหราชอาณาจักเพื่อป้องกันการกระจายข้อมูลที่ผิดเกี่ยวกับไวรัส
ที่มา
https://www.bbc.com/news/technology-51828782
ภาพ: REUTERS/Brendan McDermid
