หลังจากเข้ามาคุมทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอนอย่าง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สิ่งแรกที่กุนซืออย่าง อันโตนิโอ คอนเต (Antonio Conte) ทำ คือการเปลี่ยนรูปแบบการเล่นจากระบบ 4-2-3-1 เป็นระบบ 3-5-2 ทันที ใช้กองหลังเซ็นเตอร์แบ็ก 3 คน และดันวิงแบ็ก 2 ข้างให้สูงขึ้น เพื่อให้มีพื้นที่เล่นเกมรุกได้มากกว่าเดิม แน่นอนว่าในเกมรับ สเปอร์สจะเปลี่ยนมาเล่นระบบ 5-3-2 โดยทันที ตรงนี้เองเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของคอนเต ที่ต้องการสร้างระบบเกมรับให้แข็งแกร่งเสียก่อน 

คอนเตเริ่มวางระบบให้รัดกุมมากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบการเล่นของสเปอร์สในช่วงต้นฤดูกาลที่อาศัยความสามารถส่วนตัวของนักเตะแต่ละตำแหน่ง ให้กลายเป็นการเล่นตามแผนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ที่โดดเด่นมากที่สุดคือการขึ้นบอลจากแดนหลังอย่างรัดกุม ไม่โยนบอลยาวโดยไม่จำเป็น ถ่ายบอลให้นักเตะแดนกลางและแดนหน้าเข้าประจำตำแหน่งและเล่นเกมรุกต่อไปได้ 

แน่นอนว่าในเกมรุกก็มีความเปลี่ยนแปลงตามการจัดตัวนักเตะ ระบบที่เอื้อให้วิงแบ็กเติมสูงขึ้น ทำให้ลูกครอสจากข้างสนามเป็นอาวุธที่เห็นได้บ่อยภายใต้การคุมทีมของคอนเต แต่ที่น่าสนใจคือ แผนกองกลางของคอนเตที่มีพื้นที่เล่นมากขึ้น จากการที่วิงแบ็กเข้ามาช่วยซัพพอร์ตและดึงตัวประกบออกจากกลางสนาม เราจึงมักเห็นลูกจ่ายทะลุช่องจากแดนกลาง ส่งให้นักเตะแดนรุกทั้ง ซน ฮึง-มิน (Son Heung-min), เดยัน คูลูเซฟสกี (Dejan Kulusevski), ลูคัส มูรา (Lucas Moura) รวมถึง แฮร์รี เคน (Harry Kane) มีจังหวะใช้ความเร็ววิ่งตัดแผงหลังเข้าทำประตูอยู่บ่อยครั้ง โดยสถิติหลังจากคอนเตเข้ามาคุมทีมพบว่า ความพยายามในการจ่ายบอลแบบก้าวหน้าของสเปอร์สเพิ่มขึ้นจาก 57.4 เป็น 76.0 ต่อนัด และมีความพยายามทำเกมรุกด้วยการวิ่งทะลุไลน์ล้ำหน้า เพิ่มขึ้นจาก 6.4 เป็น 9.0 ต่อเกม

ส่งผลให้สเปอร์สกลายเป็นทีมที่เล่นเกมรุกได้ฉูดฉาด การเข้าทำน่าสนใจ และมีประตูได้เสียที่ดีขึ้น จากค่าเฉลี่ยการยิงประตูต่อเกม คือ 2.17 และส่งผลให้ซน ฮึง-มินครองอันดับรองดาวซัลโว (17 ประตู) อยู่ในขณะนี้ 

และหากจะให้เจาะลึกถึงตัวแปรสำคัญอื่นๆ ที่ทำให้สเปอร์สในยุคคอนเตมีผลงานโดดเด่นเช่นนี้ จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็นใหญ่ คือ 

เซ็นเตอร์แบ็ก 3 คน มดงานที่เสริมเกมรับให้แกร่ง 

คริสเตียน โรเมโร (Cristian Romero), เอริก ดายเออร์ (Eric Dier) และเบน เดวีส (Ben Davies) เซ็นเตอร์แบ็กที่มาเริ่มเล่นระบบหลัง 3 กันเป็นครั้งแรกในยุคของคอนเต แม้จะมีหน้าที่เดียวกัน คือเป็นด่านสุดท้ายในการป้องกันก่อนลูกบอลจะไปถึงมือ อูโก โยริส (Hugo Lloris) ผู้รักษาประตูของทีม แต่ปราการหลังทั้ง 3 ก็มีบทบาทที่แตกต่างกันออกไปอย่างน่าสนใจ 

เอริก ดายเออร์ คือผู้เล่นที่ยืนตรงกลางใน 3 ประสานแดนหลัง แน่นอนว่าเขาคือผู้เล่นคนสุดท้ายหรือ Stopper ที่จะเข้าสกัดและเคลียร์บอลออกจากกรอบเขตโทษของทีม ดังนั้นก่อนลูกบอลจะมาถึงตัวเขา หน้าที่สำคัญคือการสั่งการเซ็นเตอร์แบ็กอีก 2 คน รวมถึงผู้เล่นแนวรับคนอื่นๆ ว่าต้องทำอย่างไร ควรยืนอยู่ตรงไหนบ้าง 

คริสเตียน โรเมโร ผู้เล่นหน้าใหม่พกดีกรีนักเตะยอดเยี่ยมจากลีกเซเรียอา ฤดูกาล 2020/2021 มา ก็เป็นผู้เล่นในเกมรับที่โดดเด่นอีกคนในทีมสเปอร์​ โดยเฉพาะการเข้าปะทะที่ดุดัน สามารถหยุดคู่แข่งได้แน่นอน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับใบเหลือง หรืออาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ถึงอย่างนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สไตล์บ้าบิ่นแบบนี้ของโรเมโรก็ช่วยทีมมาแล้วหลายนัด 

เบน เดวีส คือผู้เล่นลูกหม้อที่อยู่กับสโมสรมาหลายปี ประสบการณ์และความเข้าใจในเพื่อนร่วมทีม ทำให้เขาที่ต้องยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งซ้าย ประสานงานกับเพื่อนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแบ็กฝั่งซ้ายที่ขณะนี้ยังไม่ลงตัว มีการสลับผู้เล่นถึง 3 คน ทั้ง เซร์ฆิโอ เรกิลอน (Sergio Reguilón), ไรอัน เซสเซยง (Ryan Sessegnon) และแมตต์ โดเฮอร์ตี (Matt Doherty)

ตั้งแต่คอนเต เข้ามาคุมทีมในเดือนพฤศจิกายน สเปอร์สก็กลายเป็นทีมที่เกมรับรัดกุมมีอัตราการเสียประตูเฉลี่ยเพียง 1.05 ลูกต่อเกมเท่านั้น ต่างจากช่วงที่นูโน เอสปิริตู ซานตู คุมทีม ซึ่งมีอัตราการเสียประตูสูงถึง 1.6 ประตูต่อเกม

อีกจุดที่น่าสนใจคือการขึ้นเกมรุกจากเซ็นเตอร์แบ็กทั้งสาม บ่อยครั้งที่ทีมสเปอร์เล่นลูกตั้งเตะจากประตูด้วยบอลสั้น ค่อยๆ แก้เพรสซิงจากแดนหน้าของคู่แข่งและถ่ายบอลไปให้วิงแบ็กหรือกองกลางเพื่อทำเกมต่อไป ซึ่งจุดนี้เราจะเห็นว่าเซ็นเตอร์ทั้งสามได้รับการฝึกซ้อมมาอย่างดี โดยจากสถิติระบุว่า หลังคอนเตเข้ามาคุมทีม เซ็นเตอร์แบ็กของสเปอร์สมีอัตราการครองบอลสูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

เสริมเกมรุกให้มีมิติมากยิ่งขึ้น

หลังจากเป็นตัวสำรองในทีมยูเวนตุส และไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากแฟนม้าลายอีกต่อไป เดยัน คูลูเซฟสกี และโรดริโก เบนทานกูร์ (Rodrigo Bentancur) ตบเท้าก้าวเข้ามาทีมไก่เดือยทองในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา และเมื่ออยู่ในมือของคอนเต ทั้งคู่ก็กลายเป็นขุมกำลังสำคัญ ทำให้เกมรุกมีมิติดูวูบวาบมากยิ่งขึ้น

เดยัน คูลูเซฟสกี ถูกจับยืนในตำแหน่งตัวรุกริมเส้นฝั่งขวา แทนที่ลูคัส มูรา ปีกความเร็วสูงที่ฟอร์มไม่คงเส้นคงวานัก และด้วยจุดเด่นเรื่องการครองบอล ส่งบอล และวิสัยทัศน์ในเกมรุกที่หลากหลายกว่า ทำให้เดยันเป็นตัวทำเกมริมเส้นที่มีจังหวะเข้าทำประตูได้บ่อยครั้ง การันตีด้วยผลงานการจ่าย 6 ลูก และยิงไป 3 ประตู จากการลงสนามเพียง 12 นัดเท่านั้น

เดยันกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เขาประทับใจกับการมาอยู่สเปอร์ส คืออิสระในการเล่นเกมริมเส้นของตน ที่แม้จะมีแท็กติกและแผนเข้าทำที่ชัดเจน แต่คอนเตยังให้โอกาสเขาพลิกแพลงและลองเล่นอะไรแบบใหม่ ตราบใดที่ยังไม่หลุดคอนเซ็ปต์ที่ต้องเล่นบอล Open Play เปิดจากข้างสนามให้แม่นยำ ตามที่คอนเตคาดหวัง

ส่วนทางด้าน โรดริโก เบนทานกูร์ แม้จะไม่มีสถิติให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่แฟนบอลไก่เดือยทองก็ต่างยอมรับและชื่นชมตัวมิดฟิลด์แดนกลางคนใหม่ที่มาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของทีม นับตั้งแต่ คริสเตียน อิริกเซน (Christian Eriksen) ออกจากทีม คือการเป็นมิดฟิลด์ที่มีไหวพริบ ฉลาด และเคลื่อนตัวในเกมรุกได้อย่างอิสระ 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สเปอร์สฝากแดนกลางไว้กับ ปิแอร์-เอมิล ฮอยจ์เบิร์ก (Pierre-Emile Højbjerg) มาตลอด โดยจะมีกองกลางมากหน้าหลายตามาร่วมเล่นกับเขา แต่ก็ยังไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระทั้งในเกมรับและรุกร่วมกับนักเตะเดนมาร์กคนนี้ได้เลย 

จนเมื่อเบนทานกูร์เข้ามาเป็นคู่หูในแดนกลาง คอยปัดกวาดจังหวะแดนกลางเล็กน้อย ทั้งการแก้เพรสซิงช่วยเคลื่อนบอลสู่แดนหน้า หรือยืนตำแหน่งแทนตัวฮอยจ์เบิร์กเองในบางเวลา ทำให้เกมในแดนกลางของสเปอร์สแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

แฮร์รี เคน จอมแอสซิสต์คนใหม่ 

ในช่วงต้นฤดูกาล 2021-2022 ถือว่าเป็นการออกสตาร์ทที่ผิดฟอร์มของแฮร์รี เคน เป็นอย่างมาก ทั้งสถิติการยิงต่ำกว่ามาตรฐาน รวมถึงฟอร์มการเล่นชนิดที่ว่าหายไปทั้งเกม และบอลมาไม่ถึงในหลายนัด 

แต่หลังจากคอนเตเข้ามาคุมทีม ทำการเปลี่ยนแผนเกมรุกให้ขึ้นจากแดนหลัง จ่ายบอลให้แม่นยำ เป็นระบบ ไม่พึ่งความสามารถของนักเตะจนเกินไป ทำให้บอลมาถึงแดนหน้าของสเปอร์สมากขึ้น เคนก็เริ่มกลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ในฐานะกองหน้าคอยถลุงประตูอีกต่อไป แต่กลับเป็นนักเตะเท้าชั่งทอง จ่ายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมทำประตูได้บ่อยครั้ง 

ด้วยระบบทีมที่วิงแบ็กเติมขึ้นสูง รวมไปถึงนักเตะเกมรุกของทีมหลายคนมีความเร็วค่อนข้างสูง โดยเฉพาะ ซน ฮึง-มิน และลูคัส มูรา เราจึงเห็นแฮร์รี เคน ถอยลงมายืนตำแหน่งต่ำลง เป็นตัวชงให้เพื่อนขึ้นไปทำเกมแทน 

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสเปอร์สคือทีมที่เล่นเกมรุกสไตล์สวนกลับ (Counter Attack) ได้อันตราย การถอยลงมาต่ำของเคน จึงเป็นการดึงกองหลังทีมตรงข้ามให้ดันสูงขึ้น เพื่อตามประกบเขา และเปิดช่องให้เหล่านักเตะความเร็วสูงทั้งหลาย วิ่งฉีกไลน์ล้ำหน้าเข้าไปทำประตู ผ่านการออกบอลจากแดนกลางของเขา อย่างเช่นในนัดที่ สเปอร์ส บุกเอาชนะ แอสตันวิลลา 4 ประตูต่อ 0 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จึงทำให้ปัจจุบันดาวซัลโวของทีมไม่ได้อยู่ที่แฮร์รี เคน แต่กลับเป็น ซน ฮึง-มิน ปีกความเร็วสูงที่ยิงไปแล้ว 17 ประตู โดยแฮร์รี เคน มีสถิติยิงไปแล้วทั้งหมด 12 ประตู และจ่ายบอลให้เพื่อนยิงประตู 8 ลูก ในฤดูกาลนี้ 

ลิงก์ https://www.youtube.com/watch?v=Fp2kVQUCajA&ab_channel=TrueVisionsOfficial

“เราทำงานกันอย่างหนักในช่วง 5 เกมแรก ตอนนี้ผมเริ่มเห็นการพัฒนาทีมของผมอย่างมากในหลายด้าน ไม่เพียงแต่ในสนาม แต่ยังรวมถึงภายนอกสนามและสภาพจิตใจด้วย ผมคิดว่าเรากำลังเตรียมที่จะก้าวไปอีกขั้น และมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะจบฤดูกาลด้วยจุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นในงานที่เราทำต่อไป” 

อันโตนิโอ คอนเต กล่าวถึงผลงานของสเปอร์สนับตั้งแต่เขาเข้ามารับตำแหน่ง โดยถือเป็นเรื่องที่น่าพอใจ โดยเฉพาะพัฒนาการของนักเตะทั้งในและนอกสนาม รวมไปถึงระบบนิเวศของทีมที่ดีขึ้นเป็นระยะ 

ต้องรอดูกันต่อไปว่า ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่จะถึง จะมีการขยับนักเตะในทีมอย่างไร จะมีผู้เล่นคนไหนออกและเข้ามาเสริมทัพ รวมไปถึงแผนการเล่นภายใต้การคุมทีมของยอดโค้ชคนนี้ จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์แฟนบอลไก่เดือยทองได้อีกบ้าง

 

Tags: , ,