“เหนื่อยฉิบหาย เหนื่อยจนอยากจะหนีหายไปให้พ้นๆ ที่ไหนก็ได้ ยิ่งไกลยิ่งดี”
นับตั้งแต่เข้าศักราชใหม่เพียง 2 เดือน ผมพร่ำบ่นประโยคข้างต้นในใจนับครั้งไม่ถ้วน คงเพราะภาระหน้าที่การงาน สิ่งที่ต้องรับผิดชอบในฐานะเสาหลักของบ้าน ไหนจะปัญหาสารพันจุกจิกอีกมากมาย
พูดให้เห็นภาพคงคล้ายวิ่งในเกมมาราธอน แต่ดันกวดฝีเท้าสุดแรงตั้งแต่กิโลเมตรแรกจนพลังหมด ยิ่งวิ่งก็ยิ่งล้าจนตาพร่ามองไม่เห็นเส้นชัย ไหนจะมาตรวัด ‘ความสุข’ ของตัวเองในแต่ละวันที่เพิ่มพูนหรือลดต่ำลงตามความพึงพอใจของผู้อื่น หาใช่จากสำนึกคิดตัวเอง
ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีวิธีหลุดพ้นปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนเลือกสูดหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติเดินหน้าต่อ บางคนเลือกเดินหน้าชนกับปัญหาตรงหน้าชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทว่าสำหรับคนวัย 27 ย่าง 28 อย่างผมเลือกที่จะพักใจด้วยวิธีเรียบง่าย คือการหาหนังดูสักเรื่อง
เหตุผลประการแรกเพื่อหลบหนีจากความจริงชั่วครู่ และสอง ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อวันหยุดสุดล้ำค่าเวียนมาถึง ผมไม่รอช้าจองตั๋วเลือกหนังสักเรื่องด้วยวิธี ‘สุ่ม’ เนื้อหาจะสนุกตรงจริตหรือไม่นั้น คงไม่สำคัญเท่าได้เข้าไปเสพบรรยากาศ เบาะเอนดีๆ แอร์เย็นฉ่ำตลอด 2 ชั่วโมงให้สบายอุรา เท่านี้ก็มากพอแล้ว
หนังที่ผมเลือกสุ่มดูวันนั้นมีชื่อว่า ‘Perfect Days’ เป็นผลงานการกำกับของ วิม เวนเดอร์ส (Wim Wenders) ความยาว 2 ชั่วโมง 3 นาที นำแสดงโดย โคจิ ยาคุโช (Koji Yakusho)
เนื้อหาคร่าวๆ ของ Perfect Days เล่าถึงชีวิตประจำวันของพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะวัยกลางคนรายหนึ่ง ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีบทพูดดราม่าเหยียดยาว หรือจุดพลิกผันตามสไตล์หนังทำเงิน มีแต่ภาพวิถีชีวิตวนลูปของตัวละคร เริ่มต้้งแต่ตื่นเช้าตรู่ไปทำงาน เที่ยงพักกินอาหารใต้ต้นไม้ บ่ายแก่ๆ แวะอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ ตกเย็นปั่นจักรยานคู่ใจไปกินข้าวเย็น เสร็จกลับบ้านนอน เรื่องทั้งหมดถูกเล่าด้วยสไตล์เนิบนาบเสียจนแอบหาวเป็นช่วงๆ
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หนังในดวงใจที่ผมอยากดูซ้ำสอง ทว่ากลับมีประโยคหนึ่งที่ตัวละครเอกเอ่ยขึ้นมาระหว่างคุยกับหลานสาว ประโยคนั้นเอ่ยว่า
“วันหลังก็คือวันหลัง วันนี้ก็คือวันนี้”
หลังดูจบ ค่ำคืนนั้นผมกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกชอบกล พลางนั่งคิดพิจารณาประโยคดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเกิดตกตะกอนความคิดก่อนอุทานกับตัวเองในใจว่า “เออจริงว่ะ”
ที่ต้องบอกแบบนั้นเพราะดูเหมือนที่ผ่านมาผมมัวแต่คิดถึงความสำเร็จในอนาคต ตะบี้ตะบันทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อสร้างฐานะ สร้างชื่อเสียง สร้างความมั่นใจให้คนรอบข้างยอมรับ แต่กลับลืมถึง ‘ความสุข’ เรียบง่ายที่เคยเผชิญอยู่ทุกวัน
สุขเมื่อเบิกตาพบท้องฟ้ายามเช้าแจ่มใส สุขเมื่อผ้าที่ตากไว้แห้งสนิทส่งกลิ่มหอมละมุน สุขเมื่อได้รับรอยยิ้มแสดงมิตรไมตรีจากป้าร้านขายข้าวเจ้าประจำ รอยยิ้มจากคนแปลกหน้าที่เดินสวนกัน และที่สำคัญคือกอดอบอุ่นจากพ่อและแม่ที่เฝ้าคอยลูกชายกลับบ้าน ขอสารภาพตามตรงว่า พักหลังผมเผลอหมางเมินพวกท่าน ทั้งที่ชายหญิงคู่นี้ใบหน้าเริ่มเหี่ยวย่น ผมเปลี่ยนเป็นสีดอกเลาแทบทั้งหัว อันเป็นสัญญาณนับถอยหลังสังขารตามธรรมชาติ
ทำไมหนอถึงลืมความสุขของตัวเองวันนี้ ลืมความรัก ความหวังดีจากคนใกล้ชิดเสียหมด แต่กลับหวังความสุขในวันข้างหน้าจากใครก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าจะมีใครหยิบยื่นให้จริงหรือเปล่า
มันทำให้ผมเข้าใจบริบทของตัวละครที่ยาคุโชสวมบทว่า แม้จะไร้ชีวิตโลดโผน ไร้ชื่อเสียงโด่งดัง หรือมีหน้าที่การงานใหญ่โต แต่กลับมีความสุขยิ้มกว้างให้กับเรื่องเล็กน้อยที่เจอในแต่ละวัน เพราะสุดท้ายเขารู้ว่า ความสุขที่เขาถวิลหาช่างเป็นความสุขที่เรียบง่าย เป็นความสุขที่พบเจอได้ทุกวันแม้ไม่มีอะไรพิเศษ
ผ่านค่ำคืนนั้น ราวกับผมเริ่มสัมผัสกับคำว่า ‘วันที่ดี’ ที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง เริ่มเห็นสิ่งต่างๆ สิ่งสำคัญในชีวิตที่เคยหมางเมิน เพราะมัวแต่เฝ้ามองรอวันที่ดี ที่ยังไม่แน่นอนในอนาคต
ขณะเดียวกัน ผมยังนึกถึงคำสอนที่เคยอ่านเจอของธรรมาจารย์ชาวทิเบต เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ที่กล่าวว่า “สัมปชัญญะก็เหมือนกับลม เพียงแค่เปิดประตูหน้าต่างลมก็พัดเข้ามา”
เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่า ที่ผ่านมาผมเลือกปิดหน้าต่างจิตใจทุกบานเพื่อวิ่งตามทิฐิ แต่เมื่อเปิดหน้าต่างคล้ายเป็นการวางทิฐิลง ก็พบกับความสุขตรงหน้าโดยไม่ต้องไขว่คว้าให้เสียเวลา
ผมเชื่อว่ามีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียว หรือคนเจเนอเรชันใหม่ที่กำลังเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน เมื่อเรายังต้องวิ่งตามโลกที่ดำเนินด้วยทุนนิยม ชื่อเสียง และเกียรติยศ
จริงอยู่ว่าการทะเยอทะยานตามความฝัน หรือมีเป้าหมายในชีวิตไม่ใช่เรื่องผิด มิหนำซ้ำกลับเป็นเรื่องที่ควรพึงมี อย่างไรก็ดี ระหว่างทางก่อนจะไปถึงวันนั้น หากลองแวะมองรอบข้างสักนิด วิ่งช้าลงบ้างสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย
เผื่อจะเห็นความสุขที่เคยทำตกหล่นระหว่างทาง และวิ่งไปบนเส้นทางแห่งความสุขที่สามารถพบเจอได้ในทุกๆ วัน และเก็บเกี่ยวความสุขนี้มากพอก่อนจะไปถึงเส้นชัย
นี่คือสารจากฉันถึงฉันในอนาคต และอาจเป็นสารปลอบโยนถึงคุณเพื่อนมนุษย์ที่แสนดี
Tags: ชีวิต, From The Desk, perfect days, Message From Me