หัวขาวสามด้านคล้ายทรงผมนักเรียน  สวมเสื้อนักโทษเขียนข้างหลังว่า ‘แดน 4’ ตลอดระยะเวลาของการสืบพยานใช้สรรพนามคำว่า ‘หนู’ แทนตัวเอง และมักจบประโยคหรือโต้ตอบศาล หรือทนายความด้วยคำว่า ‘ค่ะ’ เสมอ 

เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา เรามีโอกาสเข้าไปฟังการสืบพยานคดีอาญามาตรา 112  ร่วมกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน กรณีการถ่ายคลิปโฆษณาลาซาด้า 5.5 ของ นารา-อนิวัต ประทุมถิ่น หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อนาราเครปกะเทย คดีนี้เธอถูกฟ้องร่วมกับ หนูรัตน์-ธิดาพร ชาวคูเวียง และมัมดิว – กิตติคุณ ธรรมกิติราษฎร์ เมื่อปี 2565 

“หนูไม่มีปัญหากับการถูกขังคุกผู้ชาย แต่หนูขอได้ไหม ให้หนูหลงเหลืออะไรที่มีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง” นาราพูด

ภาพที่ฉายชัดในห้องพิจารณา ช่างขัดกับภาพจำ ‘นารา’ ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างมาก จากผู้หญิงสวยผมยาวดูแลตนเองเสมอ ขณะนี้ถูกตัดผมสั้นคล้ายทรงนักเรียน ในช่วงพักของการสืบพยาน เรามีโอกาสนั่งคุยกับเธอสั้นๆ โดยเธอเล่าชีวิตในเรือนจำตลอดระยะเวลา 7 เดือนให้ฟังว่า ทุกคนถูกบังคับให้ตัดผมสั้นทั้งหมด โดยเฉพาะ ‘กะเทย’ หรือสาวประเภทสองจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เช่นการโดนตัดผมสั้นมากกว่าคนทั่วไป

“เจ้าหน้าที่เดินมาบอกเราว่า สะใจที่กะเทยโดนตัดผม และเรียกเรากลับมาตัดผมอีกรอบ จากนั้นก็ไถผมจนเกรียน โดนไถจนหัวขาว ตอนนี้ยาวมาบ้างแล้วค่ะ สาวประเภทสองก็จะโดนแบบนี้ทุกคน”

แม้นาราจะบอกว่าผมเธอยาวมาบ้างแล้ว แต่สำหรับเรายังสั้นมากอยู่ดี สั้นในที่นี่คือสามารถมองเห็นหนังศีรษะที่ขาวของเธออย่างชัดเจน ทั้งที่ก่อนหน้านี้นาราเคยมีผมตรงยาวสลวย ภายหลังโดนตัดผมเธอมักถูกคนในเรือนจำล้อเลียนว่า “ไอ้ลูกผู้ชาย” “หน้าตาเหมือนผู้ชายว่ะ” หรือ “ไอ้สายเหลือง” 

“ผมมันไม่ได้ฆ่าใคร ผมมันไม่ได้อันตราย ผมมันคือสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับกะเทย” นารากล่าวย้ำ

หากมองให้ดี ใบหน้าของเธอยังถูกแต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอาง ที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น จากชมรม To Be Number One ซึ่งมีอยู่น้อยนิด ดังนั้นนาราจะแต่งหน้าในวันที่สำคัญเท่านั้น เพื่อให้เธอมีความมั่นใจ และคงความเป็นตัวเองอยู่เฉกเช่นวันนี้ ที่ต้องเดินทางมาขึ้นศาล

นอกจากโซ่ตรวนที่ยึดเท้าเธออยู่ อีกสิ่งที่สะดุดตาเรามากคือเล็บเท้าสีแดงสด ซึ่งไม่ใช่สีทาเล็บ แต่เป็นสีทาผนังที่เรือนจำใช้ซ่อมแซมพระพิฆเนศ

“หนูเห็นเล็บหนูไม่สวย มันเริ่มดำ ก็เลยเอาสีแดงมาทาให้มันสวยขึ้นหน่อยค่ะ”

หากพูดกันตามตรง นาราคือผู้หญิงคนหนึ่ง แม้เธอจะไม่ได้แปลงเพศ จนทำให้เธอไม่ได้รับการเทก ‘ยาคุมกำเนิด’ หรือ ‘ฮอร์โมนผู้หญิง’ ตามข้อกำหนดของกรมราชทัณฑ์ที่คนแปลงเพศเท่านั้นจึงจะได้รับสิทธิในการรับยา และต้องมีใบรับรองแพทย์ แม้ว่าเธอจะผ่านการศัลยกรรมหน้าอกแล้วก็ตาม

“หนูมีนมใช่ไหม ที่เรือนจำไม่มีเกาะอก ไม่มีชุดชั้นใน ไม่มีที่ปิดจุก แล้วเข้าใจใช่ไหม เสื้อมันบาง หัวนมมันก็ชี้ เวลาผู้ต้องขังคนอื่นเดินผ่านอยากจะจับของเราเมื่อไรก็จับ มันก็เกิดการคุกคามทางเพศขึ้น”

แม้การทำผิดกฎหมายสมควรได้รับโทษตามกฎหมาย แต่ในฐานะความเป็นคน สิทธิความเป็นมนุษย์นั้นไม่ควรถูกลิดรอนหรือละเมิดสิทธิ สังคมส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญเพียงแค่ 2 เพศ นั่นคือเพศชายและเพศหญิง โดยเฉพาะเรือนจำไทยที่ยังติดหล่มกรอบของเพศอยู่

นอกจากคดีอาญามาตรา 112 นารายังทำผิดคดีฉ้อโกง ซึ่งแน่นอนว่าเธอสมควรได้รับโทษ แต่ในฐานะความเป็นมนุษย์ เธอไม่ควรถูกกดขี่หรือถูกเหยียบย่ำ เมื่อทำผิดก็ควรได้รับการลงโทษตามกฎหมาย อย่างที่นาราบอกกับเราว่า “หนูก็เป็นผู้หญิง ให้หนูหลงเหลือความเป็นผู้หญิงไว้บ้าง” 

เราเชื่อว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเคส ที่สมควรนำไปถกเถียงและหาทางออกให้ผู้หญิงข้ามเพศในอนาคต เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สมควรถูกกดขี่และลดทอนความเป็นตนเอง อย่างนาราที่ถูกลดทอนความเป็นผู้หญิง

“เส้นผมมันไม่ได้ฆ่าใคร มันไม่ได้อันตราย”

การแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางที่มีน้อยนิด ทาสีเล็บเท้าด้วยสีทาบ้าน 

เหล่านี้เพียงให้เธอย้ำเตือนตัวเองว่า เธอไม่ได้เป็นใครอื่น เธอยังเป็นผู้หญิง และเธอยังอยากเป็นตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางการกดขี่ ลิดรอนสิทธิความเป็นหญิงออกไปจากตัวเธอ

Tags: , , , ,