ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์เฉพาะตัวของป่าคำชะโนดที่ลอยอยู่กลางน้ำ สถานที่ที่หลายสรรพสิ่งหยั่งรากฐานมั่นคง วางสิ่งปลูกสร้าง และสามารถรองรับคณะศรัทธาจากทุกหัวระแหงวันละหลายหมื่นคนได้ 

ทว่าป่าคำชะโนดกลับไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานหินหรือดินแกร่ง หากเกิดขึ้นจากกลุ่มกอของต้นคำชะโนดและไม้ลอยน้ำที่รากเกาะเกี่ยวประสานจนกลายเป็นผืนดินธรรมชาติค้ำจุนเกาะแห่งนี้ จนถูกขนานนามว่า เป็นเกาะที่ไม่เคยจม แม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะมีน้ำท่วมอยู่แทบทุกปีก็ตาม

เพียงฟังลักษณะเฉพาะตัวของพื้นที่ ก็คงกล่าวได้ไม่ยากนักว่า ‘ป่าคำชะโนด’ มีลักษณะพิเศษหรือ ‘วิเศษ’ ไม่เหมือนกับที่แห่งใดในประเทศ มากไปกว่านั้นเกาะแห่งนี้ยังมีเรื่องราวตำนาน ความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคและสิ่งเหนือธรรมชาติไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าผีจ้างหนัง ตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าปู่ศรีสุทโธและเจ้าย่าศรีปทุมมา พญานาคผู้ปกครองดูแลป่าคำชะโนด และการเป็นหนึ่งในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ 108 แห่งทั่วประเทศไทยที่ใช้ในงานพระบรมราชาภิเษก เมื่อปี 2562 

จากความวิเศษและศักดิ์สิทธิ์ข้างต้น จึงดึงดูดให้คณะศรัทธาทั่วสารทิศเดินทางมาเกาะลอยน้ำแห่งนี้ จนทำให้จังหวัดอุดรธานีมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จากเดิมในปี 2564 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 950,105 คน ขณะที่ปี 2565 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 2,826,371 คน 

จำนวนผู้มาเยือนที่หลั่งไหลล้วนมาพร้อมกับเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู ขนาดที่จังหวัดอุดรธานีได้เปลี่ยนคำขวัญใหม่เป็น “กรมหลวงประจักษ์สร้างเมือง ลือเลื่องแหล่งธรรมะ อารยธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหมี่ขิด ธรรมชาติเนรมิตทะเลบัวแดง แรงศรัทธาศรีสุทโธปทุมมาคำชะโนด”

โดยเพิ่มคำว่า “แรงศรัทธาศรีสุทโธปทุมมาคำชะโนด” ต่อท้าย ส่วนเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามานั้น ผู้อ่านอาจพอจินตนาการกันได้เองว่า มากมายมหาศาลแค่ไหน 

แต่คำถามสำคัญคือ เศรษฐกิจ เงิน รายได้เหล่านี้ กลับคืนสู่ท้องถิ่น และคนในชุมชนหรือไม่ เพราะหากไม่ตกคืนสู่คนในท้องที่ แล้วใครกันที่ได้รับผลประโยชน์ จากการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ ที่มาจากพลังศรัทธาของคนนับแสนนับล้าน

[1]

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบโชคหรือมนุษย์สร้างเอง

“ผมมีทั้งความเชื่อและไม่เชื่อในป่าคำชะโนด ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะปกป้อง คุ้มครองรักษา แต่ความไม่เชื่อของผมก็คือ ทำไมชาวบ้านถึงยังจนอยู่ ยังต้องเก็บขยะอยู่ ต้องเป็นผู้รักษาความปลอดภัยอยู่ ทำไมคนภายนอกมากราบไหว้ถึงถูกหวยเป็นล้านๆ บาท แต่คนที่อยู่ในพื้นที่จริงๆ กลับไม่ได้อะไรเลย”

นับตั้งแต่บทสนทนาระหว่างเรากับ ส้มผัก-สุรสิทธิ์ มั่นคง ศิลปินจากอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เกิดขึ้น ‘ป่าคำชะโนด’ ก็กลายเป็นหมุดหมายหนึ่งที่ปรารภไว้ว่าจะไปเยือน ทั้งเหตุผลส่วนตัวอย่างหวย และความใคร่รู้ใคร่สงสัยหลังได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับวังนาคินทร์แห่งนี้มานาน

คำชะโนดตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลจากตัวเมือง ไกลทั้งในแง่ระยะทาง ความคิด และความรู้สึก เพราะยิ่งค่ำเส้นทางการเดินทางไปคำชะโนดก็ยิ่งมืด มืดในชนิดที่ว่า แทบไม่เห็นสิ่งอื่นนอกจากความมืดรายทาง และมีไฟถนนเพียงบางจุดเท่านั้น

คำชะโนดในตอนกลางคืนและตอนกลางวัน แม้เป็นสถานที่เดียวกันแต่กลับแตกต่างกันอย่างลิบลับ เพราะยิ่งตกดึกก็ยิ่งเงียบงัน บรรยากาศทุกอย่างยิ่งช่วยให้เราจินตนาการถึงเรื่องลี้ลับได้ไม่ยาก ในขณะที่ตอนกลางวันกลับรู้สึกครึกครื้นเต็มไปด้วยทั้งนักท่องเที่ยว และแผงขายของ เช่น พานบายศรีที่มีเอกลักษณ์เป็นพญานาคเรียงขายตั้งแต่ปากทางเข้าวัดไปจนถึงในวัด

“ป้าเอาโชคมาให้”

“แวะมาดูหน่อยน้อง โชคทั้งนั้น”

ทั้งพานบายศรีและเสียงเรียกเป็นระยะ เป็นเครื่องการันตีได้ว่า เราได้เดินทางมาถึงคำชะโนดแล้ว 

เนื่องจากป่าคำชะโนดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มากราบไหว้ขอพรต้องถอดรองเท้าและหมวก ก่อนเดินข้ามสะพานพญานาค 7 เศียร ที่มีความเชื่อว่า เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกบาดาลกับโลกมนุษย์ ระยะทางตลอดการเดินเท้าเข้าไปผู้คนมักถือหมากพลูและบายศรีเพื่อนำไปกราบไหว้ บ้างมาพร้อมกับบายศรีพญานาค 9 เศียร หรือบายศรีมีรูปร่างเป็นคำว่า ‘รวย’ ที่ต้องใช้ 2 คนช่วยประคอง หรือจะเลือกซื้อตามจุดประสงค์ของแต่ละบายศรี เช่น เปิดทรัพย์ ขอโชคลาภ หรือขอการงาน 

บริเวณหน้าศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธและเจ้าย่าปทุมมา มีเจ้าหน้าที่ประกาศออกไมโครโฟนเป็นระยะ ช่วยบอกวิธีการไหว้ ขอพร และข้อปฏิบัติต่างๆ เช่น ห้ามจุดธูปเทียนและเตือนว่า “ใครที่ไม่มีพานบายศรีสามารถนำเงินไปหย่อนที่ตู้บริจาคได้”

แม้ว่าในพื้นที่ของวังนาคินทร์ จะมีข้อกำหนดว่า ‘ห้ามขูดและงดโรยแป้ง’ แต่ตลอดทางที่เดินวนรอบป่าคำชะโนดก็พบต้นไม้ถูกโรยแป้ง ขูดหาเลข และผู้มีศรัทธาอีกหลายคนได้มาสาธิตแชร์วิธีการขูดดูหวยว่าทำอย่างไร และต้องใช้ไฟฉายส่องถึงจะมองเห็นเลข ขณะที่ต้นคำชะโนดอีกหลายต้นมีเลขปรากฏคล้ายกับว่า ต้นไม้เหล่านี้ถูกของมีคมขีดเขียนขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ 

[2]
มีเงินเป็นล้าน บ้านเป็นหลัง เพราะพ่อปู่

พานบายศรีพญานาคที่มีคำว่า ‘รวย’ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง และตามด้วยบายศรีน้อยใหญ่และพานใส่ของแก้บนอีกนับไม่ถ้วน โดยมีพ่อจ้ำ (ผู้อาวุโสที่ชาวบ้านเชื่อว่า สามารถติดต่อสื่อสารกับดวงวิญญาณได้) ยืนอยู่ข้างหน้ากำลังทำพิธี นับเป็นโชคดีของเราที่การมาเยือนป่าคำชะโนดครั้งแรกก็ได้เห็นการแก้บนรำบวงสรวงใหญ่ที่ใช้นางรำถึง 99 คน 

คณะนางรำที่แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนนาคี-นาคา มีอยู่ประมาณหลักสิบคน นอกเหนือจากนั้นเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาและผู้สูงอายุในชุมชนละแวก ที่มารับงานรำเป็นอาชีพเสริม แลกรายได้ครั้งละประมาณ 200-300 บาท 

ประเมินด้วยสายตาแล้ว ค่าใช้จ่ายการบวงสรวงครั้งนี้คงไม่ต่ำกว่าหลักแสน แว่วมาจากพี่ๆ นางรำขณะรอทำการแสดงว่า “ตอนที่โรคโควิด-19 ระบาด และคำชะโนดปิดไม่ให้เข้า เจ้าของงานบวงสรวงเขามายกมือไหว้ด้านหลังป่าขอให้พ้นวิกฤต ปีนั้นได้เงินมาล้านบาท ส่วนปีนี้ได้ต่ำๆ 10 ล้าน เลยกลับมาบวงสรวงอีก”

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพื้นที่บวงสรวงและทางเข้าสู่วังนาคินทร์ มีโต๊ะเจ้าหน้าที่เรียงรายอยู่ 3-4 โต๊ะ เป็นจุดที่ให้นักท่องเที่ยวสายมูเตลู หรือการท่องเที่ยวเชิงศรัทธามาใช้บริการจองนางรำ ติดต่อออร์แกไนซ์จัดโต๊ะบวงสรวง และพ่อจ้ำมาทำพิธีได้ที่โต๊ะแห่งนี้ โดยทางการจะจัดหาและเตรียมบริการไว้ให้ทุกอย่าง โดยคณะผู้ศรัทธามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือจ่ายเงิน

“ผมว่าคนแถวบ้านโนนเมือง ต้องขอบคุณพ่อปู่มากๆ เมื่อก่อนที่นี่มีแต่บ้านมุงหญ้า เดี๋ยวนี้มีรถฟอร์จูนเนอร์ มีร้านใหญ่ มีเงินเป็นล้าน มีบ้านหลังเป็นล้าน เพราะพ่อปู่ เพราะมีนักท่องเที่ยวมาซื้อบายศรีเยอะ ถ้าทำบวงสรวงแต่ละครั้งก็หลักแสนแล้วใช่ไหม คนแถวนี้มีแต่คนมีสตางค์ทั้งนั้น” วินัย ศรีชนะ เจ้าหน้าที่ประจำคำชะโนด กล่าว

ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าในปี 2567 พบว่า ธุรกิจความเชื่อ หมอดู ฮวงจุ้ย และสายมูเตลู ทั่วประเทศ มีเงินสะพัดราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท 

[3]
จากบายศรีถึงบวงสรวง

“สิ่งหนึ่งที่พวกเราเฝ้าระวังมาตลอดคือ การไม่ให้นายทุนเข้ามาเทกโอเวอร์ เพราะศักยภาพเราจะไปสู้อะไรเขาได้ เขาผลิตทีละเยอะได้ หรือง่ายๆ เขามีสตางค์ พวกเราใช้แค่กฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันโดยให้ความสำคัญในการกระจายรายได้ โดยมีเงื่อนไขคือต้องเป็นสมาชิกในชุมชน และต้องมีส่วนร่วมในการดูแล เช่น ร่วมพัฒนาหมู่บ้าน งานประเพณีต่างๆ จะต้องมีส่วนร่วม” สมหวัง โมลา กรรมการวัดศิริสุทโธ กล่าว

ฟังแล้วเหมือนเป็นโมเดลในฝัน ที่อยากให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยมีวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็ง มีสหกรณ์ชุมชน และมีเงินสำรอง ผ่านเงื่อนไขช่วยกันพัฒนาดูแลพื้นที่ แต่ความเข้มแข็งของคนในชุมชนกลับเริ่มสั่นคลอนมากขึ้น สวนทางกับความดังของป่าคำชะโนดที่กลายเป็นพื้นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศ

“ตอนนี้มีสิ่งที่เรากังวลเยอะ ที่เราเรียกว่าเป็นการแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐ คือคุณอาจจะมองเห็นนะว่ามาจากฝ่ายปกครอง”

“เขาแทรกแซงอย่างไร” เราถาม

“อย่างเช่น กิจกรรมบวงสรวง เมื่อก่อนเป็นสิ่งที่ชุมชนเราดูแล คือฝ่ายปกครองคุณมีหน้าที่เข้ามาดูความเรียบร้อย นั่นเป็นหน้าที่ของท่านที่พวกเราต้องพึ่งพา แต่ทุกวันนี้เขากลับพาพวกพ้องมาทำงานแข่งกับเรา”

สมหวังอธิบายต่อว่า อย่างงานบวงสรวงนางรำ 99 คน ที่เราเห็นไปเมื่อตอนเช้า ก็มาจากร้านที่รับจัดบวงสรวง ซึ่งเมื่อก่อนทางวิสาหกิจชุมชนจะทำบายศรีให้ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นนายทุนมาผูกขาด รับทำตั้งแต่บายศรีและจัดหาพ่อจ้ำ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐทำงานอยู่ส่วนหน้า 

“เราเคยถามพวกเขาว่า ท่านมาทำอยู่ตรงนี้ แล้วไม่สนับสนุนคนในพื้นที่ ท่านทำไปทำไม เขาก็บอกว่าเป็นสิทธิของเขา เขาหามาได้เขาก็ทำ แต่ที่พวกเรารู้สึกคือมันควรจะเข้าชุมชน กิจกรรมมันเริ่มจากชาวบ้าน แต่พวกคุณมาใช้อำนาจโดยใช้คำว่ามาดูแล แต่คำว่าดูแลของพวกคุณ คุณกลับพยายามตัดตลาด จนตอนนี้ชาวบ้านไม่ได้ทำบวงสรวงแล้ว”

[4]

ชุมชน ส่วนกลาง และความไว้เนื้อเชื่อใจ

เมื่อปี 2566 คำชะโนด ตกเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง ที่ไม่ใช่เรื่องคนได้โชคลาภหรือหวยราคาแพงแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่หนึ่งในคณะกรรมการนับเงินขโมยเงินจากตู้บริจาคในพื้นที่วังนาคินทร์ โดยมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอขณะนับเงินบริจาค

ในข่าว พงษ์ศักดิ์ ศรีชนะ กำนันตำบลบ้านม่วง และผู้จัดการคำชะโนด ให้สัมภาษณ์ว่า มีการขโมยเงินจริงและมีการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว คนร้ายเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหนึ่งในตำบลบ้านม่วงที่ถูกแต่งตั้งมาเป็นกรรมการคำชะโนด มีหน้าที่นับเงินบริจาคในตู้ ที่อ้างว่ายักยอกเงินไปเพียง 600 บาทเท่านั้น และทำเพียงคนเดียว

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านอยากกลับเข้ามาบริหารเงินคำชะโนดเอง เพราะหลังจากมีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ส่วนกลางเข้ามาช่วยจัดสรรและดูแล

แต่ครั้งนั้น กำนันตำบลบ้านม่วงให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ ณ ขณะนั้น ทางทหารและทางจังหวัดลงมาแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นผู้ใหญ่บ้านในตำบลบ้านม่วงให้มาดูแล หลังจากคำชะโนดมีเงินสะพัดในพื้นที่ 30-40 ล้านบาท ซึ่งการเข้ามาของคณะกรรมการช่วยให้คำชะโนดมีการบริหารและการจัดระเบียบที่มากขึ้น 

“ผมไม่เข้าใจว่าชาวบ้านจะเอาอะไรอีก สถานที่ขายพานบายศรีหน้าเกาะคำชะโนดก็เป็นของชาวบ้านโนนเมืองเท่านั้น รวมทั้งร้านค้า สถานที่ขายปลา และรวมทั้งวัดศิริสุทโธก็ให้หมดแล้ว หมู่บ้านอื่นไม่ได้มายุ่งเลย 

“ตอนนี้ที่คณะกรรมการคำชะโนดชุดปัจจุบันยังไม่ได้ให้คือ ตู้บริจาคในเกาะคำชะโนด ทางชาวบ้านคงอยากมาบริหารเอง แต่ต้องยอมรับว่า คำชะโนดมีปัญหาก็แก้ไปทีละอย่าง คณะกรรมการชุดปัจจุบันเรามีการบริหารจัดการจนมีเงินกองกลางจำนวนมาก แต่หากเจ้าหน้าที่คนไหนไม่ดีเราก็ไล่ออก 

“หากจะให้ชาวบ้านมาบริหารกันเองรับรองไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ส่วนคลิปที่มีการปล่อยออกไป จะมีการประชุม แจ้งความกับคนปล่อยคลิปอีกครั้งหนึ่ง และการทำแบบนี้สร้างความแตกแยกในชุมชนคำชะโนดด้วย” เป็นคำพูดของพงษ์ศักดิ์เมื่อปี 2566 

แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 2 ปี แต่เหมือนว่าเรื่องราวยักยอกเงินครั้งนั้น ก็สร้างความบาดหมางและไม่ไว้เนื้อเชื่อใจตราบจนวันนี้ ในวันที่เรามีโอกาสได้คุยกับคนในชุมชน

สมหวังให้ข้อมูลว่า “ปกติคนที่ถือไมโครโฟนนำไหว้ต้องเป็นคนในชุมชน แต่มติของชุมชนเราให้ผู้ศรัทธาเขาไหว้กันเอง และปัจจัยที่อยากถวาย เราไม่แนะนำให้นำใส่พานบายศรี เพราะเรามองว่า พวกคุณ (ส่วนกลาง) จะสามารถเก็บเกี่ยวปัจจัยจัดเก็บได้ จึงให้ใส่ในตู้บริจาคเพราะมันเคยเป็นปัญหามาก่อน ความไว้ใจมันไม่มีแล้วนะครับ เพราะพวกคุณเคยเอาเงินไปส่วนหนึ่ง 

“ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยง และแนะนำให้ชาวบ้านนำปัจจัยใส่ตู้บริจาคเพื่อความบริสุทธิ์ใจ คนที่มาเขาจะใส่หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา ณ ตอนนี้พอเรามองเข้าไปในคำชะโนดมันกลายเป็นสถานที่ที่มีขั้นตอนเลยว่า คุณจะต้องเอาปัจจัยใส่บายศรี มันเลยเป็นเหมือนมุมมองว่า คนที่มาคำชะโนด ถ้ามีสตางค์ไม่ถึง 3,000 บาท มาไม่ได้”

 กรรมการวัดศิริสุทโธยังเปรียบเทียบต่อว่า เงินบริจาคที่ต้องนำใส่พานบายศรีที่เกิดขึ้น จึงเสมือนทางส่วนกลางกำลังเรียกเก็บค่าเข้าคำชะโนด แถมทำให้วิถีปฏิบัติต่างๆ ในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการรับบัตรคิว การบวงสรวง และการใช้ชีวิตทั่วไปของคนในพื้นที่ก็มีความเข้มงวดมากขึ้น 

“คำชะโนด มันกลายเป็นสถานที่เข้มงวด เหมือนสถานที่ท่องเที่ยว และใช่ วิถีชีวิตเราไม่เหลือแล้ว”

[5]

ชุมชนจะอยู่อย่างไร

“ถ้าเรามองตอนนี้มันรู้สึกคล้ายๆ กับว่า เขาพยายามทำลายร่องรอยของเรา ร่องรอยดั้งเดิมของเรา แล้วมันจะเหลือแค่ร่องรอยที่เขาสร้างขึ้นใหม่”

สมหวังอธิบายต่อว่า แต่เดิมชาวบ้านเคยเข้าออกพื้นที่คำชะโนดได้ตามปกติ เช่น การเดินทางมาสักการะหรือแก้บน แต่ปัจจุบันต้องแลกบัตรคิว เพื่อเข้ามาในสถานที่ที่เคยเป็นส่วนกลางของชุมชนมาก่อน นอกจากนี้วิถีการบวงสรวงก็ต่างไปจากเดิม แต่ก่อนพิธีกรรมต้องงดใช้เสียง เพื่อให้อยู่ในความสำรวม แต่ปัจจุบันมีการเปิดเพลง มีการใช้เอฟเฟกต์ประกอบการแสดง เช่น แสง สี และเสียง จนทำให้กลิ่นอายวิถีดั้งเดิมกำลังจะหายไป

“พวกเรามองว่า ความสำรวมมันหายไป กลิ่นอายดั้งเดิมที่ชุมชนสร้างมามันไม่เหลือ คือคุณต้องการแบบนี้ใช่ไหม สิ่งที่เห็นชัดเจนมากตอนนี้คือคนที่นำทำพิธีที่เรียกว่าพราหมณ์ หรือพ่อจ้ำปกติต้องเป็นคนในชุมชน คนในชุมชนไม่เรียกพ่อจ้ำ เราเรียกว่าเป็นผู้ทำพิธี ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกัน แต่ตอนนี้เป็นคนจากส่วนกลางทั้งหมด”

นอกจากปัญหาภายในที่เราทราบในพื้นที่แล้ว เมื่อกล่าวถึงคำชะโนดคงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘หวย’ ปัญหาที่พ่อค้าแม่ค้าเดินตามนักท่องเที่ยวให้ซื้อหวย และขายเกินราคาที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นชื่อเสียงอีกด้านที่ดังไม่แพ้กันเมื่อพูดถึงวังนาคินทร์แห่งนี้

“(กลุ่มคนขายหวย) ที่นั่งตามพื้น ไม่มีที่ขายเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ใช่คนบ้านดุง เราขายงานฝีมือเป็นหลัก ทำบายศรีอะไรแบบนี้ ส่วนมากหวยที่คนในหมู่บ้านขายก็มีเป็นร้านอยู่ตรงนั้น พวกเขาขายมานาน มาพร้อมกับบายศรี ที่ออกทีวีดังๆ วิ่งขายไม่เป็นระเบียบ มีเรื่องแย่ๆ มาจากคนที่อื่น” นันทนา แสนสุข กรรมการวิสาหกิจชุมชนคำชะโนด กล่าว

“ส่วนกลางเขาอ้างว่า เข้ามาจัดระเบียบมาดูแลบ้านเรา แต่ดูแลอย่างไรให้มันแย่กว่าเดิม ถามว่าแย่อย่างไร คุณเห็นข่าวไหมที่คนวิ่งไปขายลอตเตอรี่จนชื่อเสียงหายดังไปทั่วประเทศ คือเราพยายามผลักดันไม่ให้มี อย่างคนในชุมชน เราก็ให้ 10 คนที่เป็นคนดั้งเดิมมาขาย” 

สมหวังเสริมว่า อย่างพื้นที่ด้านหน้าก่อนขึ้นสะพานพญานาค 7 เศียร ทางชุมชนก็มีมติกันว่าไม่ให้ตั้งเต็นท์หรือร้านค้า เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีพื้นที่ 

เหตุผลหลักที่กรรมการวัดศิริสุทโธบอกกับเราว่า ทำไมชุมชนถึงเข้มแข็งและช่วยกันดูแลผลประโยชน์ นั่นเป็นเพราะชุมชนตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำ จึงมีการท่องเที่ยวเป็นอาชีพหลัก ซึ่งหากส่วนกลางพยายามมาตัดตอนเรื่องตลาดและรายได้ของชุมชน เขาก็ตั้งคำถามว่าแล้วชุมชนจะอยู่อย่างไร

[6]

ศรัทธาจะสามารถอยู่ยั่งยืนได้หรือไม่

ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ความขัดแย้งระหว่างวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กับส่วนกลาง ยังคงส่งผลจนถึงวันนี้ แม้ในวันที่เรามีโอกาสมาเยือนคำชะโนด พื้นที่ศรัทธานาคา ที่คนในพื้นที่เชื่อว่า ‘พ่อปู่ศรีสุทโธ’ จะคอยปกปักรักษาคุ้มครอง

แต่หากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากผลประโยชน์ที่ได้รับ พื้นที่สงบสุขรื่นรมย์ที่เป็นดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังจะเงียบสงบได้อีกนานหรือไม่ 

แน่นอนว่าความเชื่อเรื่องพญานาคได้สร้างงาน สร้างอาชีพที่อยู่ในสายพานการท่องเที่ยวเชิงนาคาวิถีมากมาย ตั้งแต่การทำบายศรีพญานาค หมากพลู การบวงสรวง นางรำ การแก้บน และการขายเสื้อยืดสกรีนรูปพญานาค ที่อาจส่งผลให้ GDP เศรษฐกิจเติบโตและทำเงินได้อย่างมหาศาล 

แต่เราจะทำอย่างไรให้เกิดการบริหารที่โปร่งใส จะจัดสรรทรัพยากร และกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจเชิงนาคาวิถีนี้อย่างไร ให้ไม่เหมือนการทำธุรกิจแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ไม่ใช่เพียงการกอบโกยหาผลประโยชน์ในพื้นที่ 

อีกโจทย์ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ‘ความยั่งยืน’ การท่องเที่ยวเชิงนาคาวิถีแน่นอนว่าสร้างเม็ดเงินมหาศาล แต่ขณะเดียวกันก็สร้างขยะที่มาจากการไว้ขอพรหรือ ‘ขยะศักดิ์สิทธิ์’ ที่มาจากความศรัทธาเช่นกัน 

มากไปจนถึงป่าคำชะโนดเป็นสถานที่ที่มีลักษณะพิเศษเป็นเกาะลอยน้ำ แต่เกาะลอยน้ำแห่งนี้หากในทุกปีมีสิ่งก่อสร้าง สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เกิดขึ้น รากฐานที่คอยพยุงให้ลอยเหนือพ้นน้ำ จะยังคงยืนหยัดได้อีกนานหรือไม่

คงเป็นคำถามที่เราคงเหลือเวลาในการหาคำตอบไม่มากนัก

Tags: , , , , , , , , , ,