เคยสงสัยไหมว่า ทำไมมนุษย์แม่ซักผ้าหอมกว่าเราเสมอ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเก็บผ้าที่ตากไว้มาดมแล้วรู้สึกเซ็ง เพราะผ้าที่ซักเองไม่หอมเท่าแม่ซักให้ นี่เป็นปัญหาโลกแตกที่ลูกๆ หลายคนคงเคยเจอ เพราะไม่ว่าจะใช้ผงซักฟอก น้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่มเหมือนแม่ทุกอย่าง แต่ผ้าก็ไม่หอมฟุ้งเหมือนที่แม่ทำ จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หรือจริงๆ แล้วแม่มีพลังวิเศษ หรือเวทมนตร์คาถาที่ร่ายลงไปบนเสื้อผ้าให้กลิ่นหอมติดตรึงหรือเปล่า

และเมื่อเกิดความสงสัยเช่นนี้แล้ว คงจะดีไม่น้อยหากเราได้ลองสังเกตขั้นตอนการซักผ้าของแม่อย่างจริงจัง เพื่อไขปริศนาว่าเพราะอะไรแม่ถึงซักผ้าหอมกว่าเราเป็นกอง แต่สำหรับลูกที่อยากท้าทายตัวเอง อยากลองซักผ้าเองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามว่าแม่ทำอย่างไร วิธีการที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะช่วยปลดล็อกทักษะการซักให้ผ้าหอมเหมือนแม่ซักให้อย่างแน่นอน

ตรวจสอบปริมาณ

หากใครจำได้ว่า ในหนังสือเรียนวิชาการงานอาชีพเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขั้นตอนแรกของการซักผ้าก็คือการแยกสีกับผ้าขาวออกจากกัน ทว่าสิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ ปริมาณของเสื้อผ้าที่มากเกินไป จนทำให้เกิดการเบียดอัดกันในถัง เมื่อใส่น้ำยาซักผ้าหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มลงไป น้ำยาจะไม่กระจายไปทั่วทุกอณูของผ้า ทำให้กลิ่นไม่หอมฟุ้ง เพราะฉะนั้นควรจำกัดปริมาณผ้าที่จะซักให้เหมาะสมกับความจุของเครื่องซักผ้า

นอกจากปริมาณผ้าแล้ว ปริมาณของน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากใช้น้ำยาซักผ้าน้อยเกินไป แน่นอนว่าผ้าจะไม่สะอาดพอ เมื่อถึงขั้นตอนของน้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่ใช้ใส่เสริมกลิ่นหอมด้วย น้ำยาปรับผ้านุ่มจะหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ดังนั้น การใส่ใจในเรื่องปริมาณของเสื้อผ้าที่จะซัก รวมถึงปริมาณน้ำยาซักผ้ากับน้ำยาปรับผ้านุ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่กำหนดว่า ผ้าของเราจะมีกลิ่นหอมหรือไม่

แช่ผ้าก่อนซักจริง

เคยไหมหลายครั้งที่เราใช้น้ำยาซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเดียวกับแม่ไม่ผิดเพี้ยน แต่เมื่อซักตากจนแห้งแล้วกลิ่นที่ได้กลับเป็นกลิ่นหอมแปลกๆ แตกต่างจากเดิม

สาเหตุอาจเป็นเพราะเราลืมขั้นตอนสำคัญอย่างแช่ผ้าก่อนซัก หรือเสื้อผ้าของเราสกปรกมากเกินไป เพราะต่อให้ใช้น้ำยาในปริมาณมาก แต่หากเสื้อผ้ายังมีคราบสกปรกฝังอยู่ ก็เหมือนมีเกราะป้องกันไม่ให้ความหอมแทรกซึมเข้าไปได้เต็มที่ ซึ่งมักเกิดกับเสื้อผ้าที่เราใส่ลุยงานกลางแจ้งทั้งวันและชุดออกกำลังกายที่มีกลิ่นเหงื่อสะสม

วิธีแก้ปัญหาคือ ควรแช่ผ้าด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าก่อนซัก หรือหากผ้าที่มีกลิ่นอับสะสมมาก อาจผสมน้ำส้มสายชูลงไปในปริมาณเล็กน้อยสัก 50-100 มิลลิลิตร ต่อปริมาณน้ำ 1 กาละมังซักผ้า แล้วแช่ผ้าทิ้งไว้ 30-60 นาทีก่อนลงมือซักจริง

อย่ามองข้ามการตากผ้า

หากเราซักผ้าด้วยวิธีการเดียวกับแม่ทุกขั้นตอน แต่เสื้อผ้าของเรายังมีกลิ่นไม่หอมเท่าที่ควร อาจต้องกลับมาพิจารณาว่า เราตากผ้าแบบไหน ทั้งช่วงเวลาที่เราตากผ้าและสถานที่ตาก

สำหรับช่วงเวลาซักผ้า ควรเลือกซักตากในช่วงที่มีแดด ซึ่งไม่จำเป็นต้องแดดแรงจัด แต่ขอให้เป็นช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดส่องถึง เพราะการตากกลางแดดแรง อาจทำให้กลิ่นหอมของเสื้อผ้าที่ซักแล้วจางหายไปด้วย

ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญกว่าแสงแดดคือ ลม ควรตากผ้าในสถานที่อากาศถ่ายเท มีลมโกรกตลอดเวลา เพราะลมจะช่วยให้ความชื้นของเสื้อผ้าหายไปได้อย่างรวดเร็ว ผ้าจะแห้งเร็วขึ้นและกักเก็บความหอมของน้ำยาไว้ในเนื้อผ้าได้นาน

ประสบการณ์

สุดท้ายนี้ แม่คือมนุษย์ธรรมดาที่ความสามารถพิเศษคือซักผ้าหอมกว่าลูก แต่ความสามารถแลกมาด้วยการฝึกฝน ทำซ้ำๆ มาทั้งชีวิต เพราะในความจริงแล้วบรรดาแม่ๆ ซักผ้าบ่อยกว่าเราเป็นพันครั้ง ต่อให้เราเลียนแบบแม่ทุกอย่าง เราอาจต้องใช้เวลาฝึกวิทยายุทธ์อีกนานกว่าฝีมือจะไต่ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับแม่ ซึ่งหากเราได้ซักผ้าเป็นประจำ เชื่อว่าวันหนึ่งลูกๆ หลายบ้านคงซักผ้าได้หอมจนแม่ภูมิใจอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม บางบ้านอาจมีวิธีการซักผ้าที่ช่วยให้กลิ่นหอมนานมากกว่านี้ อย่าลืมแบ่งปันเคล็ดลับให้กับเพื่อนใกล้ตัว เพื่อให้ทุกคนได้สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและมีกลิ่นหอม

อ้างอิง:

https://blog.metservice.com/Washing_Weather 

Tags: , , ,