***บทสัมภาษณ์นี้สัมภาษณ์ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568***
นับตั้งแต่เว็บไซต์ Whale Hunting ภารกิจล่าวาฬของนักเขียนชื่อก้องโลกอย่าง ทอม ไรต์ (Tom Wright) และแบรดลีย์ โฮป (Bradley Hope) ตีพิมพ์บทความว่าด้วยขบวนการสแกมเมอร์ หลอกลวงเอาเงินของผู้คนทั่วโลก สร้างความน่าตกใจให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก กับการปรากฏชื่อของ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) นักธุรกิจชาวแอฟริกัน ที่มี แคทรียา บีเวอร์ (Cattaliya Beevor) อดีตนางแบบเป็นภรรยา เข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นของไทยอยู่ไม่น้อย
ความน่าสนใจของเบนจามินยังถูกเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองระดับสูงของไทย ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมโต๊ะอาหารที่ห้างสรรพสินค้าสุดหรูย่านราชประสงค์ ตลอดจนความเชื่อมโยงไปถึง ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ในบทความที่ตีพิมพ์ผ่านเว็บไซต์ Whale Hunting ยังชี้เป้าไปยังบริษัทนิติบุคคลจำนวนมากว่า มีส่วนเชื่อมโยงเครือข่ายสแกมเมอร์และการฟอกเงิน
ในเรื่องนี้อยู่ในสายตาของ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน คอลัมนิสต์ Citizen 2.0 ของ The Momentum ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเธอเล่าว่า ส่วนตัวรู้สึกชื่นชมการทำงานของ 2 นักเขียนและติดตามผลงานมาโดยตลอด เมื่อเริ่มมีซีรีส์ล่าวาฬตัวใหม่ที่ปรากฏชื่อของประเทศไทยเป็นฉากหลัง สฤณีเริ่มมีความสนใจมากขึ้นไปอีก

ความสนใจของสฤณีนำไปสู่การจัดทำผังฉายภาพความสัมพันธ์ของตัวละครหลักๆ ตั้งแต่เบนจามินและภรรยา บริษัทนิติบุคคลที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ จากการรายงานของไรต์ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจกระบวนการฟอกเงินได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
เพื่อวางคำถามต่อไปว่า ภาพการฟอกเงินครั้งใหญ่ จะนำไปสู่ภาพใหญ่เรื่องอะไร และถึงที่สุด ‘รัฐบาล’ จะจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่

กรณีของการเปิดผัง คุณอยากฉายภาพอะไรให้เห็นบ้าง
พอไรต์เริ่มเขียนซีรีส์ที่มีประเทศไทยเป็นฉากหลัก เราก็สนใจแล้ว เริ่มติดตามไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามีชื่อนิติบุคคลไทยโผล่ขึ้นมาเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น เมื่อเป็นบริษัทในตลาดหุ้นมันมีเอกสารจำนวนมากที่เป็นเอกสารทางการ มีกฎระเบียบที่ทิ้งร่องรอยได้
จากตรงนั้น เราก็เอานิติบุคคลที่ปรากฏในซีรีส์ก่อนมาเป็นแผนผัง จนเริ่มบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตัวละครที่เกี่ยวข้องเริ่มเยอะ แผนผังมีข้อมูล 3 แบบ แต่ก็ต้องบอกว่าข้อมูลมันเยอะมากจนมันก็ต้องเลือกว่าจะใส่อะไร-ไม่ใส่อะไร
ประเด็นที่ 1 อยากให้เห็นโครงสร้างการถือหุ้นของตัวละครหลักที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น วิรินยา ยิม (Virinya Yim) และยิม เลียก (Yim Leak) จะเห็นว่า เบนจามินไม่ได้ถือหุ้นอะไรโดยตรง แต่เบนจามินน่าจะมีอำนาจในการจัดการกองทุนที่ชื่อ Capital Asia Investment (CAI) ซึ่งจากเอกสารทางการที่ Filing ส่งสหรัฐฯ ก็ชัดเจนว่า กองทุนภายใต้ CAI อย่างเช่น CAI Optimum Fund VCC มีแคทลียาเป็นคนจัดการ
และข้อมูลการถือหุ้นก็ไม่ได้นับเฉพาะที่ตัวละครหลักเหล่านี้ อาจจะรวมตัวละครอื่นซึ่งมีการเปลี่ยนมือ ประวัติการถือหุ้นในอดีตที่ดูมีนัยสำคัญ
ข้อมูลแบบที่ 2 คือ ธุรกรรมการถือหุ้นที่มีนัยสำคัญ ธุรกรรมเหล่านี้ถ้าเป็นอดีตก็จะพยายามใช้เส้นประ ช่วยคนอ่านแยกแยะเพราะว่าข้อมูลมันเยอะ จึงพยายามทำให้ดูง่าย แบ่งตามประเทศที่จดทะเบียน เพราะจะเห็นว่าตัวละครนิติบุคคลบางอันเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น บางอันเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ นิติบุคคลบางอันเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในลาว กัมพูชา และจีน เพราะมีหลายประเทศที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นข้อมูลแบบที่ 2 คือธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในอดีต
ข้อมูลแบบที่ 3 คือลักษณะความสัมพันธ์อื่นๆ ที่คิดว่า มีความหมายและมีนัยสำคัญ เช่น การเป็นกรรมการซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตัวบุคคล บุคคลจำนวนหนึ่งบางทีอาจไม่สำคัญ หรือไม่น่าสนใจในฐานะผู้ถือหุ้น แต่ก็น่าสนใจในฐานะว่ามาเป็นกรรมการ เช่น มีคนที่เป็น Chief Commercial Officer (CCO) หรือพูดง่ายๆ คือเป็น MD ของ CAI ที่อยู่สิงคโปร์ ชื่อ จอร์จ ธาน (George Tan) เขาคนนี้ไม่ได้มาถือหุ้นอะไร แต่มาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัทจำนวนมาก ซึ่งบางบริษัทมันก็ดูเข้าใจได้ เช่น ถ้าเห็นว่า CAI ก็มาลงทุนในหลายบริษัท โดยทั่วไปถ้าคุณลงทุนในบริษัทจดทะเบียนถึงระดับหนึ่ง เช่น 10% คุณก็จะอยากมีสิทธิควบคุมนโยบายเล็กๆ ผ่านการตั้งคนมาเป็นกรรมการบริษัท

การนั่งเป็นกรรมการของธานในหลายกรณีก็เป็นเหตุผลประมาณนี้ CAI ก็ถือหุ้นมาเยอะ เขาก็เหมือนมานั่งพิทักษ์ผลประโยชน์ แต่แน่นอนในสิงคโปร์กองทุน CAI ประกาศตัวว่าเป็น Fund Manager คือเป็นกองทุนที่ลงทุนแทนลูกค้า เพราะฉะนั้นการถือหุ้นของ CAI ก็น่าสนใจ เพราะบางทีเห็นว่ามีการใช้ชื่อของ CAI ลงทุนราวกับว่าเป็นเงินตัวเอง
นอกจากนั้นยังมีอีกหลายบริษัทที่ธานไปนั่งเป็นกรรมการ โดยที่ไม่เห็นการถือหุ้นใดๆ เช่น ในเมื่อตำแหน่งหลักของธานเป็น MD ของกองทุนสิงคโปร์ที่บริหารจัดการเงินให้ลูกค้า ดังนั้นการที่เขาจะมานั่งเป็นกรรมการก็อาจจะไม่แปลก ถ้าเป็นบริษัทที่ลูกค้ามีหุ้นเยอะ แต่การที่เขามานั่งเป็นกรรมการและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามได้ด้วยในบริษัทอื่นๆ ที่ CAI ไม่ได้ถือหุ้น มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติและน่าสงสัย
โดยบริษัทที่เข้าข่ายก็จะมี TIDC กับ ERX ซึ่ง ERX คือกระดานคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น KuCoin Thailand) ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ส่วน TIDC ก็คือบริษัทเทคโนโลยีที่เมื่อ 2-3 ปีก่อนมีข่าวว่า เป็นพาร์ตเนอร์ของกระทรวงดิจิทัลจะทำเรื่องเกี่ยวกับ Digital Ecosystem บางอย่าง และช่วงที่ผ่านมาก็จะโด่งดังจากการเป็นพาร์ตเนอร์คนไทยของ WorldCoin ที่สแกนม่านตา
เพราะฉะนั้นโดยสรุปก็คือ แผนผังพยายามจะให้เห็นข้อมูล 3 ประเภท ประเภทแรกคือ โครงสร้างการถือหุ้นปัจจุบันของตัวละครหลักๆ ที่ปรากฏในซีรีส์ของไรต์ และเป็นคนที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลแบบที่ 2 ก็คือ ประวัติธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในอดีตที่น่าสนใจ และข้อมูลชนิดที่ 3 คือเรื่องความสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์ในลักษณะกรรมการ หรือบางบริษัทเป็นบริษัทที่ธานเป็นกรรมการ ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกเวิร์กเพอร์มิตให้เบนจามิน ข้อมูลชุดนี้จะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เรื่องถือหุ้น (ใช้เส้นสีดำ)
ทาง ก.ล.ต.ไม่เคยเห็นข้อมูลพวกนี้มาก่อนเลยเหรอ
ต้องตั้งต้นก่อนว่าเราคาดหวังให้ ก.ล.ต.ทำอะไร เพราะอะไร ก.ล.ต.มีหน้าที่กำกับตลาดหลักทรัพย์ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ถ้า ก.ล.ต.จะทำอะไร ก็แปลว่า ก.ล.ต.มีเหตุให้เชื่อหรือสงสัยว่า อาจจะมีการทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์
ถามว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เราสงสัยหรือเป็นห่วงว่าจะเกิดการกระทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์สมมติถ้าเราเป็นแก๊งฟอกเงินหรือเป็นแก๊งสแกมเมอร์ที่มีเงินสกปรกจำนวนมากเป็นแสนล้าน เราก็ต้องพยายามฟอกทุกวิถีทางที่ทำได้ ลำพังแค่การขนเงินมา เลเวลแบบเด็กๆ มาซื้อทรัพย์สินก็ไม่สะดวก และอาจจะถูกรายงานได้ง่าย เช่น คุณหอบเงิน 100 ล้านบาทมาซื้อคอนโดฯ อันนี้มันมีกฎของ ปปง.อยู่แล้ว เรื่องธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย (Suspicious Transaction)

ประเทศไทยมีกฎหมายอยู่แล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รายงานหากเกิดธุรกรรมต้องสงสัย ก็มีตั้งแต่นายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ โบรกเกอร์หลักทรัพย์ รวมถึงธนาคาร
ขยับไปอีกขั้น ถ้าเราอยากจะฟอกเงินผ่านการซื้อหุ้นทีละ 100 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านบาท เมื่อจะฟอกเพิ่มก็ต้องต้องหาหุ้นซื้ออีก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากจะสร้างเครื่องยนต์ในตลาดหุ้นที่ช่วยคุณฟอกได้ตลอดโดยที่ไม่ต้องมาทำอะไรทีละครั้ง คุณจะอยากได้อะไร
1. ต้องเป็นธุรกิจที่เอื้อต่อการฟอกเงิน คือธุรกิจที่เงินสดเข้าออกตลอดเวลา ก็คือ ‘ธนาคาร’ แต่แน่นอนว่าธนาคารก็มีกฎ Know Your Customer (KYC) กฎป้องกันฟอกเงิน คุณก็ต้องครอบงำเพื่อให้ธนาคารผ่อนปรนไม่ทำตามกฎ
2. อาจจะอยากได้ธุรกิจ ‘คาสิโน’ ซึ่งเป็นที่น่าคิดต่อว่า หากรัฐบาลชุดที่แล้วดันกฎหมายจริงๆ เราจะเห็นช่องทางตรงนี้มากน้อยแค่ไหน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมพวกสแกมเมอร์จึงอยากได้คาสิโน
3. อาจจะอยากได้กระดานคริปโตฯ เพราะว่าอาชญากรหรือพวกสแกมเมอร์ชอบใช้คริปโตฯ กันมากเลย แม้ว่าคริปโตฯ จะติดตามได้แต่มันก็ปกปิดตัวตน ต่อให้รู้ว่าเข้า Wallet Address แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของคือใคร ยกเว้นว่าเป็นกระดานภายใต้การกำกับ
เพราะฉะนั้นสำหรับคริปโตฯ เป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่า ประเทศไทยต้องใช้ Crypto Travel Rule ได้แล้ว มันเป็นกฎที่ The Financial Action Task Force (FATF) องค์การระหว่างประเทศจับมือร่วมกันทั้งโลกปราบปรามการป้องกัน
โดย FATF ออก Recommendation มาหลายปีบอกว่า เพื่อป้องกันหรือช่วยปิดช่องว่างที่ตลาดคริปโตจะถูกใช้ให้มี Travel Rule ก็คือคนโอนเข้า-ออกแจ้งว่าเป็นใครเหมือนธนาคาร เอากฎนี้ไปใช้กับคริปโต แต่ประเทศไทยก็ยังไม่ออกกฎนี้ก็เป็นประเด็นที่หลายคนก็เลยพยายามผลักดัน
แต่สรุปคือ ถ้าคุณเป็นสแกมเมอร์ระดับโลกและมีเงินสกปรกเป็นหลักหมื่นล้านบาท คุณอยากใช้ประเทศไทยเป็นฐาน เพราะคุณไม่ต้องการฟอกเงินแบบเบสิก แต่อยากฟอกโดยวิธีที่ซับซ้อนขึ้น คือ ‘สร้างเครื่องฟอกเงิน’ ก็อาจจะอยากได้ธุรกิจคาสิโน ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือแม้แต่กระดานคริปโตฯ
สมมติว่ามีคนจะทำเช่นนั้นและเขาประสบความสำเร็จ เช่น มีบางบริษัทหรือบางสถาบันการเงินที่เขาสามารถครอบงำได้ เรื่องแรกเลยคือ ‘ผิดกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์’ เพราะตามกฎหมายเมื่อบริษัทจดทะเบียนจะเปลี่ยนเจ้าของนัยสำคัญ ผู้ถือหุ้นรายย่อยต้องมีสิทธิที่จะมาขายหุ้น ตามกฎที่เรียกว่า Mandatory Tender Offer ให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีสิทธิขายหุ้นให้ แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยก็มีสิทธิที่จะขายให้หรือไม่ก็ได้ ซึ่งจะทำทุกๆ ที่ถือหุ้นครบ 25%

ถ้าอนุมานว่า แก๊งสแกมเมอร์ไม่อยากให้คนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร โครงสร้างการถือหุ้นก็ต้องใช้นิมินี (Nominee) ถือหุ้นแทนผ่านหลายๆ องค์กรที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่ในความเป็นจริงเกี่ยวข้องกัน เพราะฉะนั้นการใช้ Nominee ถือครองหุ้นผิดกฎหมายหลักทรัพย์อยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าถือหุ้นถึง 5% สมมติ นาย A ถือ 5% นาย B ถือ 5% เป็นกลุ่มเดียวกันก็ต้องรายงานว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะเป็นการถือหุ้นที่มีระดับนัยสำคัญ เพราะฉะนั้นผิดตั้งแต่กฎทั่วไปเรื่องการเปิดเผยตัวตนว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน (Related party)
เมื่อเกิดธุรกรรมข้ามเส้นที่ 25%, 50% คือการครอบงำกิจการ มีความผิดหลายแรงกว่า ถ้าถือหุ้นถึง 25% แต่ไม่ยอมนำเสนอซื้อ เพราะไม่อยากเปิดเผยให้คนรู้ อาจจะมีนาย A นาย B นาย C ถือรวมกันเป็น 25% แต่ไม่ทำเสนอซื้อ ถือว่าผิดและผิดร้ายแรงกว่าการไม่บอกว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน
คำถามต่อไปคือ ถ้าคุณเป็นสแกมเมอร์ ปกปิดตัวตนมาแล้ว ใช้นอมินี ไม่มีใครสนใจ หรือไม่มีใครรู้ว่าพวกคุณเป็นกลุ่มเดียวกัน คุณจะอาศัยว่าเมื่อไม่มีใครรู้ว่านาย A, B, C และ D เป็นพวกเดียวกันก็ ‘ปั่นหุ้น’ พูดง่ายๆ ก็ฉวยโอกาสจากโครงสร้างนี้ที่สแกมเมอร์ทำสำเร็จ ฉวยโอกาสจากความเป็น Anonymous ไม่มีใครรู้ว่าพวกคุณเป็นพวกเดียวกันปั่นหุ้น ก็สามารถทำได้อีกเช่นใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น
โครงสร้างแบบนี้สามารถทำอะไรได้อีก
ถ้าเกิดคุณเป็นสแกมเมอร์อยากได้คาสิโน อยากได้สถาบันการเงิน ถ้าเราทำสำเร็จ เราก็ใช้นิติบุคคลเหล่านี้เพื่อการฟอกเงิน เพราะเป้าหมายหลักคือทำเป็นเครื่องยนต์ฟอกเงินจากสกปรกให้สะอาด
ถ้าเป็นคุณเป็นสแกมเมอร์คุณจะสนใจ Main Operation ของนิติบุคคลพวกหรือไม่ ก็คงไม่ เพราะว่าไม่ได้ต้องการไปทำธุรกิจธนาคารอยู่แล้ว แค่อยากสร้างเครื่องมือฟอกเงิน เพราะฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่ Business Model ของธุรกิจพวกนี้จะปล่อยให้เน่าๆ ไป ไม่ต้องสนใจผู้บริหาร การบริหารจัดการได้ดีอย่างไร แล้วถามต่อว่าใครซวย ลูกค้าจะซวยด้วย เพราะมีบริการที่แย่
ขั้นตอนของหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบดูแลต้องทำอย่างไร
ก.ล.ต.ถ้าเห็นว่ามีอะไรที่น่าสงสัย หรือมีข้อมูลที่อาจเชื่อได้ว่านาย A, B, C และ D เป็นพวกเดียวกัน ก.ล.ต.ก็ต้องเรียกมาตรวจสอบซึ่งเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ส่วนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง. ) มี 2 หน้าที่คือ ‘ป้องกัน’ และ ‘ปราบปราม’ ถามว่าจะป้องกันการฟอกเงินได้อย่างไร เครื่องมือหลักที่จะพูดถึงคือ รายงาน Suspicious Transaction Report (STR) ธุรกรรมอันมีเหตุควรสงสัย เพราะว่าสิ่งที่คนฟอกเงินต้องการคืออะไร คือเอาเงินเข้าระบบ ถ้าเข้ามาระบบได้แล้ว (มันเริ่มจะขาวแล้ว) และกระจายไปให้คนงงว่าต้นทางมาจากไหน อันนี้เขาประสบความสำเร็จแล้ว
เพราะฉะนั้นหาก ปปง.ปล่อยให้เงินสกปรกกระจายไปไหนต่อไหน เปลี่ยนมือไปกี่รอบ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสาวออกมาถึงต้นทางเงินสกปรกได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือต้องหยุดกระบวนการที่จุดแรก คือจุดแรกที่เงินสกปรกกำลังจะเข้ามาในระบบ
อย่างที่บอกกฎหมายของประเทศไทย (ยกเว้นคริปโตฯ) หลักทรัพย์ดังเดิม (Traditional Asset) มีกฎหมายอยู่แล้ว เช่น นาย A มีอาชีพรับจ้างทั่วไปเมื่อไปเปิดพอร์ตหุ้นกับโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ก็มีหน้าที่ดูว่า นาย A เป็นใครมาจากไหน เพื่อทำการประเมิน แต่เมื่อมีการส่งคำสั่งหุ้นหลัก 500 ล้านบาท โบรกเกอร์ก็ต้องระงับไว้ก่อน เพราะน่าสงสัยว่าเป็นธุรกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล
หน้าที่แรกที่ต้องทำคือ STR ส่งให้ ปปง. ถ้า ปปง.รับรู้แล้วก็ต้องเรียกตรวจสอบ เช่น เรียกโบรกเกอร์มาสอบถาม

กรณีของแคทลียาที่สฤณีเสนอว่า ปปง.ควรจะเข้าไปดูตั้งแต่ปี 2020 กับกรณีซื้อขายหุ้น Big Lot
กรณีแคทลียาต้องบอกว่า มีข่าวอย่างที่บอกและไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย มีข่าวขึ้นมาในสื่อหุ้น ไม่ใช่แค่ 5 ปี แต่หลายปี และปรากฏชื่อของคนนี้ว่าอยู่ใน Top 10 ของ นักลงทุนประจำปี อย่างที่บอกอาชีพของเขาคืออะไร เท่าที่สืบค้นกันคือ อดีตนางแบบ แต่ว่าอยู่ดีๆ ก็มีพอร์ตหุ้นที่บางทีซื้อขายหุ้นรอบเดียวหลัก 1,000 ล้านบาท
คือจะบอกว่าไม่ใช่แค่ชื่อของคนนี้ แต่ชื่อไหนก็ตามที่มีลักษณะเช่นนี้ คือไม่ค่อยมีอาชีพชัดเจน แล้วรวยมาจากไหน มีพอร์ตหุ้นเทียบชั้นเสี่ยเซียนหุ้นต่างๆ เป็นที่น่าสงสัยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ปปง.มีหน้าที่มาตรวจสอบอยู่แล้ว เพราะหน้าที่คุณต้องป้องกันด้วย
ตอนที่คุณตัดสินใจเปิดผังนี้รู้สึกกลัวที่จะถูกฟ้องดำเนินคดีหรือถูกเพ่งเล็งหรือไม่
ถามว่ากลัวหรือไม่ เรากลัวความไม่แน่นอนพูดเช่นนี้ดีกว่า เพราะว่ามันมีชื่อนักการเมือง คือตัวละครมันไม่ได้มีแต่นักการเงินหรือนักธุรกิจ มันก็มีตัวละครอย่างเช่น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งก็อยู่ดีๆ ก็ออกมาสนับสนุนว่าเบนจามินเป็นคนดี รวมถึงให้เบนจามินใช้บริการทนายตัวเอง
มันมีเรื่องแบบนี้ทำให้รู้สึกว่า มันเป็นเหมือนประเด็นที่เราไม่ได้นึกถึงมาก่อนว่าจะมีตัวละครประมาณนี้ คือธรรมนัสก็เป็นคนหนึ่งที่มีประวัติสีสันมากในฐานะนักการเมือง มันเป็นความกลัวแบบนี้มากกว่า ไม่ใช่เรื่องของการเปิดเผยผังขนาดนั้น
ถามว่าผังนี้มีอะไรที่เราต้องกลัวหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ควรจะมีอะไรต้องกลัว เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง ทุกอย่างที่เขียนในผังมันเป็นข้อเท็จจริงที่มีเอกสารราชการยืนยัน มีข้อมูลชัดเจน บางส่วนมาจากการรายงานข่าวของไรต์ ช่วงแรกๆ ก็มีสำนักข่าวอิศราด้วยที่เข้ามาดูว่า 2 สามีภรรยา เบนจามินกับแคทลียาถือหุ้นอะไรบ้าง มีการทำงานแบบข้อมูลเป็นฐาน

ส่วนตัวมองว่า ผังนี้คือผังข้อเท็จจริง แต่พอมันมีกรณีของธรรมนัสมา รวมถึงทนายของเขามาเป็นทนายให้กับเบนจามินมาขู่ฟ้อง มันเป็นเรื่องพวกนี้มากกว่าที่ทำให้รู้สึกว่าอาจจะต้องกลัวบ้าง แต่พอมาถึงวันนี้ก็อาจจะไม่รู้สึกว่าต้องกลัวมากขนาดนั้น เพราะว่าสภาฯ เริ่มมีความเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 คณะกรรมาธิการ ได้แก่ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่มี รังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน และคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด ที่มี ดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน
ส่วนระดับระหว่างประเทศเราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เพราะใครที่ติดตามการรายงานของไรต์ มันยังไม่ได้จบอย่างที่เราคิด ล่าสุดก็มีการเปิดข้อมูลว่าเครือข่าย KuCoin ซึ่งคือบริษัทสัญชาติจีน ไรต์อ้างว่าบริษัทการเงินไทยมาเทกโอเวอร์ลับๆ ไปแล้ว เขาบอกว่าบทความชิ้นถัดไปจะบอกว่า KuCoin เป็นแหล่งที่พวกคริปโตฯ ของอิหร่านใช้ในการหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องจริง การหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรเป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะเป็นประเด็นความมั่นคงสหรัฐฯ
พูดง่ายๆ เรื่องมันยังไม่จบ ยังมีความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่มันจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้น ในส่วนของทางการไทยยังไม่ค่อยทำอะไร แต่ว่าสหรัฐฯ ค่อนข้างชัดเจนเริ่มเป็นข่าว แน่นอนว่าสหรัฐฯ รวมทั้งสิงคโปร์มีการสอบสวนแน่ๆ เราก็เลยคิดว่า เราไม่น่าจะต้องกลัว
ในมุมมองของคุณคิดว่า โครงสร้างอะไรทำให้ประเทศไทยเหมือนเป็นศูนย์กลางของการสแกมเมอร์หรือเรื่องของการฟอกเงิน
ประเทศไทยหลักๆ มี 3 ปัจจัยที่ทำให้เราเป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้ได้ง่ายมาก
1. ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอินเทอร์เน็ต โครงสร้างคมนาคม โครงสร้างทางการเงินที่พร้อมสำหรับการช่วยเหลือการฟอกเงินในระดับทั้งระดับอนุบาลและระดับปริญญา
2. กฎหมายยังมีช่องว่าง กฎหมายที่มีบังคับใช้ไม่ได้จริง หรือที่ผ่านมาเราเห็นการใช้แบบเลือกปฏิบัติ แต่เรื่องของการอายัดบัญชีเริ่มพูดเยอะมากขึ้น อย่างข่าว Prince Group ชัดเจนมากว่า Prince Group ถูกฟ้องอยู่ ถ้าไปอ่านสำนวนคำฟ้องของสหรัฐฯ และอังกฤษละเอียดมากๆ และค่อนข้างชัดเจนมากว่าเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ คำว่าสแกมเมอร์ในที่นี้กำลังพูดถึงการค้าทาส การทรมานมนุษย์สมัยใหม่ ซึ่งคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง มันไม่ใช่แค่หลอกลวงเฉยๆ
ถ้าไปอ่านคำฟ้อง Prince Group จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศเกาหลีใต้จะจัดการภายในไม่กี่วัน ดำเนินการอายัดเงิน Prince Group ในบัญชีได้แล้ว ขณะที่เมืองไทยยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็เป็นเรื่องน่าตลกที่เกาหลีใต้อยู่ห่างจากกัมพูชา ผิดกับไทยที่อยู่ติดกับกัมพูชา ประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมกรณีของประเทศไทยถึงยากขนาดนั้น ที่ผ่านมาคนไทยเจอปัญหาบัญชีถูกอายัดในกรณีปราบปรามบัญชีม้า
เรารู้อยู่แล้วว่า ในทางเทคนิคสามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่พอเป็นเรื่องสแกมเมอร์ระดับโลกทำไมมันทำยาก หรือไม่ทำ คือมันเป็นปัญหาลักษณะนี้มากกว่า คือการบังคับใช้กฎหมายแย่มาก
3. ความโลภหรือความมักง่ายของคนไทยจำนวนมากที่ยอมเป็นเครื่องมือตั้งแต่แบบระดับนักธุรกิจ นักการเมือง นักการเงิน นักกฎหมาย เพราะว่าเลเวลของการฟอกเงินไม่ได้มีแค่ระดับอนุบาลแล้ว แต่มีการตั้งหรือครอบงำบริษัท เพื่อให้ฟอกเงินได้ตลอดกาล ซึ่งระดับนี้ทำกันเองไม่ได้ต้องมีคนจำนวนมากช่วยกันทำ ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ นักการเงิน นักกฎหมาย และหน่วยกำกับดูแลเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

คุณมองเห็นบทบาทของสหรัฐ-อังกฤษ-เกาหลีใต้ที่มีความเข้มงวด กรณีของประเทศไทยเป็นอย่างไร
คิดว่าดีแล้วที่รัฐบาลประเทศเหล่านั้นจริงจัง เราจะได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน กรณี Prince Group อาจจะบอกว่าเป็นเรื่องราวมหากาพย์เกี่ยวกับเบนจามิน ถึงที่สุดแล้วเพื่อความยุติธรรม เบนจามินยังไม่ได้มีหมายจับ (เว้นแต่ในอดีตของเขา) ก็ต้องให้ความเป็นธรรมเพราะเขายังไม่มีหมายจับในปัจจุบัน อย่างมากที่สุดเขาอยู่ในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Facilitator ช่วยเหลือสแกมเมอร์อีกทีหนึ่ง
เพราะฉะนั้นที่บางคนบอกว่า การที่เราไม่ทำอะไร เบนจามินตอนนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ต้องเริ่มที่เบนจามินก็ได้ มันเริ่มจากอะไรที่มีข้อมูลหลักฐานชัดมากในเอกสารคำฟ้อง เช่น Prince Group เพราะถูกฟ้องตามกฎหมายสหรัฐฯ มีการอายัด หาก Prince Group สู้คดีและศาลตัดสินว่าไม่ผิด เขาก็คืนทุกอย่างให้เป็นกระบวนการตามกฎหมาย
แต่ประเด็นคือ หากเราดูความรวดเร็วของเกาหลีใต้ ก่อนอื่นเลยเขาเน้นไปที่คนเกาหลีใต้เองที่อำนวยการกระทำผิด ซึ่งตอนนี้ผลออกมาแล้วหลังจากสอบสวนไม่ถึงเดือน ว่าจะดำเนินการฟ้องใครบ้างจำนวน 40-50 ราย ในขณะเดียวกันก็สั่งอายัดเงินของคนกลุ่มนี้ที่อยู่ในธนาคารเกาหลีใต้ มีรายงานตัวเลขออกมาอย่างรวดเร็วว่า มีเม็ดเงินรวมกัน 4 ธนาคาร เป็นเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท
เขาทำได้ เมืองไทยก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแค่ประกาศว่าเห็นด้วยกับเอกสารคำฟ้องว่า Prince Group น่าจะมีส่วนสำคัญในการเป็นแหล่งสแกมเมอร์ที่โหดร้ายทารุณ หลอกลวงเงินคนไทย ประเทศไทยสามารถทำได้เลย
ถ้าปัญหาเรื่องสแกมเมอร์มันยังอยู่เช่นนี้จะส่งผลอย่างไรต่อภาพลักษณ์ประเทศอย่างไร
ตอนนี้ยังไม่มีใครตอบได้ชัดๆ ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แท้จริงแล้วเป็นการลวงตาจากการฟอกเงินหรือไม่ ลองคิดภาพตาม เช่น ร้านค้าหรือคอนโดที่เปิดแบบตั้งใจจะให้ร้าง เพราะว่าแค่จะเป็นแหล่งฟอกเงิน หรือการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจริงๆ แต่เอาเงินสกปรกเข้ามาฟอก ไปจนถึงการครอบงำบริษัทจดทะเบียนเพื่อใช้เป็นเครื่องยนต์ฟอก กิจกรรมลวงตาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP นักเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะต้องช่วยกันหาคำตอบ
มันดูแย่มากนะ เพราะเศรษฐกิจของบ้านเราโตช้ามากอยู่แล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถ้ามารู้อีกว่าในตัวเลขที่โตช้า บางส่วนเหล่านั้นยังเป็นกิจกรรมลวงตาอีก มันก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะอย่าลืมว่าเงินสกปรกทั้งหมดนี้มาจากการหลอกลวงมนุษย์ทั่วโลก รวมทั้งหลอกคนไทยด้วย คือคนไทยก็เสียเงินปีละหลายหมื่นล้านบาทให้กับคนกลุ่มนี้

นอกจากนี้มันยังมีผลกระทบจริงกับธุรกิจ หากปล่อยให้มีการฟอกเงินในทุกระดับ เช่นขายของออนไลน์ก็ฟอกเงินได้ เพราะเงินสกปรกสเกลระดับ 60% ของ GDP ประเทศ นั่นหมายความว่าอาชญากรต้องหาไปทุกวิถีทางอยู่แล้วที่จะฟอกให้ได้ บางอย่างอาจจะยอมขาดทุน เช่น ซื้อสินค้ามา 100 บาท แล้วยอมขายต่อ 10 บาท ขาดทุน 90 บาทก็อาจจะโอเคก็ได้ เพราะว่า 100 บาทไม่ใช่เงินสุจริตตั้งแต่ต้น แล้วถ้าพวกนี้ซื้อของมาขายต่อที่ 10 บาท ถามว่าคนอื่นที่เขาขายของแบบเดียวกันจะอยู่ได้หรือไม่
เพราะฉะนั้นมันเลวร้ายมาก ยิ่งปล่อยให้เกิดธุรกิจแบบนี้มันจะมีปัญหา คือ
1. เรายังพยุงส่งเสริมให้ธุรกิจสแกมเมอร์ดำเนินต่อไป สามารถฟอกเงินสกปรกได้อย่างง่ายดาย
2. เป็นการทำร้ายธุรกิจสุจริต คือธุรกิจที่เขาทำเรื่องนั้นจริงๆ แต่กลายเป็นว่ามีคู่เทียบที่เป็นพวกฟอกเงินทำให้เกิดความปั่นป่วน เช่น การตัดราคาขายแบบไม่สมเหตุสมผล จะตั้งราคาอย่างไรก็ได้ไม่ต้องสนใจเพราะสนใจแต่จะฟอกเงินเป็นหลัก
3. เป็นเรื่องความน่าเชื่อถือของตลาดทุน ซึ่งปัจจุบันก็แย่มากอยู่แล้ว ก็จะแย่ลงต่อเนื่องอีก อย่างที่บอกว่าการฟอกเงินมีความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายหลักทรัพย์เต็มไปหมด รวมถึงความรู้สึกของนักลงทุนรายย่อยก็อาจจะรู้สึกว่ากำลังถือหุ้นคือ บริษัทนี้กำลังกลายเป็นเครื่องยนต์ฟอกเงิน แล้วไม่แคร์ธุรกิจ
คุณอยู่ในวงการการเงินมานาน รู้สึกแปลกใจบ้างหรือไม่ที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น
แปลกใจระดับความลึกและขนาด จริงๆ เราต้องยอมรับก่อนว่าตลาดทุนไทยมีปัญหาธรรมาภิบาล ไม่ใช่เพิ่งเกิด ผู้กำกับดูแล ทั้ง ก.ล.ต.และ ปปง.มีปัญหาในเรื่องของความล่าช้า ถูกมองว่าเลือกปฏิบัติหรือไม่ หรือความครบถ้วนรอบด้านในการจัดการ คำถามก็เป็นคำถามตัวใหญ่ อย่างกรณี Zipmex สามารถลิสต์มาได้เลยว่าหุ้นอะไรบ้างที่มีปัญหาเกี่ยวข้อง แน่นอนก็ต้องตั้งคำถามว่า Regulator รวมไปถึงนักการเงิน คือสถาบันตัวกลางก็น่าจะมีปัญหา มิเช่นนั้นปัญหาจะลึกขนาดนี้ได้อย่างไร
เรื่องง่ายๆ เช่น แหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้น ซื้อหุ้น IPO หรือหุ้นในตลาดรองก็ตามถามว่า ปปง.สามารถแจงได้หรือไม่ เช่น ปปง.เคยตรวจหรือไม่ เคยออกรายงานธุรกรรมอันมีเหตุควรสงสัย (STR) มากน้อยแค่ไหน ตามกฎหมายถ้ามีธุรกรรมต้องสงสัย แล้ว ปปง.ไม่รายงาน มีโทษปรับและจำคุก แต่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ปปง.เคยลงโทษตัวกลางหรือโบรกเกอร์หรือไม่ หรือตั้งข้อหาทำ KYC หย่อนยานหรือไม่

คิดว่านายกฯ อนุทินรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่
ไม่รู้ ไม่ได้มีส่วนในผังตรงนี้ แกก็คงรู้เรื่องธุรกิจที่แกเคยคือธุรกิจรับเหมาและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ คิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่น่าเกี่ยวข้อง เพราะเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับภูมิหลังหรือประสบการณ์ทำงานของนายกฯ ส่วนการตั้งวรภัคเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็คิดว่าอนุทินไม่รู้ เพราะว่าดูจากข้อเท็จจริง ตอนที่ตั้งมาก็เป็นหนึ่งในคนที่คนฮือฮากันว่าเป็นรัฐมนตรีคนนอก ส่วนตัวก็คิดว่าไม่น่ารู้ เพราะถ้ารู้ก็คงมีการตั้งคำถาม
ถ้าดูจากผังเรื่องราว วรภัคเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องนี้หรือไม่
ถ้าเราดูแผนผังความเชื่อมโยงที่ทำ และคิดต่อไปว่าใครบ้างที่น่าจะเป็น Mastermind คือคนที่ออกแบบกลไก
แน่นอนตัวละครแรกอาจจะต้องเพ่งไปที่เบนจามินกับภรรยาในฐานะที่ดูเหมือนอยู่ในศูนย์กลางในเรื่องนี้
ตัวละครที่ 2 อาจจะเป็นนักการเงิน ที่ไม่ใช่นักการเงินธรรมดา ต้องเป็นนักการเงินที่มีตำแหน่งที่หลายคนต้องเกรงใจ นักการเงินที่มีความอาวุโส มีเครือข่ายกว้างขวางรู้จักนักการเมืองเยอะ อันนี้คือสเป็กที่รู้สึกว่าจะเป็น Mastermind ได้
ส่วนตัวละครที่ 3 ถ้าเป็นฝั่งนักธุรกิจ อาจจะหมายถึงคนที่มาช่วยคิดหรือยอมให้ธุรกิจตัวเองเป็นเครื่องฟอกเงิน ก็อาจจะเป็นนักธุรกิจที่มีความมั่นใจในเส้นสายทางการเมือง อยู่ในแวดวงมายาวนาน มีความสนิทสนมกับพรรคการเมือง หรือผู้มีอำนาจทางการเมือง และคิดว่าสามารถได้ประโยชน์ระหว่างทาง
และตัวละครที่ 4 ก็คือคนมีสี อย่างเช่น ตำรวจ ทหาร อาจจะถูกคาดหวังในเรื่องการคุ้มครอง ถ้าเกิดเรื่องไหลไปถึงตำรวจก็จะเป็นคนที่ช่วยได้
ส่วนตัวคิดว่าสเป็กของ Mastermind ต้องประมาณนี้ แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้ง่ายที่จะปรากฏตัว เพราะว่าอาจจะอยู่เบื้องหลังจริงๆ สิ่งที่ตัวดิฉันกังวลคือ ถึงที่สุดแล้วเบนจามินก็ไม่ใช่คนไทย ถ้าเราโชคดี ก.ล.ต.จะสอบสวนอย่างจริงจังและเร่งเรื่องพวกนี้ ถ้าเราโชคดีทางการสหรัฐฯ ก็จะเร่งสอบสวนกรณีที่เกี่ยวข้อง ทางการสิงคโปร์สอบสวนนิติบุคคลสิงคโปร์ว่า ตกลงเป็นกองทุนจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นแค่นิติบุคคลบังหน้าที่สร้างเพื่อประโยชน์ใครบางคน ถ้าเราคิดว่ามันจะมีความคืบหน้าในที่สุด ก็แปลว่าท้ายที่สุดเราก็จะรู้ว่า เบนจามินและภรรยามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนในการออกแบบการกระทำผิดมากน้อยแค่ไหน
แต่ประเด็นที่น่ากังวลที่สุด สมมติว่าเขาถูกแฉหรือมีการสอบสวนออกมาว่าเขาผิด เขาก็ต้องไปสู้คดีในศาล แต่กลไกหรือองค์กรที่วางระบบไว้เป็นไปได้ว่าทั้งหมดยังอยู่ต่อไป และคนอื่นก็มาใช้ประโยชน์ต่อ
ผลสุดท้ายที่สฤณีอยากเห็นคืออะไร
แน่นอนมันต้องมีคนติดคุก และไม่ใช่แค่ติดคนเดียวด้วยนะ แต่ผลสุดท้ายที่เราอยากเห็นก็คือ ตัวโครงสร้างต้องถูกรื้อทิ้ง ถ้ามีผลการพิสูจน์สอบสวนยืนยันว่า โครงสร้างที่ว่าคือโครงสร้างจอมปลอมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องยนต์แห่งการฟอกเงิน ถ้ามีข้อพิสูจน์ว่ากองทุนบางกองทุนที่ไม่ใช่กองทุนจริงๆ แต่เป็นแค่บริษัทบังหน้า องคาพยพเหล่านี้ต้องถูกทำลาย ไม่ให้เป็นนั่งร้านของการฟอกเงิน
ส่วนตัวคิดว่าต้องให้ความสนใจกับการรื้อโครงสร้างนั่งร้านต่างๆ ของเครื่องยนต์ฟอกเงิน ไม่ใช่แค่เรื่องเอาผิดตัวบุคคล
Tags: อาชญากรรม, ฟอกเงิน, สฤณี อาชวานันทกุล, Close-Up, ระบบราชการ, สแกมเมอร์





