“เจ้าพ่อ ผมไม่ยอมรับคำนี้นะ เพราะเจ้าพ่อต้องอยู่ศาล”

ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.มหาดไทย) ปฏิเสธฉายาของเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังแกมขัน พร้อมอธิบายต่อว่า ตนไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น แต่เป็นเพียงลูกกำพร้าพ่อตั้งแต่ 7 ขวบ สู้ชีวิต กัดฟัน และโดนกระทำมาโดยตลอด  

แม้คำตอบของเขาดูจะขัดแย้งกับภาพลักษณ์และฉายา ‘เจ้าพ่อลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง’ หนึ่งในผู้มีอิทธิพลของจังหวัดอุทัยธานี รวมทั้งบุคลิก การพูดจาปราศรัยที่ดุดัน ไม่เกรงกลัวใคร อย่างตอนหนึ่งของการปราศรัยกรณีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า 

“ผมอาจจะขอเขาว่า ขอออกกฎหมายใหม่ ยิงไอ้คนที่หมิ่นสถาบันฯ แล้วไม่ติดคุก ดีไหม”

ปลายปี 2566 ชาดารับมอบหมายงานจาก อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ปราบปรามผู้มีอิทธิพลในประเทศ ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการมอบหมายงานที่ ‘ถูกฝา ถูกตัว’

ชาดาปรากฏเป็นข่าวอยู่แทบทุกหน้าสื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง อุดมการณ์พิทักษ์สถาบันฯ ไปจนถึงประเด็นไลฟ์สไตล์และการแต่งกาย 

The Momentum พบกับ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยคนนี้ที่บ้านดอนหมื่นแสน ตำบลดอนขวาง จังหวัดอุทัยธานี บ้านบนเนื้อที่ 100 ไร่ ไร้รั้วรอบขอบชิด มีน้ำพุลูกโลกขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางบ้าน ถัดไปไม่ไกลมีป้ายไม้เขียนข้อความ ‘ซุ้มเพื่อนชาดา’ เหล่านี้ช่วยฉายภาพ ‘ผู้กว้างขวาง’ หรือ ‘บ้านใหญ่’ ในจังหวัดอุทัยธานีได้เป็นอย่างดี

 บ้านหลังใหญ่แห่งนี้เปิดต้อนรับคนเข้าออกร้องทุกข์อยู่เสมอ นอกจากคนจำนวนหนึ่งที่รอร้องทุกข์กับ ‘พี่ใหญ่’ ประจำจังหวัด ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งรายล้อมอยู่เป็นประจำในบริเวณบ้าน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชาดา

จากชีวิตเด็กกำพร้าพ่อ แม่ และพี่ชาย เด็กชายชาดาในวันนั้นเติบโตจากวิถีเด็กชาวบ้าน เด็กเลี้ยงวัว สู่วาทกรรม ‘แขกครองเมือง (อุทัยธานี)’ และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง รมช.มหาดไทยได้อย่างไร?

หลากหลายเหตุการณ์ในชีวิตที่เขาเล่าสู่กันฟังด้วยน้ำเสียงสุภาพ ถือเป็นชีวิตที่มีสีสัน แม้แต่วินาทีเฉียดตายจากการถูกซุ่มยิงที่เขาพูดเรียบๆ เพียงว่า “เรื่องที่ผมถูกยิง ก็ว่ากันไปตามระบบ”

ฉายาเจ้าพ่อลุ่มแม่น้ำสะแกกรังของคุณชาดามาจากไหน

สื่อมวลชนนั่นแหละตั้งให้ ผมก็พูดอยู่ตลอดว่าเจ้าพ่อต้องอยู่ศาล ผมไม่ใช่เจ้าพ่อแน่นอน เจ้าพ่อต้องอยู่ที่สูง แต่ผมคนติดดิน พี่น้องประชาชนเข้ามาหาได้ตลอด คือคนเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส.ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าทำตัวเป็นเจ้าพ่อ ชาวบ้านก็ไม่เลือก ฉายาดังกล่าวเป็นบุคลิกจากสิ่งที่ผมผ่านมาในชีวิต และจากประสบการณ์ของผมที่สื่อมวลชนตั้งให้ ส่วนพี่น้องชาวบ้านไม่มีใครตั้งหรอกครับ

คุณไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อ

ใช่ครับ ผมไม่ยอมรับคำนี้ เพราะในแง่หนึ่ง เจ้าพ่อเป็นเรื่องของความเลวร้าย ในความรู้สึกของคนทั่วไป คำว่าเจ้าพ่อไม่ใช่เรื่องดี ซึ่งผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า ผมชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น ผมมาจากลูกกำพร้า กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 7 ขวบ กำพร้าแม่ตั้งแต่อายุ 14 ปี โดนกระทำมาตลอด สู้ชีวิตมาตลอด ดังนั้น ไม่ใช่วิถีของเจ้าพ่อแน่นอน

ในอดีตหลายคนกล่าวว่าคุณไม่สามารถอยู่จังหวัดอุทัยธานีได้ เพราะทั้งพ่อแม่และพี่ชายถูกยิงเสียชีวิต แต่อะไรที่ทำให้คุณยังอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้จนเป็น ‘บ้านใหญ่’

มีช่วงหนึ่ง คุณตาให้ผมไปอยู่เมืองกาญจน์ อยู่ไปสักระยะหนึ่งก็มีความรู้สึกว่า เมืองกาญจน์ไม่ใช่บ้านเรา ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา อย่างไรก็ตาม ผมต้องกลับมาอยู่อุทัยฯ ต้องมาสู้ที่อุทัยฯ ก็ขออนุญาตคุณตากลับมา คุณตาก็ไม่ให้หรอก แต่ผมก็กลับมาใช้ชีวิตกับคนที่นี่ ใช้ชีวิตกับเพื่อนรุ่นเดียวกันในตลาด กับเพื่อนรุ่นพี่ เพื่อนรุ่นน้อง มาทำธุรกิจปกป้องดูแลกัน กลับมาทำธุรกิจค้าวัวค้าควาย 

ยากไหมที่ต้องกลับมาตั้งตัวเริ่มธุรกิจใหม่ด้วยตัวเอง

ตอนสมัยค้าวัวใหม่ๆ จำได้แม่นเลย ผมขี่รถเครื่องจากอุทัยฯ ไปอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตั้งแต่สามสี่ทุ่ม ฝนตกตลอดทาง พอถึงผมก็นั่งรอต่อรถสองแถวเพื่อไปอำเภอท่าสองยาง ไปรอบริเวณห้องแถวไม้เก่าๆ ประมาณตีสี่ ตีห้า มีคนแก่มาเปิดประตูบ้าน เขาก็ถามผมว่าไอ้หนูมาจากไหน ผมก็ตอบว่าอุทัยธานีครับ เขาถามต่อว่าจะไปไหน ผมบอกไปท่าสองยางจะไปซื้อควายที่นั่น เขาก็ตอบว่า เหรอ ไกลนะ แล้วแกก็รำพึงรำพันมาประโยคหนึ่งว่า 

“คนโง่หากินไกลบ้าน คนฉลาดหากินใกล้บ้าน”

ผมฟังคำนั้น จำได้เลย หลังซื้อควายเสร็จผมถอดเสื้อหยิบปากกามาเขียนข้อความ แล้วนำผ้ามาคาดที่หน้าผาก ถามตัวเองว่า

 “แล้วมึงโง่หรือฉลาด ชาดา”

 สมั้ยนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ซูซูกิ 250 ซีซี ก็ขี่รถเครื่องถอดเสื้อตั้งแต่ตากจนถึงอุทัยฯ แล้วบอกเพื่อนที่ไปด้วยกันว่า มึงถอดเสื้อเลยว่ะ แม่งให้แดดเผา เผื่อเราจะฉลาดขึ้นบ้างว่ะ ผมขี่รถเครื่องมาด้วยความรู้สึกว่า เราโง่หรือฉลาดวะที่ขี่รถเครื่องมาซื้อวัวซื้อควายต่างจังหวัด ผมทบทวนแล้วเลิกเลยนะ หันมาซื้อแถวบ้านแทน แต่ถ้าจังหวัดไหนวัวควายถูกๆ ก็ว่ากันไปเป็นคันรถ ไม่มีแล้วขี่รถตะลอนๆ หาซื้อ

คุณอายุเท่าไรตอนที่กลับมาอุทัยธานีอีกครั้ง 

ประมาณ 17-18 ปีครับ กลับมาก็เจอขี้เมาตามหมู่บ้าน เจอสารพัดที่จะเจอ ผมก็อาศัยความอึดอย่างเดียว จริงๆ ผมเป็นลูกกำพร้าที่ยังมีที่ทำกิน พ่อแม่พอจะมีสมบัติให้บ้างใช่ว่าขัดสนเลย แต่ตอนเด็กเอาอะไรออกมาใช้ไม่ได้เพราะอายุยังไม่ถึง เลยกลายเป็นความดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ผมถึงต้องหากินในตลาดอุทัยฯ ซื้อวัวซื้อควายมาขาย

ตอนตัดสินใจกลับบ้านเกิด กลัวตายไหม 

ใครไม่กลัวตาย กลัวแต่ก็ต้องสู้ใช่ไหม ถูกยิงหลายครั้ง ถูกยิงตอนขี่รถเครื่องก็หลายครั้ง ยิงเข้าที่แขนก็มี ส่วนเข้าที่เนื้อมีอยู่ครั้งเดียว นอกนั้นก็ผ่านไปได้ หลบออกมาได้ตามสภาพ เป็นเรื่องที่เราต่อสู้กับคนที่เหมือนเป็นผู้มีอิทธิพล และเขาก็ครองอาณาจักรอยู่ ความชั่วร้ายอยู่กับเขาทั้งหมด

มีครั้งหนึ่ง ผมไปเที่ยวกับสาว เขาก็ซ้อนอยู่ข้างหลังผม เราก็บอกให้จับแฮนด์รถแทนให้หน่อยเพราะเราจะจกปืน ก็ขับกันไปอย่างนั้นแหละ คือผมต้องระวังตัวไง บางทีมีคนอยู่ข้างหน้ามืดๆ ก็ต้องระวังเลย ให้สาวคร่อมขี่มอเตอร์ไซค์แทนเรา ส่วนผมมองไปข้างหน้า จกปืนเตรียมไว้ เรียกได้ว่า สมัยก่อนรถเครื่องผมทุกคันถังน้ำมันจะบุบหมดเลย

ผมถึงบอกว่า ถ้าเราจิตใจดี บริสุทธิ์ใจ ชีวิตจะไม่มีปัญหา ชีวิตคุณจะต้องได้ดี มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีกำนันคนหนึ่งมาข่มเหงผม จะมายึดกิจการอะไรต่ออะไรในสมัยนั้น ท่านผู้ว่าฯ ก็เรียกไปเจรจาเพราะยิงกันไปยิงกันมา 

ผมจำได้ว่ามีนายตำรวจมาคุยกับผมเรื่องนี้ ผมก็บอกไปว่าเขาจะล่อผม จะยึดกิจการผม เขาเป็นผู้มีอิทธิพลแต่ไปลักขโมยควายชาวบ้านมาขาย พอผมพูดคำนี้ นายตำรวจคนนั้นก็สวนมาว่า คุณไปว่าเขาเป็นโจรได้อย่างไร เขาเป็นกำนันใหญ่นะ

 จากนั้นไม่นาน กำนันคนนั้นได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลยนะครับ กำนันโดนจับพร้อมอุปกรณ์ครบทุกอย่างเลย ทั้งไข่สำหรับเบื่อหมา เชือกปืนตึก ก็เห็นชัดเลยว่าเรากำลังสู้อยู่กับใคร แล้วเรื่องราวก็ผ่านไป ไม่รู้ไปมาอย่างไรเขาก็ถูกยิง ผมก็ถูกยิง ก็ว่ากันไปตามระบบ ผมสู้มาแบบเด็ก แต่เราถือว่าเราเป็นฝ่ายถูกต้อง ถูกรังแก สู้ชนิดแบบปากกัดตีนถีบ ไม่มีอำนาจ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

อธิบายได้ไหมว่าสู้แบบเด็กเป็นการสู้แบบไหน

ก็ยิงกันไปยิงกันมา เราอยู่ในลักษณะที่ไม่ได้ไปรังแกใครก่อน เราโดนกระทำ แต่ตอนหลังเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการ เขาก็ให้ความถูกต้องว่าใครผิดใครถูก เรื่องราวก็ผ่านไปแล้วตามสภาพบ้านเมือง หลังจากนั้นกำนันก็ถูกยิงตาย แต่ไม่เกี่ยวกับผมนะ เขาถูกซุ่มยิงในบ้าน

แน่นอนว่าการต่อสู้แบบเด็กๆ ของคุณ ระหว่างทางน่าจะสูญเสียคนใกล้ตัวไปบ้างเหมือนกัน คุณมองเรื่องนี้อย่างไร

ส่วนมากเป็นเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว เช่นมีสองสามคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ผมก็เอาลูกเขามาเลี้ยงมาทำงานด้วย ส่งให้เขาเรียนหนังสือจนจบ บางคนก็ไปรับราชการ อันนี้ถือว่าเราดูแลเขาในระดับหนึ่ง คือคนที่มาอยู่กับเรา เขามาด้วยใจ ไม่ใช่เรื่องเงินเดือน มาด้วยความรักความผูกพันมากกว่า

การผ่านความสูญเสียในชีวิตมามาก ทั้งครอบครัวและลูกน้อง คุณจัดการกับความรู้สึกอย่างไร

พอมันถึงจุดหนึ่งเวลาจะรักษาตัวเราเอง ทุกเรื่องแหละครับ หากมีอุปสรรคใดในโลกนี้ที่แก้ไม่ได้ เวลาจะแก้เอง อันนี้คือส่วนสำคัญ บางอย่างผมเครียดก็ต้องใช้เวลาในการแก้ไข สำคัญคือขอให้เราคิดดีและใฝ่ดี ถ้าเราคิดดีใฝ่ดีไว้ ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ข้างเรา 

ผมเป็นคนมีพระเจ้า ผมถือว่าผมมีศาสนา ผมก็เชื่อมั่นในศาสนา เชื่อมั่นในพระเจ้าผู้สร้างโลกตามหลักการของอิสลาม ถ้าวันไหนมีโอกาสไปดะวะห์ ไปงานศาสนาสองวัน สามวัน ก็จะมีความสุขเหมือนเติมไฟให้ชีวิต ไปฟังเขาบรรยายบ้าง ได้ไปบรรยายให้คนอื่นฟังบ้าง 

หลายคนมองว่า คุณวางคาแรกเตอร์ตัวเองเป็น ดอนวีโต้ คอร์เลโอเน จากภาพยนตร์เรื่อง The Godfather คุณคิดว่าตัวเองเหมือนไหม

ไม่เหมือนเลย เขาเท่กว่าผมเยอะแยะ ผมมันจิ๊กโก๋บ้านนอก ผมไม่ใช่มาเฟีย ผมไม่ใช่เจ้าพ่อ แต่ผมคือจิ๊กโก๋บ้านนอก จริงใจ สัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม รักความถูกต้อง คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ผมไม่ใช่ผู้ชายตอแหล แต่ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ผมถือว่าผมไม่ใช่ผู้ชายตอแหล แล้วผมก็เป็นจิ๊กโก๋บ้านนอก ไม่ใช่มาเฟียครับ ผมชัดเจน มึงมาพาโวย เฮฮา ก็ว่ากันไป ลักษณะผมเป็นอย่างนั้นมากกว่า

คุณมีปืนกระบอกแรกตอนอายุเท่าไร

ตอนแรกอายุไม่ถึงที่จะสามารถครอบครองปืนได้ จนมาขึ้นทะเบียน ก็เป็นกระบอกเดียวนั่นแหละครับใช้จนมาถึงทุกวันนี้ สมัยนั้นอายุ 18 ปี นำไปขึ้นทะเบียน แต่จริงๆ ผมใช้ของพ่อ ใช้ของอา มาก่อนที่จะมีทะเบียนแล้วแหละ ซึ่งมันผิดมือนะ แต่ก็รอดมาได้ ผมไม่โดนจับ จนกระทั่งอายุถึงก็ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย 

แต่ผมไม่มีมือปืนนะ ทั้งชีวิตไม่เคยมีมือปืน การเอามือปืนตามจังหวัดดังๆ มาปกป้องดูแลก็ไม่เคยมี ในอดีตก็เป็นเพื่อนที่รักกัน จนถึงวันนี้หลายคนก็ยังอยู่กับผม ปัจจุบันก็เป็นลูกหลาน เป็นน้อง หลายคนก็เป็นลูกเพื่อน พ่อเขาเสียไปบ้างหรือถ้าพ่อเขาอยู่ก็เอาลูกมาฝาก ก็กลายเป็นรุ่นสอง เป็นรุ่นลูกของเพื่อน แต่ส่วนใหญ่เป็นคนในจังหวัดอุทัยฯ และนครสวรรค์ ที่อื่นไม่ค่อยมี เราอยู่กันแบบพี่น้องมากกว่าครับ

เรียกว่าคนแวดล้อมในบ้านนี้เป็นแบบรุ่นสู่รุ่น

ใช่ เป็นรุ่นสู่รุ่นไป บางทีพวกมันยืนคุยกัน เราก็ เอ๊ะ ภาพนี้เคยเห็นจากที่ไหน อ๋อ ตอนนั้นพ่อพวกมันเคยยืนคุยกัน เพราะบุคลิกเหมือนพ่อทั้งสามคน ก็เป็นเรื่องที่ผ่านอะไรมาด้วยกันตรงนั้นจริงๆ เราไม่ไช่คนอื่นที่ต้องมาคุ้มกันอะไร อยู่กันแบบเพื่อนแบบพี่น้องลูกหลานครับผม

ถ้าหากไม่ใช่บทบาทเจ้าพ่อ หรือ ‘ดอน’ อย่างที่คนอื่นคิด คุณชาดานิยามตัวเองว่าอะไร

ตอนเด็กๆ ผมเคยเขียนคำว่า ‘เป็นดอกกุหลาบท่ามกลางโคลนตม’ ผมว่าชีวิตผมเป็นอย่างนั้นนะ แม้เราจะอยู่กับสิ่งชั่วเลวร้ายอะไรก็ตาม แต่เราต้องมีจิตบริสุทธิ์ คือดอกกุหลาบเป็นชื่อปู่ผม ท่านเป็นคนที่คนอุทัยฯ รักมาก ผมก็จะบอกว่าตัวเองเป็นดอกกุหลาบสีขาว ดอกกุหลาบท่ามกลางโคลนตม แต่มาถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่ากุหลาบจะสีดำหรือยังนะ (หัวเราะ)

แต่สำคัญที่สุดคือจิตใจ ผมถูกพ่อแม่สอนมาในลักษณะที่ว่า จะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องคุยกับพระเจ้าได้ คุยกับตัวเองได้ ถ้าเราทำผิดต้องบอกว่าผิด ถ้าไปบอกว่าเรื่องนี้ไม่ผิดเดี๋ยวจะเคยชินต่อความชั่ว แม่ผมสอนเวลาสวดมนต์ ตอนละหมาด แม่ก็บอกว่าอย่าไปแช่งใครนะ ขออะไรก็ขอไป แต่อย่าไปแช่งคน เพราะตอนนั้นพ่อผมถูกฆ่าตาย

แม้แต่คนที่ฆ่าพ่อ ผมไปเรียกว่าไอ้ แม่ใช้สองนิ้วตีปากเลยนะ บอกไปเรียกเขาไอ้ไม่ได้ เขาอายุแก่กว่าพ่อเราที่ตายอีก ถ้าเจอเขาต้องเรียกว่าลุง แต่ถ้าจะไปยิงเขา ก็ไปยิงเลย กล้าไหม แม่บอกถ้ากล้าจะพาไปตอนนี้เลย นี่คือคำแม่สอน แต่อย่าใช้มารยาทที่ไม่ดี เพราะสังคมไทยไม่ชอบคนที่เสียมารยาท นี่คือสิ่งที่เราถูกขัดเกลามาตลอดชีวิต 

ตอนเจอหน้าคนที่ฆ่าพ่อคุณ คุณเรียกเขาว่าลุงตามคำแม่สอนไหม

ผมเรียกเขาว่ากากา กากาแปลว่าตา ซึ่งจริงๆ ผมไม่นึกว่าจะจำเขาได้ แต่ปรากฏว่าไปเห็นกางเกงของกากา เขานั่งอยู่ข้างหน้าเราในงานศาสนา แล้วป้ายกางเกงแลบขึ้นมาเป็นชื่อร้านจันทร์ฉาย ผมก็เอ๊ะ จันทร์ฉายเป็นร้านตัดกางเกงดังสมัยผมเป็นเด็กที่อุทัยฯ แปลว่าคนนี้ต้องเคยไปอุทัยฯ มาก่อน คงไปหาปู่ย่าตายายหรือพ่อมั้ง ผมก็เลยเดินอ้อมเขาไปเรียกเขาว่ากากา กากาเคยไปอุทัยฯ มาเหรอ แกก็ลุกขึ้นมาจับมือผม แล้วถามว่าเป็นลูกใคร

ตอนแกถามว่าเป็นลูกใคร ผมจำแกได้เลย นึกออกเลย ผมเลยบอกว่าเป็นลูกบัดเจ (เดชา ไทยเศรษฐ์) แกก็ตกใจ ผมก็บอกค่อยๆ ว่าใจเย็นๆ แล้วหลังจากนั้นไม่นานแกก็เสียชีวิต นอนตายแบบนั้นเลย แกคงรอขอโทษรออภัยจากเรามั้ง เราก็คิดว่าไปโกรธแค้นแกคงไม่มีประโยชน์หรอก

เพราะสภาพแกที่เจอ โอ้โห จากคนมีสตางค์ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ลำบากลำบน คิดดูเวลาผ่านไปยี่สิบสามสิบปี ยังนุ่งกางเกงตัวเก่า ใส่เสื้อรถไถที่เขรอะดำปื๋อ แล้วตอนนี้ถ้าพ่อเราอยู่ในสวรรค์ ก็จะอยู่ในสวรรค์ต่อไป แต่ถ้าพ่ออยู่ในนรก พ่อก็จะได้ขึ้นสวรรค์จากการให้อภัยของเรา 

จริงๆ ตอนนั้นผมกำลังดังเลยครับ อายุเพิ่งอายุ 30 กว่าปี กำลังจี๊ดเลยว่าอย่างนั้น ก็มีผู้อาวุโสที่จังหวัดเพชรบูรณ์พูดว่า ขออย่าไปทำอะไรเขาเลย ผมก็บอกว่าไม่แล้วครับ ก็จบไปอย่างดี มันก็เป็นวิถีน่ะ คนเราผ่านมาไม่เหมือนกัน

แล้วเวลาชาวบ้านมาไหว้วาน ขอให้ช่วยสะสางเรื่องต่างๆ คุณชาดาใช้วิธีการแบบไหน

ก็ให้ความป็นธรรมกับทุกคน ผมบอกเสมอว่าความยุติธรรมต้องเป็นเลือดเนื้อ เป็นจิตวิญญาณของเราแล้วมันจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เรื่องที่มาขอให้ช่วยก็มีทุกอย่าง ตั้งแต่แบ่งมรดก เรื่องผัวเมีย บางครั้งก็ต้องเข้าเนื้อตัวเอง เพราะต้องแก้ไขทุกปัญหา บางเรื่องตกลงกันไม่ได้ ผมก็ช่วยจ่ายเงินไป มันขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละคน เพื่อนผมบอกว่า โอ้ย ชาดา มึงก็แก้ไขได้ทุกปัญหาแหละวะ เพราะมึงเสียเงิน

คือผมไม่ใช่นักการเมืองที่ใสสะอาด คลีน บริสุทธิ์ แบบคนอื่นเขา แต่ผมถือว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาชนต้องมาก่อน ส่วนตัวเองไว้ทีหลัง จะทำอะไรต้องนึกถึงส่วนรวม นึกถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน อย่าไปมองว่าแล้วเราจะได้อะไรกลับมา ถ้าเรามองแบบนั้นเจ๊งเลยนะ แต่ถ้าทำไปแล้วได้ดีมันก็ดี เช่นพอบ้านเราได้ดี คนอุทัยฯ รวยก็ไม่มายืมเงินผม ผมก็โชคดีแล้ว อย่างน้อยผมก็หมดคนยืมเงินไปแล้วหนึ่งคน

แสดงว่าคงมีคนมาขอยืมเงินคุณอยู่เรื่อยๆ

มีครับ ตอนนั้นก็บอกว่าถ้าจะยืมหนึ่งหมื่นบาท เอาไปเลยสองพันดีกว่า เพราะชีวิตให้ใครยืมเงินไม่เคยได้คืนเลย (หัวเราะ)

มีคนกล่าวว่า ถ้าการเมืองดี ระบบการเปิดบ้านร้องทุกข์แบบ ‘บ้านใหญ่’ แบบนี้ จะไม่จำเป็นอีกต่อไป คุณคิดแบบนี้ไหม

ถ้าการเมืองดี มันดีแน่นอน และถ้าระบบราชการดี เข้มแข็ง บ้านใหญ่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เหมือนที่เราทำกันอยู่ตอนนี้ มหาดไทยก็ทำ ทีมอำเภอ ทีมจังหวัดก็ทำ แต่ปัญหาคือมันแก้ไม่หมด ถ้าแก้ได้ทั้งหมดก็จะไม่เกิดระบบบ้านใหญ่ คุณเข้าใจไหม บ้านใหญ่เกิดขึ้นเพราะช่องโหว่ของอำนาจรัฐ ข้าราชการไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

บุคคลทั่วไปเขาเลยมาหาบ้านใหญ่ อย่างผมเขาก็มาหา ซึ่งผมก็มาจากตรงนี้เหมือนกัน แต่ผมมีคุณธรรม ผมไม่ได้ไปทำในสิ่งที่เลว ทีนี้บางคนถ้าไม่มีคุณธรรมก็จะเหลิง หลงในอำนาจใหญ่โตแล้วก็ลืมตัว

แต่ผมมาจากดิน ชาวบ้านเลี้ยงผมมา ผมมีอำนาจวาสนา ผมก็ใช้อำนาจ ใช้บารมีแก้ปัญหา ผมไม่ได้ใช้อิทธิพลไปทำร้ายบ้านเมือง ผมใช้อิทธิพลช่วยเหลือคน ผมใช้อิทธิพลสร้างบ้าน สร้างเมือง บารมีต้องมี แต่ต้องใช้ในทางที่ถูก คนทะเลาะกันเราสามารถเคลียร์ปัญหาได้ เราได้รับการยอมรับอะไรแบบนี้ อย่างครั้งหนึ่งของสาธารณะในเทศบาลถูกทำลาย ผมก็ไปทุกโรงเรียนเลย ไปคุยกับวัยรุ่นทีละห้อง ทีละชั้นเรียน ก็คุยกันแบบตรงๆ ว่า 

“มึงอยากมันเนี่ย จะเอาไหม จะเอาเข่งมาให้ใบหนึ่ง แล้วเอาขวดแก้วให้มึงทุบ ทุบแก้วในเข่ง” มันก็บอกเอา เราก็จัดไว้ให้ แล้วพูดคุยว่าการทำลายทรัพย์นี่ไม่ใช่แค่ทรัพย์ของมึง แต่พ่อแม่มึงทุกคนเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง มันเสียหาย ก็ทำความเข้าใจจนสิ่งเหล่านี้ก็หายไป เรื่องก็จบ

กับคำพูดที่ว่า เมื่อทำธุรกิจแล้วกลายเป็นผู้มีอิทธิพล พอถึงจุดหนึ่งก็ต้องเล่นการเมือง เพราะไม่อย่างนั้นการเมืองจะเล่นเรากลับ คุณเห็นด้วยไหม

ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมเล่นการเมืองเพราะผมชอบ และถูกชาวบ้านดันให้ลงตั้งแต่สมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) ผมก็แค่คนมีอุดมการณ์จะเข้าสู่การเมือง เพื่อบริหารรัฐ บริหารเทศบาลตามอุดมการณ์ผม เข้าใจไหม เพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้อยากเป็นคนเก่ง แต่อยากเป็นบันไดขั้นที่หนึ่ง คือต้องมีมาตรฐานในแต่ละตำแหน่ง จะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีมาตรฐาน

อย่างผมเป็นเทศบาลก็บอกลูกบอกหลานหรือน้องสาวว่า ต้องเหนื่อยหน่อยนะ ต้องทำให้เหนือผม เข้าใจหรือเปล่า 

แสดงว่าการก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง มาจากความสนใจส่วนตัวมาแต่ไหนแต่ไร

ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนชอบการเมืองอยู่แล้ว ผมเรียนกรุงเทพฯ เห็นเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มีโอกาสไปดูเหตุการณ์ ตอนนั้นโรงเรียนอิสลามวิทยาลัยก็สั่งห้ามเข้าร่วม เราก็ไป ผมมีจุดยืนทางการเมืองเพราะเป็นคนข่าว ผมอ่านหนังสือพิมพ์ ยกตัวอย่างหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สมัยก่อนหน้าหนึ่งเป็นข่าวทั่วไป หน้าสองข่าวต่างประเทศ ตั้งแต่หน้า 3-15 เป็นข่าวกีฬา ส่วนหน้า 16 เป็นข่าวต่อจากหน้าหนึ่งผมก็จะอ่านเฉพาะหน้า 2-15 ข่าวอาชญากรรมผมไม่อ่านเลย อ่านแค่ข่าวการเมือง อ่านคอลัมน์รามสูร มังกรห้าเล็บ จนมาถึงยุคมติชนรายสัปดาห์ ผมก็อ่าน สุจิตต์ วงษ์เทศ, ขรรค์ชัย บุนปาน อะไรแบบนี้ พวกนี้จะเป็นคนที่บอกว่าการเมืองที่ดีคืออะไร 

ผมซึมซับมาจากตรงนั้นว่า นักการเมืองที่ดีต้องทำอย่างไร ผมชอบการเมืองตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งมาสัมผัสกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ก็คิดว่าถ้ามีโอกาสอยากจะเป็นกำนันไปตามประสา เพราะไม่กล้าคิดหรอกว่าจะได้เป็น ส.ส. ไม่กล้าคิดจะเป็นนายกเทศมนตรีหรอก แค่กำนันก็ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า 

จากฝันกำนันสู่เก้าอี้นายกฯ เทศบาลได้อย่างไร

คือตอนที่ผมยังไม่เข้าสู่เส้นทางการเมือง ยังไม่ได้เป็นนายกเทศบาล เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ขึ้น นายกฯ ถูกยิง ซึ่งเป็นคนที่ผมเคารพและรักมาก เป็นขวัญใจของคนสมัยนั้น เกิดเหตุการณ์อีนุงตุงนัง ทีนี้มีที่ว่าง ส.ท.อยู่ที่หนึ่ง ชาวบ้านก็บอกให้ผมไปลงสมัคร ผมก็เป็น ส.ท.อยู่ประมาณสองปี หลังจากนั้นก็ตั้งทีมลงสมัครนายกเทศบาล

สมัยนั้นสมัครเป็นกลุ่มตั้งชื่อว่ากลุ่มคุณธรรม ตอนปี 2538 มีน้ำท่วมใหญ่มาก ผมเป็นเพียงผู้สมัครนายกฯ แต่อีกฝั่งเขาดำรงตำแหน่งอยู่ก็มีเงิน มีงบประมาณ มีอุปกรณ์ทุกอย่าง แต่เขาไม่ดูแลประชาชนเลย อดีตปลัดอำเภอที่อยู่ทีมลงสมัครเลือกตั้งของผมก็บอกว่า ถ้าน้ำมาเราลำบากเลยนะ จะเป็นรองเขา เพราะทีมนั้นมีทั้งเงินหลวง อุปกรณ์หลวง ของหลวง ผมเลยบอกว่า ถ้าน้ำมาหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอามา ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอามา เขาต้องรู้แล้วว่าผมเป็นคนอย่างไร 

พอน้ำมาเราก็สู้ เทศบาลถือว่าล่มสลายทำอะไรไม่ได้เลย ต้องรอเงินหลวง แต่เราใช้เงินส่วนตัวต่อสู้ ผมทำสะพานให้ประชาชนเดินตลอดทั้งเส้นทาง ทำทุกอย่าง วันแรกๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน ก็ไปตักทราย ตอนแรกจ้างคน แต่พอผ่านไปได้สามวัน ไม่ต้องจ้างใครเลย คนมาเป็นร้อย เราไม่มีรถหลวงก็ใช้รถปิ๊กอัพชาวบ้าน 20-30 คัน ก็สู้กันแบบนี้ มีคนเอารถมาให้ใช้ ขนาดที่ว่าพอน้ำลดยังหาเจ้าของไม่เจอ (หัวเราะ) ก็มาร่วมมือกันเนรมิตเมืองใหม่ จนภายหลังกลายเป็นวิถีของครอบครัวไทยเศรษฐ์ ทุกครั้งที่น้ำท่วมเราต้องลงพื้นที่ไปดูแลพ่อแม่พี่น้อง 

เวลาเกิดวิกฤต บางทีมีเงินก็หาซื้อของไม่ได้นะ เช่นต้องการซื้อเรือตอนตีหนึ่งตีสองมาช่วยเหลือชาวบ้านในสภาพที่น้ำท่วมเกือบทั้งประเทศ ใครจะขายให้คุณ แต่เราก็อาศัยพรรคพวกมาแก้ปัญหาครั้งนี้ให้ เพราะเราสามารถไปเคาะประตูบ้านได้ แต่พอหลังน้ำลดผมก็โดนเล่นเลย 

โดนอะไร พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม

อุทัยธานีจะมีวัฒนธรรมการเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างหนึ่ง คือวันสุดท้ายของการปราศรัยทีมที่สามารถยึดบริเวณห้าแยกวิทยุได้จะถือว่าได้เปรียบ ทีมที่สองต้องไปอยู่บริเวณวงเวียนน้ำพุ ถ้ามีทีมที่สามต้องไปวงเวียนท่าช้าง ซึ่งทำเลไม่ดี คราวนี้เราเสร็จเขาเพราะเบอร์ไม่ดี เขาได้เลข 1-18 เราได้เบอร์ 21 เป็นแถวที่สอง ก็เลยติดต่อขอปราศรัยบริเวณห้าแยกวิทยุ เขาไม่อนุญาตเพราะจะปราศรัยเอง เราก็ไม่ได้สนใจ ซึ่งจริงๆ ทีมผมโดนโจมตีเรื่องอิทธิพลมาโดยตลอด ว่าเป็นยุคแขกครองเมืองบ้าง แต่เราไม่เคยทำอะไรเลยนะ

ผมเลยหันมาใช้ทำเลบริเวณหอนาฬิกา ซึ่งปกติเขาไม่ให้ปราศรัยที่นี่ เพราะพื้นที่มันกว้าง คนมาฟังน้อย แม้ว่าคนจะมาเยอะก็ดูน้อยอยู่ดี เพราะพื้นที่มันกว้างมาก ไม่เคยมีใครปราศรัยที่นี่มาก่อน พอถึงวันปราศรัยผมก็สั่งเลย ห้ามเอาพวงมาลัยมา ห้ามหน้าม้า พอถึงวันปราศรัยใหญ่ปรากฏว่าคนมาฟังเยอะมาก

จำได้เลยวันนั้นผมนั่งห้อยขาที่หน้าเวที ชาวบ้านกลับหมดแล้ว ผมเลยถามทีมงานว่าฝั่งเขาคนเยอะไหม ปรากฏว่าอีกทีมไม่ได้จัดปราศรัย ไม่มีเวที และเขาไม่ได้ประกาศอะไรด้วย เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอตื่นมาตอนเช้าใบปลิวเต็มเมืองอุทัยฯ บอกว่าที่ไม่ปราศรัยเพราะถูกขู่วางระเบิด เขากลัวเป็นอันตรายกับพี่น้องประชาชน พอผมอ่านก็อุทานโอ้โหเลย แล้วคุณคิดดู เขาปล่อยใบปลิวมาวันศุกร์ตอนดึก แล้วเราจะชี้แจงอย่างไร เพราะวันเสาร์ 6 โมงเย็นก็ปราศรัยไม่ได้แล้ว มันผิดกฎหมาย 

คุณปฏิเสธไปไหมว่าไม่ได้ขู่วางระเบิด

ผมไม่รู้อะไรเลย และไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ นี่เป็นไม้ตายเขา ผมก็คิดว่าเล่นกันอย่างนี้เลยเหรอ จึงให้ทนายในทีมไปประกาศตอนเช้าๆ สายๆ หน่อยว่า เราจะเปิดใจบริเวณห้าแยกวิทยุครั้งสุดท้ายเรื่องใบปลิว ผมนอนไม่หลับเลยครับ นอนสองสามชั่วโมงก็ตื่นมาเตรียมไปพูด พอถึงเวลาผมก็ยืนอยู่บนรถหน้าร้านข้าวต้ม ถือไมค์พูดจนรถหยุดวิ่ง

ผมพูดจากใจเลย พูดด้วยความโกรธว่า มันไม่แฟร์ ผมประกาศว่า เราไม่ได้ตั้งใจมาทะเลาะกัน ผมตั้งใจมาทำงานทางการเมือง ถ้าผมคิดจะฆ่าเขา เสียเงินแค่สองพันบาท ผมก็ฆ่าเขาได้แล้ว แค่ให้ลูกน้องเอาค่าน้ำมันไป ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างด้วย แค่ติดกระเป๋าไว้หนีตำรวจแค่นั้นเอง แล้วไม่ต้องมีการเลือกตั้งด้วย 

ขนาดตอนนั้นพี่วิศิษฐ์ พึ่งรัศมี (จำเลยในคดีฆ่า แสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการ อสมท.) เป็นนักเลงใหญ่ ตอนนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แวะมาเที่ยวหาผมยังบอกว่า “โอ้ย เดินหาเสียงเมื่อยฉิบหายเลยชาดาเอ้ย ยิงเสียก็หมดเรื่องแล้ว” ผมก็ตอบว่าไม่ได้ๆ แม้ว่าเราจะสามารถทำได้แต่เราไม่ทำไง แต่พอเจอแบบนี้ เราช็อกเลย ผมก็พูดไปจนรถหยุด พี่น้องบางคนฟังแล้วร้องไห้ตาม ก็เป็นการพูดระบายอารมณ์จนครบเวลาก่อนจะผิดกฎหมาย

สุดท้ายผลการเลือกตั้งออกมา ผมชนะขาด คะแนนมาอันดับที่หนึ่งของเขตเลือกตั้งเทศบาล ทีมผมทั้ง 18 คนก็ได้คะแนนลดหลั่นกันมา หัวหน้าทีมฝ่ายตรงข้ามยังแพ้คนสุดท้ายของทีมผมตั้งพันกว่าคะแนนนะ

จากเด็กค้าวัวค้าควาย กลายมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รู้สึกอย่างไรในวันที่โผ ครม.ออกมา แล้วมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คนแบบนี้น่ะหรือที่มารับตำแหน่ง ‘ช่วยมหาดไทย’

ผมรู้สึกเฉยๆ กับคำพูดพวกนี้นะ เพราะคุณไม่ได้รู้จักผมจริง บางคนในเฟซบุ๊กทั้งชีวิตยังไม่เคยชมผมเลย ด่าอย่างเดียว ผมเจอมาครับคนอุทัยฯ ผมไปร้านกาแฟเขานั่งคุยกับผมดีมาก แต่พอออกร้านมาด่าผมเช็ดเลย แต่ตอนหลังเขามาชื่นชมผม การที่คนด่าแล้วมาชื่นชมเราทีหลังผมมีความสุขนะครับ เพียงแต่ว่าคุณต้องให้ความชอบธรรมกับผม อันไหนผมทำดีต้องยอมรับ ไม่ใช่มาอ้างนู่นอ้างนี่อย่างเดียว 

พวกคุณต้องถามตัวเองก่อนว่า มีทัศนคติต่อสังคมอย่างไร ต่อบุคคลอื่นอย่างไร ถ้ามีทัศนคติต่อสังคมแย่ๆ มองผมแย่ๆ ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ผมคิดแค่ว่าคุณรู้เรื่องนี้จริงไหม หรือแค่พูดเอามัน อันนั้นก็ว่าไปตามสบาย ผมไม่แคร์ ชีวิตผมแคร์แค่คนดี เรื่องเลวๆ ผมไม่สนใจหรอก ก็ดูกันยาวๆ ไปนะครับ ก็ต้องทำให้เขายอมรับ แต่ผมไม่โกรธเขา ผมแบ่งแยก เพราะเขาไม่ได้มาแนะนำอะไรดีๆ ให้ทำ ด่าผมเลวอย่างเดียว จริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลยใช่ไหม

บางคนก็วาดภาพผมแบบหนังไทย แบบเจ้าพ่ออะไรอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่ เจ้าพ่อที่ไหนซื้อรองเท้ามาใหม่จากต่างประเทศ ถอดรองเท้าอยู่ที่บ้านดีๆ โดนหมาข้างบ้านคาบไปกัด ป้าข้างบ้านบอกไอ้หนูโทษทีนะ หมาบ้านป้ากัด ผมก็ตอบได้แค่ครับ ไม่เป็นไรครับป้า แบบนี้เหรอเจ้าพ่อ มันไม่ใช่ เข้าใจไหม

เมื่อเป็นรัฐมนตรีแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปมากไหม 

ก็เปลี่ยนนะ แต่มันเป็นแง่ความกังวลมากกว่า งานเยอะขึ้น และเป็นงานที่ต้องพบปะผู้คน งานบริการก็ยังทำได้ไม่เต็มที่เพราะติดรับภารกิจ แต่งานในหน้าที่เราก็ทำอย่างเต็มที่ ถามว่าเปลี่ยนตรงไหน ก็คงวิตกกังวลมากขึ้น ต้องใช้ความมุ่งมั่นมากขึ้น งานยากขึ้นไม่เหมือนตอนเราทำในจังหวัด ตอนนี้มันระดับประเทศ ก็ต้องสู้อย่างสุดความสามารถ

คุณเคยพูดว่า “ถ้าหากสิ่งไหนรับปากว่าทำได้ ผมจะช่วย ให้ทุกคนไปรอดูที่ผลลัพธ์ได้เลย” 

ใช่ครับ เพราะเป็นนักการเมือง อันไหนที่ทำไม่ได้ผมบอกเลยว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะบอกว่าทำไม่ได้ทั้งหมด เราต้องรับมาดูก่อนว่าทำได้หรือไม่ แล้วกลับมาบอกเขา อันไหนทำไม่ได้ก็จะบอกเลยว่าไม่มีความสามารถ ถ้าคนอื่นจะทำผมก็ไม่รู้ผลลัพธ์เหมือนกัน แต่ถ้าอันไหนที่รับปากว่าทำได้ ก็จะทำจนได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม

เช่น สมัยก่อนโรงเรียนอนุบาลที่อุทัยฯ ต้องการตึกเรียนเพราะเด็กเยอะ ผมรับปากว่าจะของบประมาณมาให้ ปรากฏว่ามันหลุด ไม่ได้งบฯ  ตอนนั้นค่าใช้จ่ายการสร้างตึกประมาณสองล้านกว่าบาท ผมเป็นคนมีเพื่อนฝูงเยอะก็เลยใช้วิธีเรี่ยไรเงินคนละนิดละหน่อยมาสร้างอาคารหลังนั้น เพราะรับปากไว้แล้ว อย่างไรก็ต้องทำให้ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นอาคารไทยเศรษฐ์ในทุกวันนี้

แล้วในฐานะ รมช.ที่ได้รับมอบหมายให้ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ข้อนี้เรียกว่าเป็นการรับปากต่อประชาชนด้วยใช่ไหม

การกำจัดผู้มีอิทธิพลในที่นี้ หมายถึงในจังหวัดอุทัยธานีนะ ผมได้รับมอบหมายงานมาก็บอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ แต่จริงๆ ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีสักเท่าไรหรอก เป็นอิทธิพลระดับล่างเสียส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าถ้าผู้ว่าฯ กับผู้การฯ ร่วมมือกัน หรือระดับอำเภอร่วมมือกันก็จะเกิดประสิทธิภาพแน่นอน 

พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร (อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด) เคยพูดว่า คุณชาดาปราบผู้มีอิทธิพลได้ไม่หมดหรอก เพราะเหลือพวกตัวเองไว้ 

คือท่านพูดแบบนี้เพราะเหลือบุรีรัมย์ ต้องพูดก่อนนะว่า บุรีรัมย์เขามีอิทธิพลด้านความดี พัฒนาบ้านเมือง อย่างผมก็อีกแบบครับ ผมใช้อิทธิพลความดี แต่บุรีรัมย์เขาไม่ใช้เลย เขาสร้างบ้านสร้างเมืองอย่างเดียว จัดกิจกรรมแข่งรถหาประโยชน์เข้าจังหวัด 

การที่ท่านเรวัชพูด ผมถือว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมเป็นอิทธิพลด้านดี ไม่ใช่ด้านเลว ผมรู้จักกับท่านมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านเป็นตำรวจน้ำดีมีความสามารถ ไม่ใช่เก่งธรรมดานะ เก่งมากๆ เวลาไปออกงานท่านก็ไปกับลูกน้องแค่คนสองคน ผมคิดว่าท่านเคยยิงคนเป็นร้อย แต่ก็เป็นพวกคนเลวทั้งนั้น คนไม่ดีท่านไม่เอาไว้ คนดีท่านเอาไว้ ซึ่งท่านก็ให้ความเป็นธรรมกับผมในคดีที่เกิดความเข้าใจผิดที่หัวขโมยชัยนาทมาลักขโมยของที่อุทัยฯ แล้วถูกยิงตาย ท่านก็มาค้นบ้านผม พอทราบเรื่องท่านก็กล่าวว่า “ปล่อยแม่งเหอะ” คือมันมาลักวัวลักควายแล้วถูกชาวบ้านเขายิง ไม่ได้เกี่ยวกับผม ตอนหลังก็เคารพรักกันครับ

แม้ภาพลักษณ์ในสายตาคนทั่วไปจะมองว่าคุณเป็นทั้งเจ้าพ่อ มาเฟีย และผู้มีอิทธิพล แต่คุณปฏิเสธหมด แล้วคุณชาดามองว่าตัวเองเป็นใคร เป็นคนแบบไหน

ผมเป็นคนสบายๆ เป็นคนง่ายๆ ผมไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูง ผมเป็นคนขี้เกียจนะ ผมไม่ชอบอะไรที่มีพิธีการ ผมชอบนอนตื่นสาย ผมชอบโลกส่วนตัวของผม ผมจะอยู่อย่างไรมันก็เรื่องของผม

เหมือนสมัยลงเลือกตั้งครั้งแรก ผมก็บอกว่าผมชอบเที่ยวเธค ชอบแต่งตัว จะว่าผมเจ้าชู้หรือไม่ผมไม่รู้ แต่ผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำ ตรงนี้เป็นโลกส่วนตัวของผม อย่ามายุ่ง แต่ผมมีกึ๋นที่จะทำงานให้บ้านเมือง ผมก็บอกคนอุทัยฯ ไปแบบนี้ เขาก็โอเค 

อย่างตอนผมหาเสียงครั้งแรก ผมก็ถามประชาชนว่ามีอะไรจะถามไหม มีคนหนึ่งถามมาว่า “เอ็งมีเมียกี่คนวะ” ผมก็บอกไปว่า อย่าถามเรื่องนี้ได้ไหม ถามเรื่องงาน เรื่องอะไรก็ว่าไป คือผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มีคอนเสิร์ตก็ไปเต้นหน้าเวทีได้ เพราะผมบอกกับพี่น้องประชาชนแล้วว่า ชีวิตผมก็ต้องไปตามประสาผมใช่ไหม ก็ผมวัยรุ่นน่ะ

คือบางคนทำตัวเป็นยาหมดอายุ ไม่จำว่าต้องเป็นรุ่นใหม่รุ่นเก่า คนรุ่นเก่าก็ต้องเข้าใจคนรุ่นใหม่ เขาบอกว่าคนรุ่นเก่าก็ต้องดูการ์ตูนบ้าง จะได้รู้ว่าเด็กมันคิดอย่างไร คืออายุมากไม่เป็นไร แต่ความคิดอย่าแก่ ความคิดอย่าอนุรักษ์หรือว่ามองโลกในแง่เดียวตลอด มันไม่ใช่ มันต้องรู้ความเป็นไปความเคลื่อนไหวของโลกยุคใหม่ พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ เราต้องทำความเข้าใจกับเขาแล้วก็มองทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม แล้วเราจะคุยกับเขาได้

บทบาทของคุณชาดาทั้งในฐานะ รมช. นักการเมือง และบ้านใหญ่อุทัยฯ คุณกำหนดเวลาเกษียณไว้ไหม

งานช่วยเหลือประชาชน ผมไม่เกษียณแน่นอนครับ ตราบใดยังมีชีวิตอยู่อะไรที่ทำได้ผมต้องทำ แต่ความคิดหยุดเส้นทางการเมืองผมคิดครับ ไม่ใช่ไม่คิด ก็อย่างว่า มันก็เหมือนพวกหลงระเริงในรสอาหาร หลงระเริงในโลกมายา ตอนแรกคิดว่าจะวางมือตอน 60 ปี เอ้อ งั้นเปลี่ยนมา 65 ปี ดีไหม อะไรอย่างนี้ คือเราอยู่จนถึงจุดหนึ่งก็ต้องพอ เราต้องจบให้สวย

 แต่งานช่วยเหลือประชาชน แม้จะเลิกเล่นการเมืองผมก็จะเป็นของผมแบบนี้ ช่วยไม่ได้ เพราะมันคือความสุขของผม แม้ไม่ได้เล่นการเมือง ผมก็ต้องทำงานให้ชาวบ้านในสภาพที่ทำได้ ตรงไหนทำได้ก็ทำต่อไป

Fact Box

  • ชื่อชาดา แปลว่าการเกิด
  • ในวัยเด็ก พ่อ แม่ และพี่ชาย ถูกยิงเสียชีวิตตามลำดับ เหลือเพียงเขากับน้องสาว (มนัญญา ไทยเศรษฐ์) ต่อมาในปี 2555 ฟารุต ไทยเศรษฐ์ ลูกชายถูกยิงเสียชีวิต
  • จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 
  • เวลาเครียดจะใช้เวลาอยู่กับตนเอง นอนพักผ่อนหรือฟัง EDM
  • ไม่ได้มองว่าตนเองเป็นสายแฟชั่น แค่สนใจชอบแต่งตัว พร้อมกับใช้ของจากชุมชน เช่น ผ้าไทยหรือกระเป๋าย่าม
  • เวลาแต่งตัวมักถามคนรอบข้างว่า “ดีไหม เหมาะหรือเปล่า” หากไม่มั่นใจก็เปลี่ยนชุด จนบางครั้งต้องลอง 2-3 ชุด ถึงออกจากบ้าน 
  • ชาดามองว่าการแต่งตัวคือความสุข
Tags: , , , , , , , ,