สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว วิกฤตภัยพิบัติโลกร้อน

ปีนี้เป็นอีก 1 ปีที่ทั่วทุกภาคของประเทศต้องเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นจากภัยแล้ง น้ำท่วมหนักอย่างรุนแรงในทุกภาค แผ่นดินถล่ม วิกฤตฝุ่น PM2.5 แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ที่เกี่ยวโยงกับวิกฤตโลกร้อนที่กำลังรุนแรงขึ้น ทั้งเราคาดเดาถึงความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ให้โหดร้ายมากยิ่งขึ้นได้ยากยิ่ง ในช่วงเวลาที่ฤดูกาลไม่ปกติอย่างที่คุ้นเคยอย่างที่เป็นมา กลับสร้างความกังวลใจมากขึ้นว่าในทุกๆ ปีประชาชนในแต่ละภาคจะต้องเผชิญกับภัยทางธรรมชาติอย่างไรบ้าง

ภาวะฝนแช่ (Stationary Heavy Rain) คือการที่ฝนตกหนักในพื้นที่เดิมเป็นนานๆ เพราะลมหรือแนวฝนไม่เคลื่อนตัว ไม่เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน1 ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ก็เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ผู้เขียนไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต แต่กลับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างหลายจังหวัด และยังไม่รวมถึงความเสียหายมหาศาลทั้งชีวิต เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก คนชรา ผู้ป่วย คนจน ฯลฯ ที่มีความสามารถรับมือกับวิกฤตโลกร้อนได้น้อยมาก เพราะน้ำไม่ได้ท่วมแค่บ้าน แต่ทำให้ชีวิตคนบางคนอาจจะต้องล้มจนหาทางลุกขึ้นไม่ได้ ลูกหลานไม่สามารถกลับเข้าสู่การศึกษา การดำรงชีพ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่

ภาพน้ำท่วมภาคใต้จึงเป็นผลจากวิกฤตโลกร้อน ที่เป็นเพียงภาพแทนหนึ่งจากหลายวิกฤตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศ และเรื่องการอยู่รอดหลังวิกฤต การเยียวยา ฟื้นฟู การวางแผนรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐต้องมองให้เห็น และให้ความสำคัญกับภูมิอากาศสุดขั้วที่คนในรุ่นปัจจุบันนี้จะเผชิญ ดังนั้นความไม่สามารถรับมือของรัฐนั้น จึงเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากประชาชน ที่ปนเสียงระงมด่าอย่างแซ่ซ้อง ยังมีเสียงที่เรียกร้องให้รัฐต้องมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ภูมิอากาศสุดขั้ว

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้กันคือ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อหลักการของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการวางฐานกฎหมายฉบับสำคัญของไทยในการจัดการกับปัญหาโลกร้อนร่วมกับนานาชาติ ผ่านกลไกบริหารจัดการผลกระทบของสภาพภูมิอากาศด้วยการบูรณาการทำงานของหน่วยงานรัฐ รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถทางการค้าแบบคาร์บอนต่ำของไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 และจะทำให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันให้ชาติและประชาชนสู่กับผลกระทบโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน2 หรือสรุปง่ายๆ ร่างกฎหมายนี้มุ่งหวังที่จะให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือกับสภาวะโลกร้อน แต่ประชาชนจะมีสิทธิและได้รับการปกป้องจากรัฐมากน้อยเพียงใด เป็นสิ่งที่บทความชิ้นนี้กำลังพาท่านไปสำรวจ 

ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) 

แนวคิดนี้เกิดจากการที่สภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มเปราะบางมากกว่า และประเทศบางประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างร้ายแรง แต่มีความสามารถรับมือกับผลกระทบได้น้อย จึงทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง ‘ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ’ ซึ่งอธิบายถึงความไม่เท่าเทียม ความไม่เป็นธรรม และการเอารัดเอาเปรียบระหว่างประเทศมหาอำนาจกับประเทศยากจน ซึ่งมีช่องว่างทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพที่ต่างกัน3 ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศยากจน และกลุ่มคนเปราะบางจะต้องได้รับจากการวิกฤตโลกร้อนดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามตั้งคำถามกับนโยบาย หรือการรับมือกับสภาวะโลกร้อน ที่ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมของคนกลุ่มเหล่านี้ ว่าจะไม่ถูกหลงลืมและตกหล่นไปข้างหลัง

และแนวคิดนี้ก็ปรากฏอยู่ในร่างกฎหมายโลกร้อน พร้อมกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) ที่มุ่งหวังการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะคำนึงถึงความเป็นธรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาส รวมถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนโดยให้ความสำคัญกับสิทธิของประชาชน ในการดำรงชีวิตภายใต้สภาพภูมิอากาศอย่างสมดุล

อย่างไรก็ตาม ภายใต้บทบัญญัติจำนวนกว่า 205 มาตรา กลับมีเพียงไม่กี่มาตราที่รับรองสิทธิของประชาชน ซึ่งมีเพียงสิทธิในการรับแจ้งข้อมูลและสนับสนุนจากรัฐ และใช้เสียงของประชาชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นในแผนของรัฐ แต่การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ควรจะเป็นหัวใจสำคัญของกฎหมายในการสร้างภูมิคุ้มกันกับสภาวะโลกร้อนสุดขั้วที่เรากำลังเผชิญกลับมีน้อยนิดมาก เมื่อเทียบกับเนื้อหาส่วนใหญ่ของกฎหมายฉบับนี้ถูกวางอยู่บนเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ มากกว่าการจัดการกับผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโลกร้อน เช่น ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS), คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit), กลไกราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ที่เป็นการฟอกเขียว (Green Washing) ว่าได้ช่วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการปลูกต้นไม้ทดแทน แต่ไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด 

แม้ในร่างกฎหมายจะมีบทบัญญัติที่พยายามกำกับควบคุมผู้ปล่อยมลพิษ ด้วยการสร้างระบบข้อมูลก๊าซเรือนกระจก การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลไกภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ที่พยายามจะให้ผู้ก่อมลพิษต้องมีความรับผิดชอบ ด้วยการรายงานข้อมูลของตนให้หน่วยงานรัฐทราบ และต้องจ่ายภาษีบาปเข้าสู่กองทุนภูมิอากาศ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน แต่คำถามใหญ่ของประเทศไทยคือ กลไกเหล่านี้จะสามารถใช้งานได้อย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากเพียงใดในทางปฏิบัติ 

 เราจะรับมือกับภูมิอากาศสุดขั้วได้อย่างไร ถ้าการแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประชาชน

ร่างกฎหมายโลกร้อน เป็นภาพฝันว่าจะเป็นกฎหมายที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการสร้างฐานข้อมูลและกลไกควบคุมผู้ก่อมลพิษให้ต้องรายงานข้อมูล จ่ายเงินภาษีบาปจากการก่อโลกร้อน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า หากขาดความร่วมมือจากภาคเอกชนรายใหญ่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก สังคมก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน ซึ่งกลายเป็นกลไกที่ถูกให้น้ำหนักควบคู่ไปกับเครื่องมือเศรษฐศาสตร์ ที่ปัจจุบันถูกตั้งคำถามอย่างมากว่า การให้สิทธิในการซื้อขายธรรมชาติแบบคาร์บอนเครดิตที่เน้นการปลูกต้นไม้ จะสามารถช่วยให้โลกร้อนน้อยลงได้หรือไม่

ผลอีกด้านหนึ่งคือการซ้ำเติมผู้คนจำนวนหนึ่งจากการถูกแย่งยึดที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำมาปลูกป่า โดยที่ไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลในเร็ววัน และรัฐไทยยังไม่เคยมีท่าทีเอาจริงเอาจังกับการออกกฎหมาย เพื่อกำกับควบคุมให้ผู้ก่อมลพิษต้องมีส่วนรับผิดชอบและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่ประสบความสำเร็จจริงๆ เสียที

คำถามใหญ่ที่สุดและถูกพูดถึงน้อยที่สุดคือ หน้าที่ของรัฐที่ต้องปกป้องให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สะอาด และดีต่อสุขภาพ สิทธิของคนรุ่นปัจจุบัน คนรุ่นอนาคต ที่จะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ หลักความรับผิดชอบร่วมที่แตกต่าง กลับ ‘ไม่’ ปรากฏในคำนิยามใดๆ ของกฎหมายฉบับนี้ การรับรองสิทธิดังกล่าวมีความสำคัญมากเพราะเป็นการสร้างหลักประกันในทางกฎหมายให้แก่ประชาชน

ขณะที่ความพร้อมในการรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้ว ภัยพิบัติต่างๆ ถูกบัญญัติอยู่ในหมวด 12 การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่รัฐมีหน้าที่ในการจัดเตรียมทำแผนการปรับตัวฯ การประเมินความเสี่ยงผลกระทบ และการเข้าถึงและเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ การแจ้งผลการประเมินความเสี่ยง การสนับสนุนแผนระดับจังหวัดและท้องถิ่น

แต่เมื่อคิดบนฐานความเป็นจริงของการบริหารราชการ ยังคงมุ่งเน้นการรวมศูนย์ที่รัฐส่วนกลาง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้การวางแผนแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าไม่ทันการณ์ ขณะที่บทบาทขององค์กรปกคอรงส่วนท้องถิ่นยังคงต้องเพิ่มทั้งศักยภาพ งบประมาณ ความรู้และเทคโนโลยีในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังไม่เพียงพอ ซึ่งการออกแบบและป้องกันให้กับผู้คนต้องวางอยู่บนพื้นฐานความรู้ และภูมิปัญญาที่มีอยู่เดิมในท้องถิ่นนั้น และสอดคล้องไปกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่

นี่คือความท้าทายของการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อน ที่ใหญ่มากกว่าที่กฎหมายโลกร้อนเพียงฉบับเดียวจะจัดการได้ และเมื่อกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิของประชาชน การเปิดกว้างต่อการกระจายอำนาจและทรัพยากรแก่ท้องถิ่นต่างๆ การรับมือต่อภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว จะยังคงเดินหน้าแบบขอไปที เมื่อเผชิญเหตุจึงวนกลับไปสู่แผนรับมือภัยพิบัติที่ออกแบบจากภัยธรรมชาติแบบเดิม กลไกการทำงานรัฐแบบเดิมที่ไม่เคยมีประสิทธิภาพ กฎหมายที่มีอยู่ก็ไม่ได้แก้ไขให้ทันกับยุคสมัยที่ภัยธรรมชาติมีความรุนแรงมากขึ้น และสุดท้ายก็ต้องวนมาสู่ที่ประชาชนที่อดทนรนไม่ไหวออกมาช่วยเหลือกันเอง 

อ้างอิง

1 Spacebar, บทวิเคราะห์: น้ำท่วมใต้ 2568 ฝนหนักสุดในรอบ 300 ปี จาก ‘Stationary Heavy Rain’ และอิทธิพลของ ‘ลานีญา’, https://spacebar.th/social/sustainability-analysis-southern-thailand-flood-2568-worst-in-300-years-stationary-heavy-rain-la-nina

2 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, สุชาติ ชง ครม. ไฟเขียว ร่างกฎหมายโลกร้อน ยกระดับประเทศไทยสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เสริมภูมิคุ้มกันรับมือโลกเดือดอย่างยั่งยืน, https://www.dcce.go.th/14324/

3 พาฝัน หน่อแก้ว, “Climate Justice: ทุน รวย จน ความเหลื่อมล้ำ และความเท่าเทียม”, สืบค้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566, ทุน รวย จน ความเหลื่อมล้ำ และความเท่าเทียม : Climate Justice (themomentum.co)



Tags: , , , , , ,