ต้องเติมคำว่า ‘มาก’ ต่อท้าย เพราะเป็นกราฟิกโนเวลเลื่องชื่อในอเมริกาปี 2017-2018 โดย ทิ บุย (Thi Bui) ประพันธกรศิลปินหญิงอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม เล่าเรื่องราวความเป็นมาของครอบครัวที่ต้องอพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนสมัยสงครามมายังแดนศิวิไลซ์ เนื้อหาและการเล่าจึงมีบริบทการเมืองการสังคมช่วยขึงตาข่ายโศกนาฏกรรมของผู้คนที่เราขนานนามว่า Boat People สิ่งที่น่าสลดคือเหตุการณ์ดังกล่าวยังดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงห้วงปัจจุบันยามที่เผด็จการหลงยุค (ฟื้นฟูใหม่หรือยั่งยืนมายาวนาน) ยังคงผลักให้เกิดระลอกผู้อพยพที่ต้องเสี่ยงชีวิตข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
The Best We Could Do เลยเล่าได้ดีสุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่ความเป็นมาของพ่อแม่ พี่น้อง และตนเอง ปนไปกับความผกผันของบริบท และเรื่องราวในอดีตย้อนให้เห็นกลับมายังปัจจุบัน ตอนพยายามวาดและเล่าออกมาเป็นภาพ เป็นรูปภาพ หลายตอนจึงวางภาพควบคู่ เช่น ภาพพ่อวัย 7 ขวบ ต้องระหกระเหินเดินทาง และภาพตนเองวัยเด็กต่อหน้าพ่อล่วงชรา พร้อมคำบรรยายว่า “ฉันโตมากับเด็กชายเสียขวัญที่กลายมาเป็นพ่อฉัน” (หน้า 128)
หรือฉากเปิดบทที่ 6 เมื่อเขาย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์กและจินตนาการไปว่าพ่อคงรู้สึกตื่นเต้นแบบเดียวกันตอนมาถึงไซ่ง่อนปี 1955 กระทั่งภาพจากบท 9 หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ตึกที่พัก แล้วเขาก็หลับ ภาพเด็กหญิงผมสั้นปิดตา กลายมาเป็นผู้หญิงผมยาวนอนปิดตาเพื่อเปิดบทที่ 10 เป็นบทสุดท้ายเมื่ออยู่โรงพยาบาลคลอดลูก ที่อดีตและปัจจุบันเชื่อมโยงสะท้อนต่อกัน
แม้จะตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ประวัติของครอบครัวกับในเวลาปัจจุบัน แต่เส้นเรื่องกลับต่อเนื่อง ระคนด้วยข้อคิดคำนึงจากผู้ประพันธ์ จะวาดอย่างไรเพื่อเล่าบางช่วงตอนที่ตนไม่รู้หรือรู้ว่าตนจะไปพัวพันเกินเหตุ บทที่ 5 เปิดมาให้เห็นศิลปินหน้าโต๊ะวาด ครุ่นคิดถึงวิธีการเล่าเรื่องราวของฝ่ายแม่ หน้านิ่ว กุมหัว มองภาพถ่ายในมือและคำในกรอบพูด/ คิด: “เขียนเรื่องแม่ดูท่าจะยากกว่าสำหรับฉัน บางทีอาจเป็นเพราะภาพแม่มันผูกติดกับความเห็นฉันเกี่ยวกับตัวฉันเองมากเกินไป” (หน้า 131) กลวิธีแบบ Metafiction ที่ประพันธกรศิลปินเล่ากระบวนการสร้างผลงานไปในเรื่องเล่าของตน อาจเรียกได้ว่าคือมิติสะท้อนตน = Reflexivity ผลงานย้อนให้เห็นอยู่ภายในว่า เส้นทางความคิดการตกผลึกเป็นอย่างไร และเรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องหลักอย่างไร
วิธีการไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์แง่มุมชีวิตประวัติที่คละเคล้าเหตุการณ์ทางการเมือง เลยมีพลวัตจากศิลปะการถ่ายทอดที่เผยตนให้เห็น อาจกล่าวได้ว่า ตัวกลางที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านคือ ศิลปะการวาดและเล่าเรื่องที่ช่วยฟื้นอดีตหลอมหล่อรวมในผืนแผ่นปัจจุบัน
Transition ดังกล่าวช่วยเปิดเผยเรื่องในตอนต้นเมื่อเล่าตอนคลอดลูก และช่วยปิดเรื่องตอนท้ายเมื่อมองลูกชายวัย 10 ขวบ เป็นภาพผู้แต่งหรือศิลปินในฐานะแม่มองลูกชายลงไปเล่นน้ำทะเล: “แต่เมื่อฉันมองลูกชายในวัยสิบขวบตอนนี้ ฉันไม่เห็นสงครามและความสูญเสีย หรือแม้กระทั่งแทรวิส (สามี) และฉัน ฉันเห็นชีวิตใหม่ที่ผูกพันกับชีวิตฉันแทบจะบังเอิญด้วยซ้ำ และฉันก็คิดว่า บางทีเขาก็สามารถเป็นอิสระ” จบด้วยภาพเด็กชายดำลงไปในน้ำอย่างเริงร่า
ผู้อ่านรู้ดีว่า ทุกการเปลี่ยนผ่านจากสงครามมายังปกติสุข มีโศกนาฏกรรมเป็นระยะ และเป็นระยะที่ถี่จนจำได้ว่า มีฉากที่พ่อวัยเด็กของผู้เขียนต้องเกาะคอเกาะหลังชายที่พาว่ายลงหนองคลองบึงหลบทหารฝรั่งเศส หรือเหตุการณ์ตอนพ่อโตอยู่บนเรืออพยพพร้อมครอบครัว แล้วพลันตกน้ำลงทะเลตอนใกล้ฝั่งมาเลเซีย แต่ก็ตั้งสติว่ายกลับขึ้นมาจนถึงฝั่ง
พ่อในวัยเด็กจับเจ่ารออยู่ใต้ดินที่คล้ายโพรงหญ้า พร้อมข้าวถุงน้ำถุงรอวันรอคืนผ่านรูแสงสว่างที่บอกวันเวลาจนมีคนพากลับ บนเรืออพยพ แม่บอกลูกสาวที่เมาเรือให้มองดูดาวนายพรานหรือดาวไถยามค่ำคืน พลิกต่อมาเป็นภาพ 2 หน้าเต็ม ต่อเนื่องเป็นผืนฟ้าเดียวกัน เห็นน้ำเห็นฟ้าคล้ำดำของค่ำคืน พ่อก็มองไปยังดาวไถราวความหวังเดียวที่มีอยู่คือ รอดชีวิตไปด้วยกันทั้งหมด
การโยกย้ายอพยพเปลี่ยนผ่านมาจนถึงค่ายผู้อพยพ จินตนาการได้ว่า ความเป็นอยู่ภายในคงไม่ใช่ชีวิตปกติสุขของคนภายนอก อีกทั้งผู้เป็นแม่ยังตั้งท้องตั้งแต่อยู่ในเรือแล้ว สภาพในค่ายพลอยทำให้เหตุการณ์ขุ่นขึ้นอีก เด็กๆ สนุกกับการไม่ต้องไปโรงเรียน เฮฮาลงน้ำทะเล ฝ่ายผู้ใหญ่ต่างต้องหาหนทางไปต่อ การไปต่อคือต้องไปด้วยกันพร้อมกัน คนที่มาปิ๊งกันก็ร่วมลงชื่อเป็นคู่สมรส บางคู่สมรสก็รับเด็กที่เดินทางลำพังเป็นลูก เพื่อจะได้เป็นครอบครัว ความอนาถากลายเป็นเมตตาธรรม
และก็เพราะเมตตาธรรมเช่นกันที่ทำให้พ่อและแม่เกือบหรือตกเครื่องบิน เมื่อต้องเปลี่ยนเครื่องครั้นมาถึงอเมริกา แม่ต้องช่วยคนอพยพอื่นๆ ให้ไปถูกทาง เพราะแม่เป็นคนเดียวที่รู้ภาษาต่างประเทศ แม่และลูกเกือบตกเครื่อง ฝ่ายพ่อที่ตามมาทีหลัง ก็มัวช่วยคนอื่นแบบเดียวกับแม่จนตกเครื่องจริงๆ ต้องนอนรอในสนามบินจนลำต่อไปจะมารับ
การเปลี่ยนผ่านสถานภาพจากผู้อพยพระเหเร่ร่อน เป็นผู้อพยพที่เริ่มต้นการลงรากปักฐาน จึงตามต่อด้วย Cultural Transition ต้องปรับตัวเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่มารยาทการกิน (ไม่ควักซีเรียลจากกล่องมานั่งเขมือบหน้าบ้าน แต่ต้องใส่ถ้วยราดนมเป็นกิจจะลักษณะ, หน้า 285) หรือการเรียนที่ต้องรู้ว่าคลาส Gym คือเรียนเรื่องอะไร เรียนรู้ที่จะตื่นเต้นกับสัมผัสแรกเมื่อหิมะตก และแน่นอนว่า ยังต้องเรียนรู้การยอมอดทนอดกลั้นในฐานะคนต่างบ้านแปลกถิ่น เป็นเพียงผู้มาอาศัย ฉากที่พ่อจูงมือลูกสาวเดินไปตามถนน แล้วถูกกลุ่มวัยรุ่นหยามประณาม “You stupid Gook !!!” พร้อมถ่มน้ำลายใส่หน้า พ่อได้แต่หลับตา มีคราบติดข้างขมับ หยิบผ้ามาเช็ดหน้า เดินจูงลูกสาวต่อไป
ภาพนั้นชวนสะอึก กล้ำกลืนแทนตัวละครในภาพ
การทำดีที่สุดเท่าที่พวกเราทำได้ หมายรวมสภาพจำยอมให้บริบทย่ำยี ให้ผู้อื่นเหยียด ให้คนแปลกหน้าหยามตนที่แปลกถิ่น นั่นไม่ได้แปลว่าพ่อแม่งอมืองอเท้า แต่ค่อยๆ หาลู่ทางเลี้ยงตนเลี้ยงครอบครัว ประคับประคองเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะสีผิวใดสถานภาพไหนความเป็นอยู่อย่างไร
หนังสือเล่มนี้ มีสีภาพไม่กี่โทน ขาวดำส้มน้ำตาล ทว่าโทนของเหตุการณ์และวิธีเล่าน่าจะเกินสีในจานสี ทั้งช่วงเริงร่า ทั้งช่วงดราม่า สลับปะปน โทนของการครุ่นคิดนึกใคร่ครวญบรรเลงคลอให้เข้าใจในความละเมียดของเนื้อหา จวบจนบทตอนช่วงสุดท้ายที่หวนมายังฉากโรงพยาบาลซึ่งเปิดเรื่องมา ปมทั้งหลายผ่อนคลายตัว เล่าบ้าง แต่โดดเด่นด้วยความคิดคำนึงพร้อมจะประมวลจบ บทพูดจางไปทีละน้อย กรอบห้วงคำนึง ห้วงของการสรุป เริ่มทยอยตัวมาเป็นระยะ
และความวิตกตบท้ายคือ ห่วงว่าร่องรอยบาดแผลความชอกช้ำระบมขมขื่นจากอดีตวัยเด็ก จะส่งผ่านไปยังลูกราวกับยีนพันธุกรรมที่เด็กจะรับทอดไป ภาพลูกชายวัย 10 ขวบ สนุกเพลินกับการเล่นน้ำช่วยคลายความกังวล ไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือความสูญเสียในตัว หวังกระทั่งว่าลูกจะหลุดอิสระจากทุกพันธนาการแม้แต่จากสายพันธุ์ครอบครัว นั่นคือเด็กควรได้อิสระจากทุกสิ่งทุกประการทั้งปวง
ไม่มีการ Transfer ความปวดร้าวครั้งสงคราม ครั้งอพยพ ครั้งยังเป็น Boat People ทว่าอัตบุคคลเรียนรู้ความเจ็บความเศร้าความช้ำชอกจากสรรพสิ่งรอบตัว สังคม และกรอบปฏิบัติตีตราความทรงจำไว้ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ความที่มันไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี่เอง ที่ยิ่งน่าสะพรึงกลัว ชะตากรรมเชิงสังคมของอัตบุคคลคงความผันผวนแปรปรวน แบบเดียวกับที่พ่อบนเรือมองขึ้นฟ้าดูดาวไถด้วยความหวังว่าจะรอดชีวิต ยังคงมี Boat People จากนานามุมโลก มีเด็กชายปาเลสไตน์ที่หิวจนต้องประชดกินฝุ่นกินทรายต่อหน้ากล้องถ่าย ไม่ต่างจากพ่อวัยเด็กในโพรงหลบภัยพร้อมข้าวถุงน้ำถุง ยังคงเหลือหลงสงครามที่พรากผู้คนจากผืนดินแม่ พรากลูกพรากแม่พ่อพี่น้อง โศกนาฏกรรมคราวกระโน้นช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 ดูราวค้างเชื้อพันธุ์อำมหิตไว้ให้ผู้คนศตวรรษต่อมารับช่วงต่อ
หรือว่า ดีที่สุดเท่าที่พวกเราทำได้ คือการอ่านทบทวนความทรงจำผ่านนิยายภาพของ ทิ บุย ที่ยังคงเป็นปัจจุบันไปอีกนาน
Tags: The Best We Could Do, Lost in Thoght, หนังสือ