หากกล่าวถึงความบันเทิงบนผืนดินอีสาน เชื่อว่า ‘หมอลำ’ จะเป็นสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง เพราะไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมบนดินแดนที่ราบสูงของไทยเท่านั้น หากแต่หมอลำยังเข้าถึงคนในทุกภูมิภาคของประเทศไทย และกลายเป็นวัฒนธรรมที่แม้แต่คนตามหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ยังถวิลหา

อย่างไรก็ตามแม้หมอลำในยุคสมัยใหม่ได้รับความนิยมสูง ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ดีในการรักษาวัฒนธรรมพื้นถิ่นเอาไว้ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจสวนทางในแง่การอนุรักษ์ที่ต้องลงลึกไปถึงรากเหง้าของวัฒนธรรม เนื่องจาก ‘ต้นตำรับ’ ของหมอลำในปัจจุบันกำลังจะสูญหายไปจากการถูกหลงลืมและไร้ความสนใจ

นั่นเป็นเหตุผลให้ วันดี พลทองสถิตย์ ในวัย 74 ปี เจ้าของคณะหมอลำอุดมศิลป์ พยายามอย่างหนักเพื่อส่งต่อการรับรู้ ‘รากเหง้า’ ของหมอลำสมัยใหม่อย่างการสอน ‘ลำพื้น’ ในฐานะอาจารย์พิเศษผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน สาขาดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้ของเก่ายังถูกพูดถึงท่ามกลางกระแสถาโถมของหมอลำยุคใหม่ แม้จะเป็นเพียงการเรียนการสอนภายในรั้วมหาวิทยาลัยก็ตาม

เบื้องหลังของครูผู้สอน

เส้นทางจากเจ้าของคณะหมอลำ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน มีต้นทางจากความหลงใหลในศาสตร์การแสดงหมอลำตั้งแต่วัยเด็ก

วันดีเล่าให้ฟังว่า เธอชื่นชอบหมอลำมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และติดตามไปชมคณะหมอลำที่มักเข้ามาจัดการแสดงตามงานบุญผะเหวดและงานบุญมหาชาติ จนทำให้เธอจดจำท่วงทำนองเพลงรวมไปถึงกลอนที่หมอลำร้อง ซึ่งเธอจำได้แบบคำต่อคำโดยไม่จำเป็นต้องจดบันทึก

“แม่ชอบหมอลำมาตั้งแต่ 7 ขวบแล้ว แต่ได้ขึ้นฮ้านหมอลำจริงๆ ก็ตอนอายุ 12 ปี ตอนนั้นครอบครัวยากจนมาก แม่มีลูก 10 คน ไม่มีข้าวกับน้ำให้กินกัน เขาเลยบอกให้ไปเรียนหมอลำหาเงิน พอได้ซื้อข้าวเหนียวกับน้ำปลามากินกับพี่น้องในบ้าน ก็เลยต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.4 เอาตัวไปฝากไว้กับพ่อลุงวงหมอลำวงสามัคคีรุ่งนครให้เขาสอนหมอลำให้

“พอเข้าไปครูบาก็ถาม อยากเรียนหมอลำจริงๆ ใช่ไหม ถ้าอยากเรียนก็เขียนเอา ตอนนั้นเลยถือปากกา ดินสอ กับสมุดเขียนตามคำบอกของครูบา วันนี้เขาจะสอนกลอนอะไร เขาจะบอกให้เราเขียนตาม”

ความคุ้นเคยกับความบันเทิงตามแบบอีสานตั้งแต่วัยเด็ก หล่อหลอมวันดีให้กลายเป็นผู้มีความโดดเด่นด้านหมอลำตั้งแต่เริ่มเรียน โดยเฉพาะการขับร้องด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบกับทักษะพิเศษของหมอลำอย่างการ ‘เอื้อน’ ที่เธอทำได้ดี จนได้รับความไว้วางใจจากครูบาอาจารย์ให้อัดเสียงแสดงหมอลำผ่านรายการวิทยุ แม้เริ่มเรียนมาได้เพียง 2 ปีเท่านั้น โดยตั้งต้นจากการเป็นเสียงของตัวประกอบ ก่อนจะก้าวขึ้นสู่บทบาทของ ‘นางเอกหมอลำ’ ครั้งแรกในปี 2508 ที่ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดนที่ราบสูงในวัยราว 14-15 ปี

ความคร่ำหวอดในการลำที่เพิ่มมากขึ้นพอๆ กับชื่อเสียงที่พุ่งทะยานระหว่างออกแสดงกับคณะหมอลำสามัคคีรุ่งนคร เป็นแรงผลักดันให้วันดีตัดสินใจตั้งคณะหมอลำ ‘อุดมศิลป์’ ขึ้นในปี 2516 โดยมุ่งหวังให้หมอลำเป็นมากกว่าสิ่งที่เธอใฝ่ฝันคือ การสร้างรายได้ให้กับครอบครัว เธอค่อยๆ สร้างผลงาน สะสมชื่อเสียง จนถูกจดจำในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘หมอลำอุดมศิลป์’ อย่างไรก็ดี เส้นทางที่วันดีเลือกเดินไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มรสุมลูกสำคัญที่เธอเผชิญคือ เหตุการณ์ไฟไหม้บ้านปี 2538

“จุดเปลี่ยนคือไฟไหม้บ้านช่วงปี 2538 ชุดเต้นที่ตัดเตรียมไว้ให้เด็กใช้ลำไหม้หมด เหลือแต่กลอง เหตุการณ์นี้ทำให้ความนิยมอุดมศิลป์ถดถอย ไม่มีใครอยากมาเป็นหางเครื่องให้ สิ่งที่คิดคือพาตัวเองเข้าโรงเรียนกัน ไปสอนเด็กให้เขารู้จัก นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่เริ่มหาพื้นที่สอนหมอลำ”

อย่างไรก็ตามจากมุมมองของผู้คนในแวดวงการศึกษา ณ เวลานั้น ที่ยังไม่ค่อยเล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นในการสอนวิชาหมอลำให้แก่นักเรียนและนักศึกษา ทำให้วันดีรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการตระเวนหาพื้นที่ถ่ายทอดวิชา แต่ด้วยจุดมุ่งหมายอันแรงกล้าบวกกับความรู้สึกเสียดายคุณค่าทางวัฒนธรรมหมอลำที่ร่ำเรียนมา กลายเป็นพลังให้เจ้าของคณะหมอลำอุดมศิลป์คนนี้ ฮึดสู้จนสามารถเข้าไปสอนหมอลำภายในสถานศึกษาได้ในฐานะ ‘ครูพิเศษ’ โดยมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมไปจนถึงมัธยม แม้ว่าเธอจะไม่รู้หนังสือก็ตาม

“ตอนจะเข้าไปสอน เขาก็จะให้เราเขียนอธิบายเรื่องที่จะสอนก่อน แต่เพราะไม่รู้หนังสือ จะเขียนก็เขียนไม่ออก ครูประจำชั้นเขาจึงตีตารางให้ ฉันก็สอนมาตั้งแต่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน โรงเรียนกัลยาณวัตร โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย สอนไปสอนมา เขาก็เลยให้เข้าเมืองมาสอนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น นี่แหละเป็นจุดสำคัญ”

อุดมศิลป์ที่โลดแล่นในรั้วมหาวิทยาลัย

ด้วยความสามารถด้านหมอลำที่เป็นที่ประจักษ์ ทำให้ชื่อของวันดีได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน สาขาดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อรับหน้าที่สอนทักษะการลำกลอนและลำเรื่องให้แก่นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 ตั้งแต่ปี 2552 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

“หมอลำไม่ใช่เพลงนะ วิชาที่สอนเลยเป็นพวกทักษะลำกลอนกับทักษะลำพื้น ภาพรวมก็คือการสอนร้องเนื้อหา ใส่ลีลา สอนฟ้อนเกี่ยวแบบแยกสอนผู้ชายกับผู้หญิง ผู้ชายก็สอนเกี้ยวสาว ส่วนผู้หญิงก็สอนเกี้ยวบ่าว”

‘กลอนลำ แม่ครูหมอลำอุดมศิลป์’ เป็นชื่อของหนังสือเรียนที่ตั้งตามชื่อคณะหมอลำอุดมศิลป์ ผู้ออกแบบเนื้อหาการสอนจึงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวันดี

“เนื้อหาในหนังสือเป็นภาษาอีสานทั้งหมด เพราะไม่ได้ใช้ภาษาไทยกลางเมื่อเราลำ คำบางคำในหนังสือมีความหมายลึกที่คนไม่ค่อยรู้จัก อย่างคำว่า ดอกไม้นี่หนา ดวงมาลานี่เอย รูปพระถันตูมเต้านี้จะเป็นของใคร คำว่า พระถันตูมเต้า เข้าใจไหมว่าแปลว่าอะไร ไม่เข้าใจใช่ไหม ดังนั้นการเรียนหมอลำจึงต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนคำศัพท์ก่อน”

‘เต้านมที่ยังคงเต่งตึงไม่หย่อนคล้อย’ คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘ตูมเต้า’ ซึ่งวันดีเน้นย้ำว่า แม้แต่คนขอนแก่นแท้ๆ ก็อาจไม่รู้ความหมายของคำนี้ ยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ด้วยแล้วยิ่งไม่รู้ความหมาย ดังนั้นในการสอน เธอจึงต้องปูพื้นฐานคำศัพท์ให้แก่นักศึกษาทุกคนก่อนเป็นภารกิจลำดับแรก ซึ่งรวมไปถึงการอธิบายโครงสร้างภาษาอีสานที่ใช้ขับร้องบน ‘ฮ้าน’ หมอลำ

“ภาษาของเราไม่มีสระเอือ มีแต่สระเอีย นักศึกษาที่มาลำเขาชอบออกเสียงว่าอย่างเช่น มาก้ำ มาเลื่อม ฉันก็จะบอกว่าไม่ได้ออกเสียงแบบนี้ ต้องเป็น มาก้ำ มาเลี่ยม ที่สำคัญคือ ไม่มี ร ล ควบกล้ำ ตอนอ่านคำว่า ‘พระ’ ให้ออกเสียงว่า ‘พะ’ ไปเลย”

หมอลำอุดมศิลป์อธิบายว่า เมื่อนักศึกษาได้ร่ำเรียนคำศัพท์จนเข้าใจความหมายของแต่ละคำแล้ว ส่วนต่อไปคือการสอนด้วยการใส่ทำนองเพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการขับร้องให้แก่ผู้เรียน โดยเฉพาะคำสร้อยหรือการเอื้อนคออันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของหมอลำอีสาน เพื่อเร้าอารมณ์ผู้ชมเบื้องล่างเวที

“คือจั่งเฮาเฮ็ดกับข้าว กะต้องใส่ปลาแดก ใส่เกลือให้มันนัวๆ ให้มีรสชาติ การเอื้อนกะคือการเติมความน่าสนใจให้การลำ เป็นการใส่สร้อยให้มัน” วันดีเล่าอย่างออกรสด้วยภาษาอีสาน

เธอกล่าวเสริมว่า ทำนองที่ใช้สอนนั้นเป็นทำนองขอนแก่นแก้วแก่นหล้า ซึ่งมีความแตกต่างกับทำนองของจังหวัดอุบลราชธานีที่จะขึ้นต้นด้วย ‘โอ้’ เป็นทำนองลำยาวก่อนจะขยายความ เช่น “โอ่โอ้ยฟ้า…”

“ของขอนแก่นจะขึ้นว่า ยอศาแนบน้อม สวัสดีพ่อแม่ทั้งหลาย ทั้งคุณตาคุณยายให้คอยมาฟังลำเรื่อง ความสนุกก็จะแตกต่างกันไป”

ท่วงท่าและลีลาคือ ส่วนประกอบสำคัญที่ปลุกเร้าอารมณ์ของผู้รับชมหมอลำอยู่เบื้องล่างเวที การขับร้องเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอในสายตาของหมอลำอุดมศิลป์

“ตอนลำอยู่บนเวทีต้องใช้จิตวิทยามองคนด้วย สายตาอย่าจ้องอยู่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ให้กวาดมองล่างเวทีให้ทั่วแล้วดูว่าเราจะได้เงินจากตรงไหน ก็ให้โปรยยิ้มลงไปกับทำเสียงอ้อนๆ อิแม่เอ๋ย หรือจะใช้คำว่า อ้ายเอ๋ย ก็แล้วแต่จะกล่าว ให้ไปออกแบบการอ้อนกันเอาเอง

“แต่ถ้าเห็นคนเริ่มลุกจากที่นั่ง อาจเพราะเราลำยาวเกิน คนอาจจะไม่อยากฟังเราแล้ว ก็ให้หาทางลง ไม่ต้องรอให้กลอนจบ ไม่ใช่ว่าลำเอ๊า ลำเอา คนจะหนีไปหมด สิ่งนี้จะกลายเป็นสัญชาตญาณของเราเมื่อเรียนวิชานี้ไป”

การเรียนหมอลำภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนอกจากจะได้รับความนิยมในกลุ่มนักศึกษาที่สนใจดนตรีแล้ว ยังได้รับความสำคัญจากกลุ่มนักศึกษาและคณาจารย์ภายในรั้วมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจออกแบบให้การศึกษาหมอลำไม่สูญเปล่า มีการจัดสอบและให้คะแนนตามรายวิชาที่สอนอย่างเป็นระบบ เช่น การสอบร้องที่มีวันดีเป็นผู้ให้คะแนน และมากกว่านั้นคือการได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยการสวมบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของคณะหมอลำ ‘สินไซ’ อันเป็นบททดสอบสำคัญว่าสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมากับอาจารย์แต่ละสาขาวิชาจะมาประกอบสร้างเป็นวงหมอลำขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร

“แม่เป็นกรรมการดูหมอลำสินไซทุกปี รุ่นพี่เขาเป็นคนคัดเลือกเอารุ่นน้องในคณะไปขึ้นแสดง เรียกกันว่าเป็นการผสมวงปี 3 แต่ปีต่อๆ ไปอาจจะไม่ได้ไปแล้ว เพราะนั่งดูนานไม่ไหว” วันดีกล่าวพร้อมหัวเราะ

ฮากเหง้าที่กำลังสูญหาย

แม้จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนกับวันดีจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในแต่ละปีอาจทำให้หมอลำอุดมศิลป์รู้สึกชื่นใจอยู่บ้าง แต่จำนวนก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่า ‘ลำพื้น’ ทำนองขอนแก่นที่เธอเพียรเผยแพร่และส่งต่อมาหลายทศวรรษจะคงอยู่คู่ถิ่นกำเนิดไปตลอดกาล เพราะโดยส่วนมากผู้เรียนไม่ได้นำเอาหลักสูตรที่เธอสอนไปปรับใช้กับชีวิตจริงมากนัก หากแต่เอาทักษะไปประยุกต์กับการร้องเพลงตามยุคสมัยใหม่ น้อยคนที่จะออกไปเป็นหมอลำเมื่อก้าวออกจากประตูห้องเรียนของเธอไป

“นักศึกษายังคงเข้ามาเรียนวิชาหมอลำกันนะ แต่เมื่อออกจากห้องเรียนไปแล้วเขาก็ไม่ได้เอาวิชาเราไปใช้ข้างนอก จะลำก็ลำกันแต่ในห้องเรียน เมื่อเรียนจบแล้วก็ไปเป็นนักร้อง เข้าใจว่าคงเป็นรสนิยมของคนในสังคมยุคสมัยนี้ เพียงแต่คาดหวังให้เอาทำนองหมอลำขอนแก่นเข้าไปสอดแทรก เหมาะสมตรงไหนเอาใส่ตรงนั้น แต่ก็ไม่มีใครทำเลย เขาว่ามันยาก หมอลำพื้นมันเลยเสียเอกลักษณ์ไปหมดแล้ว

“หากพูดถึงสถานการณ์ความนิยม หมอลำพื้นปัจจุบันค่อนข้างซบเซา อ่อนแอลง เราอาจจุดประกายให้คนยังมองเห็นว่ามีมันอยู่ แต่มันคงไม่หวือหวามากพอจะให้คงอยู่ต่อไปได้นานๆ เหมือนกับของกินที่เราไม่กินมันก็จะเน่า หากไม่มีใครพูดถึง มันก็จะหายไป เขาจะลืม แต่ตัวแม่ในฐานะหมอลำพื้นก็ทำได้แค่จุดประกายไฟน้อยๆ เท่านั้น”

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อลำพื้นหายไป ไม่เพียงแต่ภาษาอีสานโบราณที่จะถูกกลืนหายไป แต่ยังรวมถึง ‘รากเหง้า’ ที่จะสาบสูญไปเมื่อไม่มีวัฒนธรรมดั้งเดิมให้ได้สัมผัส แม้ว่าในวันนี้สถานการณ์ที่คนอีสานไม่รู้จักหมอลำยังคงไม่เกิดขึ้น แต่จุดเริ่มต้นของการถูกกลืนหายเข้าสู่สังคมยุคใหม่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วผ่านการมองเห็น ‘ลำพื้น’ ที่น้อยลงไป

“ลำพื้นเป็นต้นกำเนิดของหมอลำ แม่คิดอย่างนั้น สิ่งที่ทำได้คือการสอนวิชาหมอลำพื้นต่อไปเพียงเพื่อให้คงอยู่ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานให้เขายังสามารถนำวัฒนธรรมเหล่านี้ไปใช้ได้สักทางหนึ่ง อย่างน้อยคือขอให้หมอลำยังอยู่ในความทรงจำของเขาก็ยังดี เพื่อที่สักวันหนึ่งเขาอาจจะนำมันออกมาใช้ได้

“ทำนองหมอลำพื้นคือรากเหง้าของอดีต และของเรา เหมือนกับที่ตัวแม่ได้ทำนองหมอลำพื้นมาจากการลอกเลียนทำนองพระเทศน์ในงานบุญผะเหวด แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เอื้อนเทศน์แบบตอนนั้นแล้ว กลายเป็นเร่งเทศน์แทน อย่างไรก็ตามแม้คนจะสนใจหมอลำพื้นกันน้อยลง แต่วิชาที่สอนจะไม่เปล่าประโยชน์หรอก เพราะมันคือรากเหง้าของคน ดังนั้นลูกหลานเขาควรได้เห็นว่าหมอลำจริงๆ เป็นอย่างไร มากกว่าเห็นเป็นการแสดงที่มีการร้องและการฟ้อน ซึ่งก็คือความหมายของอดีต

“เฮามาเฮ็ดหม่องนี้ย้อนว่าเฮาเสียดาย อยากให้มันคงอยู่กับคนรุ่นใหม่ ให้ได้เรียนฮู้พื้นเพ ให้ได้ฮู้ว่าเฮาเกิดจากไส มันอยู่ในเนื้อหาที่เฮาสอนนี่ล่ะ” วันดีทิ้งท้าย

Tags: , , , , , ,