ผู้หญิงคนหนึ่งถูกจำคุกพร้อมกับลูกน้อยที่กำลังป่วย เนื่องจากเธอไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าธรรมเนียมศาลอีก 4.63 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ และหลังจากถูกคุมขังมากกว่า 20 วัน ลูกน้อยมีอาการป่วยหนักจนเจ้าหน้าที่ต้องแยกเด็กออกไปจากแม่ และสุดท้ายเด็กก็เสียชีวิตโดยไม่ได้อยู่กับแม่ที่ถูกคุมขัง (คดี Hannah Crispy, Boston 1820)
คดีข้างต้นเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการลงโทษจำคุกบุคคลผู้ไม่สามารถจ่ายเงินชำระหนี้ที่ตนเองคงค้างไว้ได้ เมื่อราวกว่า 200 ปีก่อนหน้าในสังคมอเมริกัน และกลายเป็นคดีที่ส่งแรงสะเทือนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและเกิดการตั้งคำถาม พร้อมเรียกร้องให้ยุติการจำคุกลูกหนี้ และนำไปสู่การยกเลิกไม่ให้มีการปฏิบัติการบังคับชำระหนี้ในลักษณะการบังคับเอาจากเนื้อตัวร่างกาย แทนที่จะเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นสำคัญ
ประเด็นดังกล่าวจะเห็นว่า เมื่อย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ หากเกิดสถานการณ์ที่มีคนยากจนเกินกว่าจะจ่ายหนี้ได้ คนๆ นั้นก็จะถูกส่งไปยัง ‘คุกขังลูกหนี้’ (Debtors’ Prison) ซึ่งปัจจุบันหากกล่าวเฉพาะมิติบทบัญญัติกฎหมายและเชิงหลักการ ย่อมถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เป็นปฏิบัติการทางกฎหมายที่ไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด ทั้งนี้บทความชิ้นนี้จะชวนทำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยคุกขังลูกหนี้ของฝั่งประเทศตะวันตกว่ามีอยู่อย่างไร เพื่อประโยชน์ต่อการสำรวจปัญหาของการจำคุกลูกหนี้ที่อาจแฝงอยู่ในเวลาปัจจุบัน
ทำความรู้จักระบบ ‘คุกขังลูกหนี้’
คุกขังลูกหนี้ มีให้เห็นอยู่ในนวัตกรรมทางประวัติศาสตร์ของอารยธรรมตะวันตกในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Twelve Tables) อันเป็นประมวลกฎหมายโรมันที่เก่าแก่ที่สุดเมื่อราว 451 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งบัญญัติรับรองให้มีการจัดตั้งคุกขังลูกหนี้ และถือเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรครั้งแรกที่ยอมให้ใช้การคุมขังเป็นมาตรการบังคับหนี้ ลูกหนี้ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายโรมันสามารถถูกคุมขังได้ หากว่าไม่ชำระหนี้ภายใน 30 วัน และอาจถูกลงโทษรุนแรงกว่านั้น เช่น การประหารชีวิต หรือถูกขายเป็นทาส อีกทั้งหากลูกหนี้ค้างหนี้ต่อเจ้าหนี้หลายราย เจ้าหนี้แต่ละรายล้วนมีสิทธิอำนาจเหนือร่างกายลูกหนี้ ถึงขั้นสามารถ ‘แบ่งร่างกาย’ ของลูกหนี้ เพื่อแสดงการแยกชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทุกคนอย่างเท่าเทียม
ถัดมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชนชั้นขุนนางเจ้าที่ดินของนิวสเปน (New Spain) ได้ดำเนินกลไกเชิงสถาบันภายใต้ระบบทาส โดยทำการกดขี่ชนพื้นเมืองให้กลายเป็นทาสแรงงาน และแม้ต่อมาจะมีการประกาศยกเลิกระบบทาส ได้ก่อเกิดการใช้กลไกกฎหมายมาเป็นเครื่องมือการแสวงประโยชน์โดยใช้ ระบบภาระผูกพันแห่งหนี้ แทนการใช้ระบบทาสแบบเดิม อันเป็นการบังคับให้ชนพื้นเมืองต้องทำงานเพื่อชดใช้หนี้ที่มักถูกสร้างขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม
สำหรับประวัติของการคุมขังลูกหนี้ในสหรัฐฯ สืบย้อนไปได้โดยตรงจากกฎหมายจารีตประเพณีอังกฤษ (British Common Law) ในยุคกลาง เดิมทีอังกฤษยังคงใช้ระบบการเป็นทาสเพื่อชดใช้หนี้ (Debt Slavery) จนกระทั่งชาวนอร์มัน (Normans) กลุ่มชนชาติที่เคยตกเป็นเหยื่อของมาตรการบังคับให้เป็นทาสแทนการชำระหนี้อย่างกว้างขวางได้มาซึ่งอำนาจปกครองบ้านเมือง จึงมุ่งหมายที่จะทำลายกฎหมายและกลไกเชิงสถาบันที่คอยสร้างความชอบธรรมให้กับการกดขี่กลุ่มชนชาติตนเองในอดีตที่ผ่านมา
ทว่าเพียงไม่กี่ศตวรรษต่อมา กฎหมายต่อต้านลูกหนี้ก็กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งภายใต้การเคลื่อนไหวผลักดันของชนชั้นพ่อค้าและชนชั้นขุนนาง ส่งผลให้รัฐสภาอังกฤษผ่านกฎหมายหลายฉบับในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 13 เพื่ออนุญาตให้มีการคุมขังลูกหนี้ที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาได้โดยชอบ
ระบบการคุมขังลูกหนี้ในกฎหมายอังกฤษที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เปิดช่องโหว่ทางกฎหมายให้ฝ่ายเจ้าหนี้เอกชนมีอำนาจคุมขังลูกหนี้ได้ทั้งก่อนและหลังการพิจารณาคดี โดยลูกหนี้อาจถูกกักขังอยู่เช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถชำระหนี้ หรือจนกว่าเจ้าหนี้จะยินยอมปล่อยตัว กล่าวคือ เจ้าหนี้อาจไม่มีอำนาจในการบังคับหรือยึดเอาทรัพย์สินของลูกหนี้มาได้โดยตรงและต้องหวังพึ่งกลไกของศาลเท่านั้น แต่ในมิติการบังคับใช้กับเนื้อตัวร่างกายของลูกหนี้ เจ้าหนี้กลับสามารถใช้กลไกทางกฎหมายบีบบังคับให้ลูกหนี้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกเป็นเวลายาวนาน แม้เป็นหนี้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ที่สำคัญคือ คุกขังลูกหนี้ได้พัฒนาไปสู่การดำเนินการเชิงธุรกิจ เรือนจำกลายเป็นกิจการที่แสวงหากำไร โดยผู้ต้องขังถูกเรียกเก็บ ‘ค่าธรรมเนียม’ นานัปการ ตั้งแต่ค่าผ่านเข้า-ออก ค่าห้องพัก ค่าที่นอน ไปจนถึงค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นระบบที่ส่งผลเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมความยากจนของพวกลูกหนี้ และก่อให้เกิดการบิดเบือนของกระบวนการยุติธรรมที่แปรสภาพเสรีภาพของมนุษย์ให้กลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างไม่สิ้นสุด
หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีชาวอังกฤษประมาณปีละหมื่นคนที่ถูกคุมขังเพราะหนี้สิน โดยล้วนต้องทนทุกข์อยู่ภายใต้สภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย ระบบคุกขังลูกหนี้ในช่วงเวลานี้จึงเป็นทั้งมาตรการทางกฎหมาย และเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สะท้อนถึงการผูกเอาเสรีภาพของมนุษย์เข้ากับพันธะทางการเงิน และยังถือเป็นหลักฐานของความอยุติธรรมเชิงโครงสร้างที่กดทับผู้ยากจนอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง
ด้านประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยที่เป็นอาณานิคมอังกฤษ ก็ได้นำเอาระบบคุกขังลูกหนี้จากอังกฤษมาใช้แทบทั้งหมดตามที่ตำรากฎหมายร่วมสมัยในยุคนั้นบันทึกไว้ว่า “กฎหมายอนุญาตให้มีการจับกุมบุคคลด้วยกระบวนการชั่วคราว (Mesne Process) สำหรับคดีข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวกับหนี้สินระหว่างปัจเจกบุคคล เพื่อเป็นหลักประกันแก่เจ้าหนี้ว่า ลูกหนี้ในฐานะจำเลยจะไม่หลบหนี หากศาลตัดสินให้มีหนี้และต้องชำระหนี้ตามฟ้อง” กล่าวคือ กระบวนการ Mesne หรือกระบวนการระหว่างพิจารณานี้ หมายความว่า บุคคลสามารถถูกคุมขังก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้เจ้าหนี้อาจใช้สิทธิในการร้องขอให้ศาลออก ‘capias ad satisfaciendum’ หรือ ca. sa. ซึ่งเป็นหมายจับหลังคำพิพากษา โดยสั่งให้นายอำเภอควบคุมตัวลูกหนี้ (จำเลย) ไว้ในคุกจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน สถานการณ์หวนชวนให้นึกถึงคำกล่าวของ มองเตสกิเออ (Montesquieu) นักปรัชญาการเมือง นักกฎหมาย และชาวฝรั่งเศสในยุคเรืองปัญญาที่เคยกล่าวไว้อย่างสะท้อนใจว่า “ความยิ่งใหญ่คือ สถานะความเหนือกว่า ซึ่งคนหนึ่งมีต่ออีกคนหนึ่ง เพียงเพราะได้ให้กู้ยืมเงินแก่เขา” ข้อสังเกตนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่กฎหมายมอบให้แก่เจ้าหนี้ พร้อมตอกย้ำถึงการไม่สมดุลกันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ให้กู้กับผู้กู้ในสังคมยุคนั้นด้วย
เมื่อชาวอาณานิคมบางกลุ่มมีฐานะมั่งคั่งขึ้นและระบบสินเชื่อเริ่มแพร่หลาย กฎหมายที่เข้มงวดกว่าเดิมก็ถูกตราขึ้นตามมา จนถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ระบบคุกขังลูกหนี้กลายเป็นภาพชินตาในสังคมอเมริกัน และปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้มาตรการนี้แพร่หลายเกี่ยวข้องกับการที่ลูกหนี้จำนวนมากเริ่มกู้เงินจากเจ้าหนี้ที่อยู่นอกพื้นที่ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่อาศัย และทำให้เจ้าหนี้เหล่านี้เผชิญกับความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มเจ้าหนี้ใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อมูลเกี่ยวกับลูกหนี้มีจำกัด การสื่อสารล่าช้า และกฎหมายเองก็กำหนดสิทธิในการได้รับชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่สามารถดำเนินคดีได้ก่อน ซึ่งโดยมากมักเป็นเจ้าหนี้ที่อยู่ใกล้ตัวลูกหนี้
สุดท้ายแล้ว ในบริบทเช่นนี้ การปล่อยกู้จึงกลายเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจากปัญหาขาดความใกล้ชิดในสายสัมพันธ์ของตนเองกับลูกหนี้ เจ้าหนี้ที่อยู่ห่างไกลจึงมองว่าการคุกขังลูกหนี้เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการบีบบังคับชำระหนี้ ถึงแม้มันจะหมายถึงการพรากเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ก็ตาม
การปฏิบัติอันเลวร้ายต่อผู้ถูกคุมขังเพราะหนี้
การคุมขังลูกหนี้ในสหรัฐฯ และยุโรปยุคต้น มักถูกมองในฐานะมาตรการทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพิจารณาผ่านการตีความเชิงศีลธรรมว่าเป็น ‘ความล้มเหลวของบุคคล’ (Moral Failing) มากกว่าจะเป็นปัญหาหนี้สินหรือวินัยทางการเงิน แม้กระทั่งนักเทศน์ในคริสต์ศาสนาหลายคนก็ถึงกับโยงหนี้เข้ากับความผิดบาป และยืนยันว่ามนุษย์มีพันธะเชิงศีลธรรมที่จะต้องชำระหนี้ โดยเปรียบพระเจ้าเป็น ‘เจ้าหนี้ผู้ยิ่งใหญ่’ แนวคิดเช่นนี้สะท้อนว่าลูกหนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผู้ผิดสัญญาทางแพ่งเพียงเท่านั้น แต่ยังถูกทำให้กลายเป็น ‘ผู้บกพร่องทางศีลธรรม’ ในสายตาสังคมด้วย
สถานะทางกฎหมายของลูกหนี้ เป็นภาพที่เผยให้ถึงการการตีตรา ผู้ที่มีหนี้ค้างชำระและถูกคุมขัง จะต้องถูกจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานอื่นๆ อีกหลายประการ เช่น ไม่สามารถทำพินัยกรรมได้ เนื่องจากทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกริบหากเสียชีวิตไป บางรัฐถึงขั้นมีกฎหมายที่เปิดช่องให้ลงโทษผู้ล้มละลายด้วยการเฆี่ยนตีและตอกหูติดหลักประจาน ให้ลูกหนี้รับผิดชอบด้วยการต้องทนทุกข์ทรมานทางกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน
การปฏิบัติอันเลวร้ายที่เด่นชัดที่สุดคือ กรณีลูกหนี้มักถูกขังในเรือนจำเดียวกับนักโทษอาญา แม้จะแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น เรือนจำเก่าในเมืองนวร์ก มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น โดยชั้นสองใช้คุมขังลูกหนี้ ส่วนชั้นใต้ดินกักนักโทษที่ ‘อันตรายกว่า’ โดยลูกหนี้อาจถูกกักขังได้ ‘ไม่ว่าที่ใด ตามที่นายอำเภอเห็นสมควร’ อีกทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ‘สภาพของลูกหนี้นั้นเลวร้ายยิ่งกว่านักโทษอาญาเสียอีก’ เหตุเพราะนักโทษอาญายังได้รับอาหารเพื่อยังชีพ ในขณะที่ลูกหนี้กลับไม่ได้รับสิทธิเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ต้องขังโทษทางอาญาจะมีเวลาจำคุกที่แน่นอน ในขณะที่ผู้ต้องขังที่เป็นลูกหนี้ กลับไม่มีความมั่นคงใดๆ และอาจถูกกักขังนานเพียงใดก็ได้
ระบบคุกขังลูกหนี้ยังแฝงฝังซึ่งความเหลื่อมล้ำในระบบกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ เกิดความแตกต่างของผลทางกฎหมายระหว่างคนรวยกับคนจน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนรวยอาจเช่าห้องขังที่กว้างขวาง จัดหาอาหารดี หนังสือ และสิ่งบันเทิง ขณะที่คนจนต้องทนอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา คุกขังลูกหนี้บางแห่งอาจถูกขนานนามว่าเป็น ‘คฤหาสน์แห่งความทุกข์’ ‘โรงฆ่ามนุษย์’ ‘กรงอันมืดมน’ และ ‘คลังเน่าเฟะ’ สื่อร่วมสมัยถึงกับบรรยายว่า คุกเหล่านี้คือ ‘นรกที่สมบูรณ์แบบ’ ซึ่งความรุนแรง การติดสินบน และการกระทำอันน่าขยะแขยงเกิดขึ้นเป็นกิจวัตร
ความเลวร้ายของคุกขังลูกหนี้ เปิดเผยผ่านความเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายในยกเลิกการคุมขังแก่การไม่ชำระหนี้นี้ ที่มองว่าระบบดังกล่าวคือ ‘การทำให้ความยากจนกลายเป็นอาชญากรรม’ กฎหมายเช่นนี้คือการตอกย้ำความเหนือกว่าของคนจำนวนน้อยที่มั่งคั่งและมีอำนาจ ต่อคนส่วนใหญ่ที่ยากไร้และไร้อำนาจ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การคุมขังลูกหนี้ ถือเป็นระบบที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และกดทับผู้ยากจนอย่างเป็นระบบ
คุกขังลูกหนี้สมัยใหม่
จะเห็นว่า การคุมขังลูกหนี้ในอดีตมักสัมพันธ์โดยตรงกับหนี้สินทางแพ่ง ไม่ว่าจะเป็นหนี้เงินกู้หรือสัญญาเชิงพาณิชย์ ลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้ถูกกักขังไว้โดยตรงเพื่อบีบให้จ่ายคืน แม้เป็นหนี้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ในบางสังคม ลูกหนี้ถูกขังร่วมกับนักโทษอาญา ต้องทนอยู่ในสภาพเลวร้าย ไร้สิทธิได้รับอาหารหรือความช่วยเหลือพื้นฐาน และยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในระหว่างถูกจองจำ กฎหมายและทัศนคติในสมัยนั้นมองหนี้ไม่เพียงเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แต่เป็น ‘บาปทางศีลธรรม’ ที่สมควรถูกลงโทษ การคุมขังลูกหนี้จึงเป็นกลไกที่ผสมผสานระหว่างกฎหมาย เศรษฐกิจ และการตีตราทางสังคมอย่างเข้มข้น
ข้ามมาที่บริบทร่วมสมัย แม้สหรัฐอเมริกาและหลายประเทศยกเลิกคุกขังลูกหนี้ทางแพ่งไปแล้ว แต่ ‘คุกขังลูกหนี้สมัยใหม่’ กลับปรากฏในรูปแบบใหม่ที่แฝงอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แก่นสำคัญคือการกักขังบุคคลเพราะไม่สามารถชำระหนี้ที่เกิดจากค่าปรับ ค่าธรรมเนียมศาล และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม (Legal Financial obligations: LFOs) ไม่ใช่หนี้จากสัญญาทางแพ่งโดยตรง หากผู้ต้องหาไม่สามารถจ่ายได้ ศาลสามารถออกหมายจับและนำไปคุมขัง ผลลัพธ์จึงแทบไม่ต่างจากการฟื้นคืนคุกขังลูกหนี้ เพียงแต่เปลี่ยน ‘เจ้าหนี้เอกชน’ ในอดีตมาเป็น ‘รัฐและกระบวนการยุติธรรม’ ในปัจจุบัน
นอกจากนี้แม้กฎหมายวางกรอบว่าการผิดสัญญาแพ่งไม่ใช่ความผิดอาญา แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏการ ‘พลิกแพลงนิติกระบวน’ เพื่อนำลูกหนี้เข้าสู่การคุมขังโดยอาศัยฐานความผิดอาญา กรณีแพร่หลายที่สุดคือการฟ้องลูกหนี้ในข้อหาฉ้อโกง โดยอ้างว่าการผิดสัญญาทางแพ่งเป็นการมีเจตนาทุจริตตั้งแต่ต้น และอาศัยคำรับสารภาพแบบจำยอมของลูกหนี้ เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามที่เจ้าหนี้กล่าวอ้าง การตีความเช่นนี้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างหนี้แพ่งกับความผิดอาญาถูกทำให้พร่าเลือน ลูกหนี้จำนวนมากต้องเผชิญกับโทษจำคุก ไม่ใช่เพราะพวกเขาโกงจริงๆ แต่เพียงเพราะไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้
กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเช็คก็เป็นอีกกลไกสำคัญที่ทำให้ ‘หนี้แพ่ง’ ถูกผลักเข้าสู่พื้นที่อาญา ลูกหนี้ที่ออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีเพียงพอ แม้สาเหตุแท้จริงคือการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาและถูกจำคุก ผลที่เกิดขึ้นคือการทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของบุคคลถูกตีตราเป็น ‘ความผิดทางอาญา’ และนำไปสู่การสูญเสียเสรีภาพ
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการอาศัย ‘คำรับสารภาพ’ ของลูกหนี้ในกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคม ลูกหนี้จำนวนมากไม่สามารถต่อสู้คดีได้เต็มที่ จึงเลือกยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้าง โดยไม่ทันได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงหรือแยกแยะระหว่าง ‘ความผิดสัญญา’ กับ ‘การฉ้อโกง’ ผลลัพธ์คือกระบวนการยุติธรรมถูกใช้เพื่อทำให้หนี้แพ่งถูกตีความและลงโทษราวกับเป็นอาชญากรรม
ความเหมือนที่เห็นได้ชัดคือทั้งในอดีตและปัจจุบัน ระบบคุกขังลูกหนี้ต่างกดทับผู้ยากจนอย่างเป็นระบบ คนรวยสามารถใช้เงินปลดเปลื้องหนี้หรือซื้อความสะดวกในเรือนจำได้เสมอ ขณะที่ผู้ยากจนต้องเผชิญกับวงจรหนี้-คุก-หนี้ที่ไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ดีความแตกต่างก็คือ อดีตมุ่งบังคับหนี้แพ่งที่เกิดจากความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้เอกชน ส่วนปัจจุบันเป็นการบังคับหนี้สาธารณะที่รัฐสร้างขึ้นเองผ่านโครงสร้างกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น ‘คุกขังลูกหนี้สมัยใหม่’ ยังคงดำรงอยู่ในรูปของกลไกกฎหมายที่พรากเสรีภาพของผู้ยากจน เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถชำระภาระทางการเงินทั้งที่รัฐกำหนดและตามที่ตนเป็นหนี้ได้ เป็นการทำให้ ‘ความยากจนกลายเป็นอาชญากรรม’ ที่สะท้อนความต่อเนื่องเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างคุกหนี้โบราณกับการคุมขังเชิงโครงสร้างในยุคปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง
Monea, Nino C. “A Constitutional History of Debtors’ Prisons.” Akron Law Review 55, no. 1 (2022): 59–89.
Sobol, Neil L. “Charging the Poor: Criminal Justice Debt & Modern-Day Debtors’ Prisons.” Maryland Law Review 75, no. 2 (2016): 486-540.
Blackstone, William. Commentaries on the Laws of England. Oxford: Clarendon Press, 1765-1769.
Montesquieu, Charles de Secondat, Baron de. The Spirit of the Laws. Edited by Anne M. Cohler, Basia Carolyn Miller, and Harold Samuel Stone. Cambridge: Cambridge University Press, 1989 [1748].
Tags: หนี้, กฎหมาย, Rule of Law, ลูกหนี้, เจ้าหนี้, คุกขังลูกหนี้