1
“เวลาผมได้ยินข่าวมีคนถูกจับ ผมคิดว่าพวกเขาต้องทำอะไรผิดมาแน่ๆ ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่าลูกจะต้องถูกปล่อยมา เพราะครอบครัวเราไม่ยุ่งการเมือง ไม่คลั่งศาสนา”
ชายชราวัย 82 ปี อาชีพจับปลา นั่งอยู่หน้าโรงพักที่ตอนใต้ของอียิปต์กล่าว ลูกชายของเขาทำงานขับรถ เป็นพ่อของลูก 4 คน ถูกจับตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่ไม่สามารถยืนยันข้อมูลได้
เขาพยายามประสานทนายความมากมาย แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร และปลายทางที่น่าจะรู้คำตอบได้ดีที่สุด ก็คือการเดินทางไปไคโร ชายชราวัย 82 ปี นั่งรถไฟกว่า 15 ชั่วโมงเพื่อไปเมืองหลวงของประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่นั่น อัยการ ตำรวจไล่เขาด้วยความรำคาญ มีทนายแสบๆ เรียกเงินอ้างว่าจะหาตัวลูกให้ โดยบอกว่าลูกถูกแจ้งข้อหาก่อการร้าย เมื่อจ่ายไปก็เงียบกริบ เขาไม่ยอมแพ้ เดินทางไปเรือนจำโทราสุดอื้อฉาว ที่หน้าทางเข้ามีตัวหนังสือเขียนว่า ‘สถานที่ซึ่งจะไม่มีใครได้ออกมา’
ไม่มีใครยืนยันว่าลูกเขาอยู่ไหน ลูกแค่ทำงานขับรถ จะเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร 3 ปีผ่านไป ทุกอย่างยังเงียบกริบ แต่ชายชรายังรอ เช่นเดียวกับหลายครอบครัวในประเทศนี้ ประเมินว่ามีนักโทษการเมืองถูกคุมขังในอียิปต์ถึง 6 หมื่นรายด้วยกัน และมีผู้ต้องขัง 4.5 พันคนที่ติดคุกระหว่างรอการพิจารณาคดี ซึ่งให้อำนาจอัยการยื่นคำร้องต่อศาล ขังคุณได้เรื่อยๆ จาก 15 วันยาวไปถึง 2 ปีได้
พวกเขาทั้งหมดถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ต้องขึ้นศาลพิเศษที่ตั้งมาเพื่อจัดการผู้ก่อการร้าย ในนามแห่งการบ่อนทำลายความไม่สงบของชาติ หลายครั้งหลักฐานลานเรือง แต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังดำเนินไปได้อย่างน่าประหลาดใจ
“ในอียิปต์ การที่คุณประกอบระเบิด หรือโพสต์ด่ารัฐบาลลงเฟซบุ๊ก อาจถูกตั้งข้อหาเดียวกันได้”
2
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องเล่าถึงชายคนหนึ่งที่เกิดในเมืองไคโรก่อน พ่อของเขาทำงานค้าขาย นับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้เคร่งไปถึงระดับคลั่ง อย่างไรก็ดี พ่อเป็นที่นับหน้าถือตาแก่คนในชุมชน สามารถคุยกับนักธุรกิจที่ร่ำรวยได้อย่างสนุกปาก แต่ก็ใช้ภาษาคุยกับคนจนในพื้นที่ได้อย่างลื่นคอ และเปี่ยมบารมีมาก
สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาถึงลูกชาย ซึ่งเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารของอียิปต์ จบการศึกษาในปี 1977 นั่นทำให้เขาอดร่วมวงสงครามใหญ่ๆ ของอียิปต์มากมาย ทั้งการถูกรุกรานคลองสุเอซ ทั้งสงคราม 6 วัน ที่อิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มเครื่องบินอียิปต์ชนิดบรรลือโลก หรือการบุกสายฟ้าแล่บใส่อิสราเอล สงครามเหล่านี้ นายร้อยหนุ่มพลาดไปหมด
แต่เขากลับขยับยศไต่เต้าเรื่อยมา ได้ไปเรียนหาความรู้เพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา เข้าใจตะวันตก และยังมีเส้นทางอาชีพเรืองรองในอียิปต์ด้วย
กองทัพอียิปต์คือกองทัพที่มีประเทศเป็นส่วนประกอบ นายพลทั้งหลายได้รับเงินอุดหนุนจากสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้านก่อการร้าย พวกเขาเอาเงินไปถลุงทำธุรกิจ โยงกันไปมาในระบบเศรษฐกิจของประเทศ มีฐานะ มีเงินทอง โกงกันอย่างหน้าด้านๆ ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างสนุกมือ ภายใต้ระบอบเผด็จการกองทัพของฟาโรห์ นายพล ฮอสนี มูบารัค ผู้ยืนยง
แต่ไม่ใช่กับเขา เมื่อกลับจากสหรัฐอเมริกา เขายังอยู่ในกองทัพ แบบมือสะอาดที่สุดเท่าที่กองทัพอียิปต์จะมองมันไม่สกปรก
จนเมื่อเกิดอาหรับสปริงขึ้นในปี 2011 ประชาชนคนอียิปต์ใช้สื่อออนไลน์ยุคใหม่ ชุมนุมประท้วง เสียชีวิตไปหลายพันคน บาดเจ็บล้มตาย แต่ก็สามารถโค่นล้มฟาโรห์มูบารัคที่ปกครองประเทศอย่างยาวนานลงได้ มีการเลือกตั้งแบบใสสะอาด มีรัฐบาลที่มาจากประชาชนสำเร็จ
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงของปวงประชา ประธานาธิบดีพลเรือนคนแรกของประเทศ เข้าไปจัดการปฏิรูปกองทัพ ในสภากลาโหมที่เต็มไปด้วยนายทหารแก่ๆ ที่หวงอำนาจและเงินทองจากผลประโยชน์ค่อยๆ ถูกรื้อออกไป เขาในฐานะนายพลหนุ่มที่สุด ได้เข้ามาอยู่ในสภากลาโหม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานเสนาธิการร่วม ให้คำปรึกษาด้านกองทัพแก่ประธานาธิบดีพลเรือน และยังได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วย
ดูเหมือนเส้นทางเขาจะสดใส ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี เมื่อประชาชนออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลพลเรือน ซึ่งมีรากฐานจากกลุ่มศาสนาหัวรุนแรง ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งเข้าคุมสถานการณ์ มีการปราบปรามประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทางชนชั้นนำ นายพลชรา สื่อมวลชนเข้าพบเขา เพื่อขอให้จัดการอะไรสักอย่าง
“ไม่ต้องรีบ เราแค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น” พลเอกผู้คุมกองทัพหล่นวาทะนี้
1 กรกฎาคม 2013 นายพลหนุ่มยื่นคำขาดถึงรัฐบาลพลเรือนให้จัดการปัญหาชุมนุมประท้วงให้สำเร็จใน 48 ชั่วโมง ถ้าทำไม่ได้ กองทัพจำต้องเข้าไปแทรกแซง เพื่อฟื้นคืนระเบียบของประเทศ คำประกาศกร้าวนี้ กองทัพบอกว่ามันไม่ใช่การรัฐประหาร
3 กรกฎาคม 2013 นายพลสั่งเคลื่อนกำลังเพื่อโค่นรัฐบาลพลเรือน หลังจากนั้นเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นจอมพล ใหญ่สุดในประเทศนี้ พร้อมก้าวขึ้นกุมอำนาจ โดยมุ่งมั่นจะคืนความสงบให้กับประเทศ จัดการกลุ่มคลั่งศาสนา ไล่จับคนในรัฐบาลเก่า
มีคนออกมาประท้วงคัดค้านการรัฐประหาร จอมพลหนุ่มสั่งสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริง มีคนตายไปหลักพัน มีการกวาดจับอย่างกว้างขวางรุนแรง
จอมพลหนุ่มประกาศว่าจะไม่ลงเลือกตั้งหลังประกาศคืนความสงบ แต่สุดท้ายเขาก็บอกว่า ประชาชนรบเร้า นั่นทำให้ตัวเองต้องลงสมัครเป็นประธานาธิบดี แม้จะมีคู่แข่ง แต่การกวาดล้างขั้วตรงข้ามการเมืองโดยกองทัพและตำรวจที่โหดเหี้ยม ทำให้เขาชนะอย่างขาดลอยได้เป็นประธานาธิบดี บริหารประเทศไปโดยย้ำว่าอียิปต์จะต้องสงบ มั่นคง ภัยคุกคามใดๆ ที่จะบั่นทอนประเทศนี้จะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากโดยเด็ดขาด
เขาลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ได้รับเสียงชนะถึง 97 เปอร์เซ็นต์ แม้กระทั่งประเทศก้าวหน้าประชาธิปไตยที่ผู้นำมีความนิยมก็ยังได้คะแนนไม่สูงเท่านี้ ยิ่งหากไปดูคนออกไปใช้สิทธิ กลับมีเพียง 49 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
นี่คืออียิปต์ภายใต้บงการของประธานาธิบดี นายพล อับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี
จากทหารดาวรุ่ง ไม่เคยรบ ดูแววน่าจะฉลาด หัวตะวันตก สู่เผด็จการที่เหี้ยมโหด
เพียงแค่ประชาชนแซวเอารูปหูมิกกี้เมาส์ไปแปะที่หูของอัล-ซีซี ก็มีตำรวจไปจับกุมแจ้งข้อหาก่อการร้าย
ภายใต้ระบอบนี้ อียิปต์คือประเทศแห่งความยุติธรรมใต้เงาแห่งกฎหมายของรัฐที่เหี้ยมโหด ประธานาธิบดีเจ้าของประเทศยืนยันว่าทั้งหมดทำไปเพื่อประเทศ เพื่อความมั่นคง ช่างเป็นคำพูดที่คล้ายอดีตเผด็จการในอดีตยิ่งนัก แต่ขอโทษ! มันเป็นความจริงที่แสนน่ากลัว
3
ที่อียิปต์ เจ้าหน้าที่รัฐใช้กระบวนการยุติธรรมในการกวาดล้างผู้เห็นต่าง ในประเทศนี้ หากคุณถูกใครอุ้มหายจากบ้าน ขอให้ฟันธงได้เลยว่าคนที่จับไปคือทางการ
ความน่ากลัวคือ หลายครั้งผู้ถูกจับกุมรู้ว่าข้อหาที่ถูกตั้ง เช่น ก่อการร้าย นั้นเบาหวิวอย่างมาก ต่อให้ขึ้นศาล เขาก็น่าจะหลุดคดีได้ง่าย เพราะอัยการจะไปเอาหลักฐานอะไรมาชี้ว่าเขาคือผู้ก่อการร้าย นอกจากเป็นเพียงคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนี้เท่านั้น
แต่นั่นคือความผิดพลาดที่ประเมินความยุติธรรมของอียิปต์ต่ำไป อัยการใช้วิธีการคุมขังรอระหว่างไต่สวน โดยตามกฎหมายอียิปต์มีการกำหนดว่าจะต้องคุมขังผู้ถูกกล่าวหาได้นานสุดเท่าไร แต่ภายใต้ข้อหาก่อการร้ายที่ยัดมา อัยการสามารถคุมขังผู้ถูกจับกุมได้ยาวถึง 15 วันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 4 เดือน เขาก็จะถูกนำตัวขึ้นศาล อัยการถึงจะแจ้งข้อหาก่อการร้าย จากนั้นก็สามารถขังต่อได้เรื่อยๆ อีก 45 วัน
ช่วงเวลานั้น ทนายความของจำเลย ไม่สามารถเข้าไปคุยกับลูกความตัวเองได้ ไม่สามารถเข้าถึงหลักฐาน มีเพียงข้อกล่าวหาแสนเลื่อนลอย แต่ศาลก็ทำงานใกล้ชิดกับอัยการ ยอมให้ขังต่อไปเรื่อยๆ มีผู้ถูกจับกุมและถูกขังรอการไต่สวนยาวนานถึง 7 เดือนด้วยกัน โดยผู้ถูกคุมขังอายุน้อยที่สุดคือเด็กชายวัยเพียง 14 ปีเท่านั้น
ศาลพิเศษพิจารณาคดีก่อการร้ายนี้ เป็นศาลที่ดูน่าสยองมาก ทุกครั้งของการขึ้นศาล จะมีจำเลยนับร้อย นั่งเบียดอยู่ในกรงกระจกใส ทนายความต้องร้องเรียกลูกความให้ยกมือ ญาติพี่น้องครอบครัวคนรักต้องฝากข้อความผ่านทนายความไปให้ ไม่มีการให้เยี่ยม ไม่มีสิทธิเหมือนนักโทษพึงจะได้รับ พวกเขามีค่าน้อยอย่างมากในความเป็นคน
แม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวายอลหม่าน แต่การพิจารณาคดีกลับดำเนินไปอย่างว่องไว อัยการจะแจ้งขอขังเพิ่มอีกกี่วัน โดยให้เหตุผลต่างๆ นานา จากนั้นศาลก็จะพิจารณาอย่างรวดเร็วทันที อนุญาตให้ทำได้ จบสิ้นกระบวนความ
มีบางคราจำเลยอาจเอ่ยปากพูดได้ “ศาลที่เคารพ ผมมีการศึกษาเหมือนกับท่าน ผมมีลูกสาว โปรดพิจารณาการปล่อยตัวผมด้วยครับ”
แม้จะอ้อนวอนเพียงใด แต่ความเมตตาไม่อาจพบได้ในสถานที่แห่งนี้
ประเมินกันว่าตั้งแต่รัฐประหารในปี 2013-2020 มีคนกว่า 1.17 หมื่นคน ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย แถมส่วนใหญ่ไม่ได้มีพฤติกรรมหัวรุนแรงเลย
พวกเขาก็แค่คนที่บ่นรัฐบาลในช่วงยากลำบากแห่งชีวิต ช่วงที่ประชาธิปไตยถูกปล้น เหลือไว้เพียงกำปั้นเหล็กแห่งขุนศึกที่ยังกอบโกยทุกอย่างจากประเทศ และมีอเมริกาหนุนหลังอย่างสบายใจ
อัล-ซีซีมุ่งมั่นที่จะปราบปรามการก่อการร้าย เขาเป็นมุสลิม แต่ไม่เคร่งศาสนาจนถึงคลั่ง นโยบายของอียิปต์ทำให้รัฐบาลอเมริกาลังเลที่จะประณามการรัฐประหารอย่างหน้าด้าน เพียงเพราะนายพลและกองทัพอียิปต์ยังตกลงที่จะจัดการทำลายกลุ่มก่อการร้ายให้สิ้นซาก ในยามที่อเมริกากำลังติดพันสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก
นั่นทำให้พวกเขายอมปิดตาข้างหนึ่ง ให้อียิปต์มีระบอบอำนาจนิยมสุดโหดแบบนี้
4
มีหลายคดีด้วยกันที่สุดท้ายมีการปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง แต่พวกเขากลับได้สูดกลิ่นอายอิสรภาพไม่กี่วัน ก็ถูกจับไปใหม่ หลายคนถูกโดนดำเนินคดีแบบนี้ ประมาณว่ามีผู้ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีใหม่กว่า 1,700 คนเลยทีเดียว
นั่นทำให้พวกเขาต้องเจอวงจรอุบาทว์กลับไปติดคุก ที่สภาพชีวิตสุดลำบาก ถูกคุกคามทรมานกลั่นแกล้งจากผู้คุม ยิ่งช่วงโควิด-19 ระบาด มันเป็นสถานที่แพร่เชื้ออย่างรุนแรงเลยทีเดียว แน่นอนว่ามีคนตายจากการถูกขังรอพิจารณาคดีในเรือนจำมากมาย
แม้สหรัฐอเมริกาจะพยายามกดดันอียิปต์ให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง และรัฐบาลอัล-ซีซียอมทำตาม เช่น ล่าสุดมีการปล่อยตัวนักโทษการเมือง ผู้ถูกคุมขังกว่า 200 คน หลังอเมริกาขู่จะลดงบช่วยเหลือ
แต่สุดท้ายกลับมีถึง 140 คนที่ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีใหม่
นี่คือเรื่องราวสุดสยองในประเทศที่ความเมตตาไร้ค่า และความยุติธรรมกับอำนาจรัฐแห่งเผด็จการ ผูกพันกันแนบชิดอย่างเหลือเชื่อ แถมดูเหมือนมันจะยังไร้ความหวังต่อไปเรื่อยๆ เมื่อมีการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย และอเมริกาเริ่มขยับในการปิดล้อมอิหร่าน ประธานาธิบดี โจ ไบเดนยอมจับมือกับเจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบียผู้ถูกกล่าวหาว่าสังหารฆ่าหั่นศพนักข่าว แน่นอนพวกเขายอมพบประธานาธิบดีอัล-ซีซี ที่ข่มเหงกดขี่ประชาชน
อเมริกาเพียงเพื่อหวังว่าตะวันออกกลางจะไปไม่สนิทกับรัสเซีย จีน และอิหร่าน
นั่นจึงทำให้คนอียิปต์ยังคงถูกกวาดล้างจับกุมทรมานสืบต่อไป
อย่างไรก็ดี หญิงชราที่ถูกปล่อยตัวออกมาหลังถูกจับติดคุกอยู่ 2 ปีร่วมกับสามี เพียงเพราะวิจารณ์ทหารที่ทำรัฐประหาร โดยถูกแจ้งข้อหาก่อการร้าย หลังปล่อยตัวออกมา เธอถูกจับอีกครั้ง เพราะเพื่อนร่วมคุกจัดปาร์ตี้ยินดีฉลองอิสรภาพ โดยถูกแจ้งข้อหามั่วสุมก่อการ กลับไปติดคุกอีกครั้ง 2 ปี ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวจริงๆ แต่สามียังถูกคุมขังอยู่
ความน่าสนใจคือ แม้ทั้งคู่จะมีหนังสือเดินทางอเมริกัน ก็ยังไม่รอดจากภัยแห่งเผด็จการ แต่ถึงจะถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีในคุกแค่ไหน เธอก็ยังมุ่งมั่นเหมือนเช่นชายชราอายุ 82 ปี ที่เชื่อว่าจะได้เจอลูกชายสุดที่รักอีกครั้ง
ทั้งสองคนพูดตรงกันว่า ความหวังคือสิ่งเดียวที่สำคัญสุดในชีวิต
“และใครก็พรากมันไปจากเราไม่ได้”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.newsweek.com/2013/08/16/general-al-sisi-man-who-now-runs-egypt-237852.html
https://www.bbc.com/news/world-middle-east-19256730
https://edition.cnn.com/2014/07/01/world/africa/abdel-fattah-el-sisi-fast-facts/index.html
https://www.nytimes.com/interactive/2022/07/16/world/middleeast/egypt-prisoners.html
Tags: อียิปต์, dictator, เผด็จการ, Egypt, The Politician in Crime