“การใช้วัสดุและทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย สูญเปล่า และเกินจำเป็น ถือเป็นการตบหน้าคนอีกหลายร้อยล้านในโลกที่ไม่มีหลังคาคุ้มฝน ทั้งไม่มีหวังจะมีบ้านเป็นของตัวเอง”

นั่นคือคำกล่าวของลอรี เบเกอร์ (Laurie Baker) สถาปนิกชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ ผู้ได้รับการขนานนามว่า ‘Master of Bricks’​

ลอรี วิลเฟรด เบเกอร์ เกิดเมื่อปี 1917 ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ จบปริญญาตรีสาขาสถาปัตยกรรมจาก Birmingham School of Architecture หลังจากเรียนจบ เขาทำงานได้พักเดียว สงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น สถาปนิกหนุ่มตัดสินใจลาออกจาก The Royal Institute of British Architects ไปเป็นอาสาสมัครประจำหน่วยพยาบาลฉุกเฉินของกลุ่มเควกเกอร์ เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามในจีน หลังจากทำงานในจีนได้ 3 ปี เบเกอร์ล้มป่วย เขาจึงถูกส่งตัวกลับอังกฤษ

ระหว่างเดินทางกลับ เบเกอร์ต้องแวะต่อเรือกลไฟที่มุมไบ (บอมเบย์) เมืองท่าใหญ่ของอินเดีย และต้องรอเรืออยู่นาน 3 เดือน ในช่วงนั้นเอง เขาจึงมีโอกาสได้พบกับมหาตมะ คานธี

คานธีซึ่งต้องใจรองเท้าที่ประดิษฐ์จากผ้าเก่าของเบเกอร์ และเห็นแววสร้างสรรค์ในความสมถะของสถาปนิกหนุ่ม ได้ชวนให้เขากลับมาใช้ความรู้ความสามารถทำงานช่วยเหลือคนยากคนจนในอินเดีย

ปี 1945 เบเกอร์กลับมาอินเดียและทำงานเป็นอาสาสมัครกับมิชชันนารีกลุ่มต่างๆ จนพบรักและแต่งงานกับ ดร.อลิซาเบธ หมอชาวอินเดียจากรัฐเกรละ หลังแต่งงาน ทั้งสองไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่หมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาในรัฐหิมาจัลประเทศ เมื่อพบว่าหมู่บ้านแถบนั้นนอกจากไม่มีถนน น้ำ ไฟ ยังขาดแคลนแพทย์และสถานีอนามัย ทั้งสองจึงตัดสินใจเปิดสถานีอนามัยเล็กๆ เพื่อรักษาชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย โดยภรรยาเป็นหมอรักษา ส่วนเบเกอร์ทำหน้าที่ทุกอย่างที่เหลือ นับตั้งแต่พยาบาลผู้ช่วย คนวางยาสลบ เจ้าหน้าที่ในห้องแล็บ ไปจนถึงภารโรง และการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ครั้งนั้นก็กินเวลาถึง 15 ปี

นอกจากออกแบบและลงมือสร้างสถานีอนามัยด้วยตนเอง เบเกอร์ยังช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง สร้างโรงเรียน ห้องสมุด และที่อยู่อาศัย ต่อมา เมื่อเห็นว่าสถานีอนามัยที่ขยายขึ้นเป็นโรงพยาบาลเติบโตด้วยดี เบเกอร์และภรรยาตัดสินใจกลับไปตั้งรกรากในรัฐเกรละทางตอนใต้ของอินเดีย โดยเลือกปลูกบ้านและโรงพยาบาลขนาดย่อมที่หมู่บ้านบนเขาห่างไกลความเจริญ ขณะเดียวกัน เบเกอร์ทำงานเป็นทั้งสถาปนิกและที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และบริษัทสถาปนิกเอกชนหลายแห่ง ซึ่งในกรณีหลัง เบเกอร์มีส่วนทำให้แวดวงสถาปัตย์หันมาสนใจเรื่องพลังงานทางเลือก และการออกแบบที่ช่วยลดการใช้พลังงาน

อะไรคืองานสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า ‘สไตล์เบเกอร์’ คนทั่วไปอาจนิยามว่าเป็นงานที่ใช้อิฐดิบ ผนังเปลือย โครงสร้างเน้นเส้นสายโค้งเว้า หลังคามุงกระเบื้อง ใช้งานก่ออิฐเป็นตัวเปิดช่องลม สร้างพื้นผิวและลวดลาย แต่เบเกอร์กลับปฏิเสธว่างานของเขาไม่มีคำว่าสไตล์เบเกอร์ เพราะบ้านหรืออาคารที่เขาสร้างในแต่ละท้องถิ่นไม่เคยเหมือนกัน ทั้งกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า “บ้านแต่ละหลังควรบ่งบอกถึงตัวตนเจ้าของ ไม่ใช่เป็นคำประกาศหรือลายเซ็นของสถาปนิก”

เมื่อมองเนื้องานของเบเกอร์ จะพบว่างานทุกชิ้นเผยถึงปรัชญาการออกแบบ 3 ประการที่เชื่อมโยงกัน คือ มัธยัสถ์ ไม่สูญเปล่า และงามอย่างกลมกลืน ดังที่เขาอธิบายไว้ว่า “หากถามว่าสถาปัตยกรรมของผมหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบคือละม้ายกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นในแต่ละที่ มีโครงสร้าง และรับอิทธิพลจากวัสดุ ภูมิปัญญาของช่างพื้นบ้าน ภูมิอากาศ และวิถีชีวิตผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ”

ในความเห็นของเบเกอร์ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ทั้งการเลือกใช้วัสดุและวิธีการก่อสร้าง เป็นผลจากการลองผิดลองถูกมานับร้อยนับพันปี เพื่อรับมือกับกาลอากาศในที่นั้นๆ เขาจึงสนใจศึกษาเทคนิควิธีของช่างพื้นบ้านในที่ต่างๆ และนำมาประยุกต์ใช้ในงานออกแบบของตน

เบเกอร์ชอบใช้วัสดุพื้นถิ่นอย่างดิน อิฐดิบ (ดินอัดบล็อกตากแห้งโดยไม่เผา) ไม้ หิน กระเบื้องดินเผา มากกว่าวัสดุก่อสร้างจากโรงงาน อย่างซีเมนต์บล็อก คอนกรีต เหล็ก กระจก อะลูมิเนียม แผ่นสังกะสี ฯลฯ ด้วยเหตุผลที่ว่าวัสดุพื้นถิ่นย่อมเหมาะกับภูมิประเทศและภูมิอากาศของที่นั้นๆ หาได้ง่าย จึงช่วยประหยัดทั้งทางตรงและทางอ้อม

“วัสดุจากโรงงานพวกนั้นนอกจากจะมีค่าขนส่ง ยังใช้พลังงานจำนวนมากในการผลิต อย่างซีเมนต์ราคาถูกที่ใช้กันอยู่ในอินเดีย ล้วนแต่นำเข้าทั้งนั้น ส่วนอิฐเผาก็ต้องมีการตัดต้นไม้มาทำฟืน” เขาเล่าให้เห็นภาพว่าบ้านคนชั้นกลางขนาดย่อมที่ใช้อิฐเผา 1 หลัง หมายถึงต้นไม้ใหญ่ถูกตัดมาทำฟืน 3 ต้น

นอกจากนี้ เบเกอร์ยังชอบให้วัสดุต่างชนิดได้อวดเนื้อตัวและมีส่วนสร้างเสน่ห์ให้กับบ้านแต่ละมุม โดยไม่เสริมแต่งสิ่งที่เกินจำเป็น ด้วยมองว่าอิฐดิบทำเองพวกนี้แต่ละก้อนมีบุคลิกเฉพาะเหมือนหน้าคน ทำไมจึงฉาบปูนปิดแล้วทาสีทับให้กลายเป็นผนังสีเดียวดูน่าเบื่อ หนำซ้ำบางบ้านฉาบปูนแล้วยังสู้อุตส่าห์ระบายสีหรือติดวอลล์เปเปอร์ให้เหมือนผนังอิฐหรือหินอ่อน ซึ่งเบเกอร์มองว่าเป็นเรื่องตลกที่ฟุ่มเฟือยมาก

เบเกอร์เป็นสถาปนิกไม่มีออฟฟิศ ไม่ใช้ผู้รับเหมาก่อสร้าง เขารังวัดที่ ร่างแบบ และคุมงานก่อสร้างด้วยตัวเอง ชอบทำงานกับทีมช่างท้องถิ่นที่รู้มือรู้ใจกัน

งานออกแบบของเขามักใช้ประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติรอบตัว เช่น การสร้างถังเก็บน้ำไว้ทางทิศใต้ของบ้านเพื่อรับแดดบ่าย ช่วยให้มีน้ำอุ่นใช้ในหน้าหนาว ในกรณีของอาคารศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาของเกรละ เบเกอร์ออกแบบผนังด้านที่ติดกับสระน้ำให้มีช่องระบายอากาศตลอดทั้งแนว โดยใช้หลักการอากาศเย็นหมุนเวียนเข้าแทนที่อากาศร้อน ทำให้ตัวอาคารเย็นตลอดทั้งปี โดยไม่สิ้นเปลืองพลังงาน

ขณะเดียวกัน เบเกอร์ให้ความสำคัญกับความกลมกลืน ทั้งในแง่ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย สถาปัตยกรรมเดิมในชุมชน และธรรมชาติแวดล้อม บ่อยครั้งแทนที่จะตัดต้นไม้ เขาออกแบบให้อาคารและต้นไม้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ตลอดชีวิตการทำงาน เบเกอร์ได้รับรางวัลทรงเกียรติมากมาย เช่น รางวัล Padma Shri จากรัฐบาลอินเดีย, UNO Habitat Award and Roll of Honour ประจำปี 1992, World Habitat Award ประจำปี 1993 และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก University of Central England ปี 1995 เป็นต้น

สำหรับผู้ที่สนใจเทคนิคการสร้างบ้านดิน หนังสือชื่อ Mud ของเบเกอร์ ถือเป็นคู่มือชั้นเลิศ

ลอรี เบเกอร์ จากโลกไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2007 ที่บ้านชื่อ Hamlet ในตริวันดรัม ด้วยวัย 90 ปี

Photo: www.dnaindia.com, www.lauriebaker.net
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ผู้จัดการ, มิถุนายน 2550 ภายใต้นามปากกา ติฟาฮา มุกตาร์

Tags: , , ,