‘มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว’ คำโฆษณาสั้นๆสุดคลาสสิก ที่หลายคนน่าจะคุ้นหู นั่นคือ สโลแกนของ ‘ยาหม่องตราถ้วยทอง’ แบรนด์ยาหม่องสุดคลาสสิคที่อยู่คู่กับคนไทยมากว่าเจ็ดสิบปี

“ผมนับเป็นรุ่นที่สาม ส่วนคุณปู่ผมเป็นคนเริ่มก่อตั้งบริษัท แต่จริงๆ แล้วเป็นคุณอาของคุณปู่ที่มาเมืองไทยก่อน มาเปิดร้านชำที่ตลาดพลู ขายข้าวสารอาหารแห้งทั่วๆ ไป” เมธัส ลีลารัศมี ผู้บริหารบริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด เริ่มต้นเล่าถึงจุดเริ่มต้นของยาหม่องตรงถ้วยทอง

ย้อนกลับไปในสมัยที่บรรพบุรุษของเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึงประเทศไทยใหม่ๆ

“ช่วงนั้นโรคมาเลเรียกำลังระบาด เขาเลยทำยาตัดไข้มาเลเรียขึ้นมาชื่อยี่ห้อ ‘ลี้เปงเฮง’ ทำเสร็จก็ลองแจกจ่ายคนแถวบ้านปรากฏว่าได้ผล ก็เลยเริ่มมีชื่อเสียงว่า ถ้าจะหายาตัดไข้มาเลเรียต้องมาที่ร้านชำของเรา เขาก็เลยเริ่มมองเห็นลู่ทางในการขายยา ลองทำยาตัวอื่นๆ บ้าง จนเกิดเป็นยาหม่องขึ้นมา”

เมธัสเล่าว่า ยาหม่องที่ผลิตขึ้นนี้เป็นสูตรที่ได้จากหมอจีน ซึ่งยังมีความขลุกขลักอยู่ในช่วงแรกๆ ต้องปรับปรุงสูตรกันไปเรื่อยๆ จนได้ออกมาเป็นยาหม่องสีเหลืองนวลอย่างที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน

“ปรากฏว่า ไปๆ มาๆ ยาหม่องขายดี ยิ่งพอขายไปสักพักมันก็เริ่มเป็นเรื่องเป็นราว คุณปู่ของผมเลยเปลี่ยนจากขายร้านขายของชำมาทำยาหม่องขายอย่างเดียว แล้วจดทะเบียนเป็นบริษัทในปี พ.ศ. 2487 ตอนแรกเรายังไม่ได้ใช้ชื่อว่าถ้วยทองหรอก แต่คุณปู่คิดว่า ถ้าใช้ชื่อถ้วยทองน่าจะดี เพราะถ้วยสีทองคือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ” เมธัสอธิบาย

ข้อเท็จจริงหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้คือ ‘ยาหม่อง’ เป็นคำที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับแบรนด์ถ้วยทอง เพราะแม้ว่าก่อนหน้าถ้วยทองจะมีการผลิตตัวยาที่มีลักษณะเป็นยาหม่องอยู่แล้ว แต่มันก็ถูกเรียกว่า ‘บาล์ม’ เมธัสเล่าถึงต้นกำเนิดของยาหม่องไว้อย่างน่าสนใจ

“ผมเคยไปถามญาติผู้ใหญ่เขาก็บอกว่า จริงๆ แล้วถ้วยทองเป็นคนคิดคำว่า ยาหม่องขึ้นมาเอง เพราะว่าเมื่อก่อนยาของไทยจะมาจากพม่าเสียเยอะ เนื่องจากพม่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ที่นั่นเลยจะมียาดีๆ โดยไทยก็มักจะนำเข้ายาเหล่านี้ผ่านทางชายแดน เป็นยาที่มาจาก หม่อง คนสมัยก่อนเขาจึงเรียกยาที่รักษาอะไรก็ตามว่า ยาของหม่อง คุณปู่ของผมท่านเลยคิดว่า งั้นเราก็เรียกว่า ยาหม่องไปเลยแล้วกัน ถ้วยทองเลยเป็นคนที่ใช้คำนี้คำแรก”

การตลาดที่เข้าถึงลูกค้า และคุณภาพที่น่าวางใจ

“คุณปู่ของผมเขารู้จักกับคุณประดิษฐ์ กัลย์จาฤก ผู้ก่อตั้งกันตนา ซึ่งถ้วยทองก็ลงโฆษณากับกันตนาเป็นเจ้าแรกๆ โดยที่คุณประดิษฐ์เองยังเป็นคนที่คิดสโลแกน มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว  ให้กับเราอีกด้วย”

หลังผ่านการเป็นสปอนเซอร์ให้กับคณะละครกันตนาทำให้ถ้วยทองเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่งบริษัทก็ตัดสินใจลงทุนกับหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะส่งให้ยาหมองตราถ้วยทองกลายเป็นยาสามัญประจำตู้ของคนทั่วประเทศ กลยุทธ์ที่ว่า คือ ‘รถหนังขายยา’

“เราเลยตัดสินใจลงทุนในการทำรถฉายหนังกลางแปลงเพื่อลงพื้นที่ต่างจังหวัด เป็นรถฉายหนังของถ้วยทอง โดยเราจะไปฉายหนังกลางแปลงพร้อมๆ กับขายยาหม่อง สมัยก่อนยังไม่มีทีวี คนเลยจะมาดูหนังกลางแปลงกันเยอะมาก เราจะประโคมข่าวตั้งแต่บ่ายๆ ว่า วันนี้ถ้วยทองจะมาฉายหนังนะ ซึ่งพอฉายไป พอกำลังจะคลายแม็กซ์ปุ๊บ เราจะตัดโชะเพื่อเข้าสู่ช่วงขายของสิบห้านาที ถ้าขายไม่ถึงเป้า เราไม่ฉายต่อ (หัวเราะ) ”

“สมัยก่อนเขาขายกันแบบนี้ บังคับโดยปริยาย คนดูเขาก็ต้องซื้อยาหม่องเพราะอยากจะดูต่อ ซึ่งตลับหนึ่งก็แค่สลึงเดียว คล้ายๆ ว่าเป็นค่าตั๋วแหละ ตอนนั้นถ้วยทองมีรถหนังตั้ง 14 คัน และกลยุทธ์นี้ใช้มานานมากนะ เพิ่งจะเลิกไปเมื่อสิบปีก่อนนี้เองเพราะทีวี และโรงหนังเข้าถึงต่างจังหวัดมากขึ้นแล้ว เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป cost เริ่มไม่คุ้ม โดยรวมๆ เราน่าจะฉายหนังมาประมาณห้าสิบปีได้”

จริงอยู่ว่า กลยุทธ์รถหนังขายยาจะช่วยให้ยาหม่องตราถ้วยทองเข้าถึงผู้คนมากขึ้น แต่เป็นคุณภาพของสินค้าต่างหากที่เป็นคำตอบว่า ทำไมถ้วยทองถึงยังคงเป็นมิตรคู่เรือนเพื่อนคู่ตัวของคนไทยมากว่าเจ็ดสิบปี

“คุณปู่ของผมจะเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด ราคาแพงไม่เป็นไร ขอแค่คุณภาพมันนิ่ง ดีที่สุดในตลาด ต่อให้มีคนอื่นมาเสนอวัตถุดิบที่ถูกลง แต่ถ้าคุณภาพมันด้อยลง คุณปู่จะบอกว่า ไม่เป็นไร ถ้าตัวเดิมที่ใช้มันดีอยู่แล้ว เราจะไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นวัตถุดิบที่เราใช้จะค่อนข้างนิ่ง อีกส่วนคือ สินค้าของเราจะราคาไม่แพง เพราะคุณปู่บอกว่า เราทำยาเพื่อจะช่วยคน ไม่ควรจะขายแพง เพราะฉะนั้นยาหม่องถ้วยทองเลยถูกมากๆ”

เติบโตอย่างคงที่ ภายใต้ภาพลักษณ์ที่คุ้นเคย

เมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ลูกค้าหลักของถ้วยทองส่วนใหญ่จึงเป็นผู้สูงอายุ

“เพราะทายาหม่องแล้วจะสบาย ทาได้เรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ยาหม่องก็เหมือนยาดมแหละที่เราหยิบมาดมเรื่อยๆ ได้โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีโรคอะไร” เมธัสเล่า

คำถามคือ เมื่อกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้สูงวัย แล้วในเรื่องยอดขายของถ้วยทองล่ะเป็นอย่างไร?

“ผมมองว่า ปัจจุบันยอดขายของเรายังขึ้นเรื่อยๆ นะ แต่ขึ้นช้าๆ เราก็มีความกังวลนะว่า สักวันหนึ่งเราจะตายหายไปจากตลาด แต่พอดูจาก volume การผลิต เราก็ยังเพิ่มขึ้นแบบคงที่ ผมคิดว่า จริงๆ คนยังใช้ยาหม่องตราถ้วยทองอยู่ มันยังไม่ได้หายไปจากตลาด”

“มันเป็นไปได้ว่า คนยังจดจำแบรนด์เราอยู่ เป็นเซฟชอยส์ของเขา ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังทำโฆษณาต่อเนื่อง ทั้งในทีวี วิทยุ และสิ่งพิมพ์ คนยังเห็นภาพเราอยู่ ไม่ต้องโฆษณาสรรพคุณมากนัก แต่ให้คนยังจดจำว่าเรายังมีชีวิตอยู่ในตลาด ถึงเวลาจริงๆ คนก็จะย้อนกลับมาใช้เราเองเมื่อถึงเวลาของเขา”

ในแง่นี้ กลยุทธ์ทางการตลาดของถ้วยทองจึงคือ การเน้นย้ำให้กลุ่มลูกค้าหลักยังคงจดจำ และคิดถึงแบรนด์อยู่ตลอดเวลา นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมถ้วยทองจึงให้ความสำคัญกับการรักษาภาพจำของแบรนด์ให้ยังคงความคลาสสิคอยู่เสมอ

“ยาหม่องตราถ้วยทองเป็นภาพที่คนจำได้ไปแล้ว เราอาจเปลี่ยนแค่คุณภาพของแพคเกจจิ้งให้ทันสมัยขึ้น แต่เราไม่คิดจะพลิกหน้าตาของแบรนด์ไปเลย เรามองว่า ยิ่งแบรนด์เก่ามากๆ การเปลี่ยนภาพลักษณ์มันจึงไม่จำเป็น ยิ่งถ้าสินค้ายังขายได้อยู่ ผมว่านั่นแหละเป็นสิ่งที่เราต้องรักษาไว้ เพื่อให้คนยังคงจดจำภาพลักษณ์ของเราได้อย่างติดตา” เมธัสกล่าว

 ก้าวต่อไปของถ้วยทอง

ในฐานะทายาทรุ่นที่สาม นอกจากจะสืบทอดปรัชญาของถ้วยทองในเรื่องของคุณภาพ และราคา ที่รุ่นบุกเบิกให้ความสำคัญอยู่เสมอแล้ว เมธัสยังได้เข้ามาต่อยอดในส่วนของการขยายไลน์การผลิตของถ้วยทองให้มีความหลากหลาย ตอบรับพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยงแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อให้สมกับสโลแกน ‘มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว’

“คุณปู่ผมจะเป็นรุ่นบุกเบิก ส่วนรุ่นคุณพ่อผมคือรุ่น maintain ทำทุกอย่างให้เข้าที่ ปรับปรุงมาตรฐานการผลิตต่างๆ ให้นิ่ง พอมาถึงรุ่นผม ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยายสินค้าให้มากกว่าเดิม ให้มีความหลากหลาย โดยใช้แบรนด์ของถ้วยทองที่ดีอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน”

ด้วยเหตุนี้ ถ้วยทองจึงได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาถึงสามประเภทด้วยกัน ได้แก่ ยาดม ไมโอครีม และคิดดี้บาล์ม สำหรับยาดม ความน่าสนใจอยู่ตรงที่มีให้เลือกถึงสองกลิ่นด้วยกัน คือ กลิ่นเลมอน และกลิ่นลาเวนเดอร์ ในขณะที่ไมโอครีม คือครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ ส่วนคิดดี้บาล์มคือผลิตภัณฑ์ของเด็กเล็กที่จะช่วยลดอาการคัดจมูก และอาการคันที่เกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อย

“ผลิตภัณฑ์ทั้งสามตัวนี้เป็นยาสำหรับกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลงมา อย่างยาดมก็จะช่วงอายุที่กว้างหน่อย คือตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงกลุ่มผู้สูงวัย ไมโอครีมก็จะเป็นครีมสำหรับนักกีฬา และคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ส่วนคิดดี้บาล์มจะเป็นยาสำหรับเด็กหนึ่งขวบจนถึงห้าขวบ” เมธัสอธิบายถึงมุมมองที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ทั้งสามประเภท

ถึงตรงนี้ สายฝน ลีลารัศมี marketing manager ของถ้วยทองเสริมว่า “เราอยากให้ถ้วยทองเป็นเหมือนสมาชิกหนึ่งของครอบครัว มีผลิตภัณฑ์ไว้ใช้สำหรับทุกช่วงวัย เช่น เป็นเด็กก็ต้องใช้คิดดี้บาล์ม พอโตมาหน่อยเรียนหรือทำงานเครียดก็นึกถึงยาดมหรือยาหม่องน้ำ พอจะไปเล่นกีฬาหรือทำงานหนักก็นึกถึงยาคลายกล้ามเนื้อไมโอครีม และสุดท้ายช่วงสูงวัยก็ต้องทาถู ทาถูด้วยยาหม่องตราถ้วยทอง

สายฝน เน้นย้ำว่า ยิ่งพอในยุคปัจจุบันที่คนดูทีวีน้อยลง และโซเชียลเน็ตเวิร์คกลายเป็นสมรภูมิสำคัญ การทำโฆษณาจึงเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มแม่และเด็ก ที่ในเฟซบุ๊คมีเพจสำหรับกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

“เดี๋ยวนี้เราสามารถโฟกัสตลาดได้ง่ายขึ้น เพราะมีพื้นที่ที่คอยรองรับอยู่แล้วว่า ถ้าลงโฆษณาไป เราจะเจอกลุ่มลูกค้าแน่นอน ถ้วยทองเลยจะเน้นทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น” สายฝนอธิบาย

“นอกจากจะรักษากลุ่มลูกค้าเดิมแล้ว เราพยายามจะขยายกลุ่มอายุของลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ยาของถ้วยทองจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ต่อเนื่องกันได้ ครอบคลุมทุกวัย และอยู่คู่กับผู้ใช้ไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตของเขา” เมธัสทิ้งท้าย

Fact Box

คำเรียกยาทาที่ผลิตจาก ขี้ผึ้งผสมกับสมุนไพร ว่ายา ‘ยาหม่อง’ นั้นมีอิทธิพลมาจากการที่ประเทศไทยมักจะนำเข้ายาสารพัดชนิด จากประเทศ พม่า(เมียนมาร์)  และเรียกกันจดติดปากว่ายาหม่อง จากสรรพนามการเรียกชาวพม่า ทำให้ ร้านขายของชำ ลี้เปงเฮง ( บริษัท ถ้วยทองโอสถ ในปัจจุบัน) ได้รับอิทธิพลการตั้งชื่อนำหน้าแบรนด์ยาทาขี้ผึ้งที่ผลิตขึ้นมาว่า ยาหม่องตราถ้วยทอง อันเป็นที่รู้จักกันดีจนถึงปัจจุบัน

Tags: ,