1

หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า ‘จิ้น’ และคำว่า ‘วาย’ กันเป็นอันดีนะครับ การจิ้นแบบวายๆ ก็คือการจินตนาการว่า คนที่ตัวเองรักชอบนั้นมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างกัน แต่จะลึกซึ้งไปถึงระดับไหนก็แล้วแต่จะคิดกันไป

การจิ้นวายในปัจจุบัน ทำให้ผมอดนึกเปรียบเทียบกับ ‘เรื่องเล่า’ ในสมัยโบร่ำโบราณว่าด้วยเทพเจ้าในแบบพหุเทวนิยมไม่ได้

ก็ใครจะคิดล่ะครับ ว่าพระนารายณ์ (หรือพระวิษณุ) กับพระอิศวร (หรือพระศิวะ) เคย xxx กันในแบบที่เลยพ้นการ ‘จิ้น’ ด้วย

ที่บอกว่าเลยพ้นการจิ้น ก็เพราะเทพสององค์นี้ (ตามรามายณะและตำนานพื้นบ้านอินเดียนะครับ) ไม่ได้แค่ xxx กันเฉยๆ แต่ยังถึงขั้นมีลูกกันอีกต่างหาก!

หลายคนคงรู้จักตำนานของนนทก (ซึ่งก็คือชาติที่แล้วของทศกัณฐ์) กันเป็นอย่างดี นนทก เคยเป็นคนรับใช้ล้างเท้าให้พวกเทพที่อยู่บนสวรรค์ แต่พวกเทพนี่นิสัยไม่ดี ชอบรังแกนนทก ในที่สุด นนทกเลยไปทูลขอพรจากพระอิศวร พรที่ว่าก็คือว่าให้นนทกมีนิ้วเพชร ชี้ใครใครก็ตาย

ดังนั้น เมื่อถูกรังแกเมื่อไหร่ นนทกก็จะชี้เทพเหล่านี้ ทำให้เทพสิ้นชีวาวายไปหลายองค์ พวกเทพก็เลยต้องไปขอให้พระนารายณ์มาปราบ พระนารายณ์ก็ตกลงมาปราบนนทกให้

แต่วิธีปราบของพระนารายณ์ไม่ธรรมดานะครับ เพราะถ้ามาปราบแบบธรรมดาก็อาจถูกชี้ตายไปด้วเหมือนกัน พระนารายณ์เลยแปลงร่างหรืออวตาร (เรียกว่า อัปสราวตาร) เป็นนางฟ้าเซ็กซี่ชื่อ ‘โมหิณี’ แล้วก็ไปยั่วยวนหลอกล่อให้นนทกร่ายรำ รำไปรำมา ก็ทำให้นนทกต้องชี้ไปที่ขาตัวเองจนเดี้ยง แล้วพระนารายณ์จึงค่อยปราบ

ที่บอกว่าเลยพ้นการจิ้น ก็เพราะเทพสององค์นี้ (ตามรามายณะและตำนานพื้นบ้านอินเดียนะครับ) ไม่ได้แค่ xxx กันเฉยๆ แต่ยังถึงขั้นมีลูกกันอีกต่างหาก!

ก่อนตาย นนทกเห็นว่า แท้จริงแล้วนางโมหิณีคือพระนารายณ์ที่มีสี่กร นนทกแค้นจัด เลยบอกว่า โธ่! ที่แพ้น่ะเพราะมีแขนขาน้อยกว่าหรอก ถ้าแขนขาเท่ากันก็ไม่มีทางแพ้ พระนารายณ์เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ชาติหน้าขอให้ไปเกิดมีสิบหน้ายี่สิบแขนเลยก็ได้ แล้วเดี๋ยวจะตามไปปราบอีกรอบ ผลลัพธ์ในชาติถัดไปเลยเป็นเรื่องในรามายณะหรือรามเกียรติ์อย่างที่คนไทยคุ้นเคย คือเป็นการรบระหว่างทศกัณฐ์ (หรือนนทก) กับพระราม (คือพระนารายณ์อวตาร) ซึ่งผลสุดท้ายก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่

แต่เรื่องมันไม่ได้จบลงแค่นี้สิครับ เพราะพอพระนารายณ์สังหารนนทกเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเฝ้าพระอิศวร ทีนี้พระอิศวรก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า นางโมหิณีที่แปลงไปน่ะ สวยเซ็กซี่ขนาดไหน พระนารายณ์เลยต้องแปลงร่างให้ดูอีกรอบ

ถ้าอยากรู้ว่า นางโมหิณีสวยขนาดไหน คงต้องไปอ่านคำบรรยายในรามเกียรติ์ (แต่ต้องอย่าลืมว่า รามเกียรติ์กับรามายณะนั้น เนื้อหาไม่ตรงกัน 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ เพราะรามเกียรติ์ดัดแปลงมาอีกที แต่ก็มีเค้าอยู่มาก) รามเกียรติ์บรรยายความงามของนางโมหิณีว่า

 

เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์เนตรงามกร

งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา

ถึงโฉมองค์อัครลักษมี พระสุรัสวดีเสน่หา สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน

 

คือสวยกว่าชายาของตัวเองที่เป็นผู้หญิงแท้ๆ เสียอีก

บางตำนานเล่าว่า ความงามที่ว่านั้นถึงขั้นทำให้พระอิศวรต้องเข้าไป xxx กับพระนารายณ์ (ซึ่งพระนารายณ์ก็สมยอม) แต่บางตำนานก็เล่า ความงามนั้นทำให้น้ำอสุจิของพระอิศวรเคลื่อน คือแค่เพียงเห็นก็บรรลุจุดสุดยอดแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม น้ำอสุจิที่ว่าก็กลายมาเป็นผลสักกะลอยไปลอยมา ตอนหลังแม่ของหนุมานมาเจอเลยกินเข้าไปแล้วก็ตั้งท้อง สุดท้ายเกิดออกมาเป็นหนุมานที่มีฤทธิ์เยอะ เพราะมีพ่อที่เป็นทั้งพระนารายณ์และพระอิศวร

“ไม่ถือเป็นการล่วงเกินก้าวร้าวต่อเทพเจ้าหรอกหรือ ที่ไปคาดหมายเอาว่าเทพเจ้าทั้งหลายจะต้องยอมตนมาอยู่ใน ‘กรอบ’ ของมาตรฐานพฤติกรรมที่มนุษย์เป็นคนตั้งขึ้น”

แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นี้นะครับ เพราะยังมีตำนานศิวะนาฏราช ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระศิวะที่เป็นต้นกำเนิดการร่ายรำของนาฏยศาสตร์ของอินเดียเล่าว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง โลกเกิดความวุ่นวายเพราะมีพวกดาบสที่ไม่อยู่ในธรรม ร้อนถึงพระอิศวรต้องเอ่ยชวนพระนารายณ์ลงมาปราบ แต่ไม่ได้ลงมาปราบกันธรรมดา เพราะแปลงร่างอวตารลงมาเป็นโยคีสองสามีภรรยา (จิ้นไหมล่ะครับ) แล้วตอนหลังถึงได้ปราบดาบสจนเกิดเป็นท่าร่ายรำขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังมีตำนานของทางอินเดียใต้ด้วยนะครับ อันนี้ซับซ้อนหน่อย แต่ก็คล้ายๆ กับเรื่องนนทก คือมีมหิงสาที่เป็นอสูรควาย มหิงสาถูกปราบ ทำให้น้องสาวของมหิงสาแค้นเคือง เลยไปขอพรจากพระพรหมให้ฆ่าไม่ตาย มีเงื่อนไขเดียวที่จะทำให้ฆ่าตายได้ คือต้องตายด้วยมือของลูกของพระอิศวรกับพระนารายณ์เท่านั้น

โอ้โห! ก็เข้าทางสิครับ พระอิศวรกับพระนารายณ์เลยจูงมือกันลงมาอวตารในโลกมนุษย์ ใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากันอีกรอบ จนได้เป็นลูกชื่อพระอัยยัปปัน แล้วเอาพระอัยยัปปันไปให้กษัตริย์องค์หนึ่งที่ไม่มีลูกเป็นผู้เลี้ยง ก่อนจะเติบโตแล้วขึ้นไปปราบน้องสาวของมหิงสา (ที่บัดนี้ครอบครองสวรรค์จนพระอินทร์เดือดร้อนไม่มีที่อยู่)

เห็นไหมครับ ว่าพระนารายณ์กับพระอิศวรนั้นไม่ธรรมดาเลย มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนลึกซึ้งหลายชั้นยิ่งกว่าการจิ้นวายในปัจจุบันเสียอีก!

2

หลายคนอาจคิดว่า เรื่องพระอิศวรพระนารายณ์จิ้นวายอะไรนี่ เป็นเรื่องดาษๆ พื้นๆ ไม่เห็นน่าเอามาเล่าต่อเลย ดูไม่ค่อยเหมาะควรอย่างไรชอบกล

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าเราเปิดกว้างให้เรื่องเล่าของคนโบราณเหล่านี้ได้ผ่านเข้าสู่การตีความที่กว้างขวาง อาจมีอะไรดีๆ น่าสนใจเกิดขึ้นจากการตีความก็ได้นะครับ

ยกตัวอย่างการตีความของนักวิชาการชาวอินเดียที่ศึกษาตำนานพื้นบ้านคนหนึ่ง ชื่อคุณ Ishita Roy เขาตีความความสัมพันธ์ระหว่างพระอิศวรกับพระนารายณ์ (รวมถึงนางโมหิณีด้วย) เอาไว้น่าสนใจมากๆ เลยครับ

คุณรอยตั้งคำถามเอาไว้ว่า ทำไมเราต้องประหลาดใจกับตำนานที่เล่ากันแบบนี้ด้วย เขาคิดว่าแท้จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา คำถามก็คือมันเป็นปัญหาจากอะไร

คุณรอยบอกว่า เป็นไปได้ไหมที่เรามีปัญหากับพฤติกรรมของพระนารายณ์กับพระอิศวร เพราะเราคิดว่าเทพเจ้าจะต้องปลอดจากความต้องการทางเพศ นอกจากนี้ เรายังคิดว่า เทพเจ้าไม่ควรจะเป็นโฮโมเซ็กชวล (หรือไบเซ็กชวล) ด้วย

แต่เขาตั้งคำถามกลับอีกชั้นหนึ่งว่า ถ้ามนุษย์เราคิดแบบนั้น ไม่ถือเป็นการล่วงเกินก้าวร้าวต่อเทพเจ้าหรอกหรือ ที่ไปคาดหมายเอาว่า เทพเจ้าทั้งหลายจะต้องยอมตนมาอยู่ใน ‘กรอบ’ ของมาตรฐานพฤติกรรมที่มนุษย์เป็นคนตั้งขึ้น

ทำไมเทพเจ้าในตำนานพหุเทวนิยมจะเป็นอย่างที่เป็นไม่ได้?

แล้วจากนั้น คุณรอยก็วิเคราะห์ต่อเป็นองค์ๆ เพิ่ม ดังนี้

ในส่วนของพระอิศวร คุณรอยบอกว่า คนมักจะคิดว่าพระอิศวรพอเห็นนางโมหิณีก็เกิดอารมณ์อยาก xxx จากนั้นก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนปล่อยให้น้ำอสุจิเคลื่อนหรือกระโจนเข้าไปฟัดกับนางโมหิณีเลย

แต่เป็นไปได้ไหมว่า ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง พระอิศวรก็เหมือนนักขับรถดริฟท์เก่งๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป เวลารถหมุนจนควบคุมไม่ได้ คนทั่วไปก็จะพยายามควบคุมพวงมาลัยเอาไว้ให้มั่นคงใช่ไหมครับ แต่นั่นแหละจะเป็นสาเหตุทำให้รถคว่ำ

ในขณะที่นักดริฟท์รถที่เก่ง เขาจะปล่อยพวงมาลัย ใช้มือแค่แตะๆ แล้วประคองพวงมาลัยไปเรื่อยๆ ซึ่งต้องใช้สติและผัสสะชั้นสูงและละเอียดอ่อนมากในการจะ ‘ปล่อย’ ให้รถหมุนได้ แล้วนักขับรถดริฟท์แบบนี้ก็จะได้เจอกับ ‘ประสบการณ์’ ในแบบที่นักขับทั่วไปไม่มีทางได้เจอ

พระอิศวรก็เหมือนคนขับรถดริฟท์ที่เก่งนั่นแหละครับ คือใช้การ ‘ปล่อย’ ตัวเอง เพื่อผ่านเข้าสู่ประสบการณ์บางอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้ตัณหาเข้ามาควบคุมตัวเองแบบไม่รู้ตัว ทว่าเป็นการ ‘ปล่อย’ ตัวเองออกจากการควบคุมทั้งหลายทั้งปวง

ส่วนของพระนารายณ์ที่ชอบแปลงร่างไปมา เป็นชายบ้างหญิงบ้าง ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นการแสดงให้เห็นว่า เทพเจ้าไม่จำเป็นต้องถูกขังอยู่ในกรอบของเพศใดเพศหนึ่ง เรื่องเพศไม่มี boundary ใดๆ เทพเจ้าจึงสามารถสลับไปมาได้

เทพเจ้าทั้งหลายก็คือความรักที่ปรากฏมาในรูปของบุคคล ความรักนั้นเลยพ้นไปจากสิ่งเล็กๆ อย่างเช่นการกั้นขอบเขตระหว่างเพศและศีลธรรม

แต่นอกจากสองเทพที่ว่านี้แล้ว คุณรอยยังวิเคราะห์ไปถึงพระนางปารวตีซึ่งเป็นชายาของพระอิศวรด้วย พระนางก็อยู่ตรงนั้นในเวลาที่สองเทพอุ้มสม xxx กันด้วย คุณรอยบอกว่าพระนางรู้สึก ashamed คืออดสูใจ แต่คำถามก็คือ ทำไมพระนางถึงรู้สึกแบบนั้น

ถ้าเป็นคนทั่วไป เราก็คงคิดว่าพระนางคงอับอายและรู้สึกว่าเป็นเรื่องบัดสีแน่ๆ แต่คุณรอยวิเคราะห์ว่า เป็นไปได้ไหมที่พระนางจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะสามีตัวเองควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือเกิดความหึงหวงริษยาขึ้น แต่อาจเป็นเพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พระนางถึงได้เห็นว่าตัวเองมี ‘เส้นแบ่ง’ ระหว่างสิ่งต่างๆ และเกิดการยึดครองถือมั่นในสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เช่น เห็นว่าคนนี้เป็นชายหรือเป็นหญิง (ทั้งที่สามารถสลับกันไปมาได้) คนนี้เป็นสามีของตน ฯลฯ ซึ่งเส้นแบ่งและการยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมายาทั้งสิ้น

คุณรอยสรุปไว้ว่า เรื่องเล่าระหว่างพระนารายณ์กับพระอิศวรบอกเราหลายอย่าง เช่นเราควรรักให้ได้เหมือนพระอิศวร คือควบคุมผัสสะทั้งหลายของเราแต่พอดี และ ‘ปล่อย’ ให้ผัสสะทั้งหลายในร่างกายได้ทำงาน เพื่อให้เราบรรลุถึงเรื่องต่างๆ (เช่นเรื่องเพศ) ได้อย่างเต็มที่ เต็มตื้น และเต็มอิ่ม

เรื่องนี้ยังบอกเราด้วยว่า เทพเจ้าทั้งหลายก็คือความรักที่ปรากฏมาในรูปของบุคคล ความรักนั้นเลยพ้นไปจากสิ่งเล็กๆ อย่างเช่นการกั้นขอบเขตระหว่างเพศและศีลธรรมตามมาตรฐานของสังคม และเพื่อจะรักให้ได้อย่างไร้ขอบเขต เราจะต้องเห็นให้ได้เสียก่อนว่าขอบเขตที่เราสร้างขึ้นมากั้นขวางความรักเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวง เป็นมายา เราจึงต้องปล่อยมันไปให้ได้เสียก่อน

พูดง่ายๆ ก็คือ ตำนานโบราณเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ ‘ตั้งคำถาม’ และเพื่อทิ่มแทงลึกเข้าไปในสติปัญญาของเรา เพื่อให้เราเกิดความฉงนสงสัย และย้อนกลับไปพิจารณากรอบกฎทั้งหลายที่เราวางตั้งไว้ โดยเฉพาะกรอบกฎเรื่องเพศ อันเป็นเรื่องที่ควบคุมบังคับเรามากที่สุดเสมอมา

การจิ้นวายในพหุเทวนิยมจึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อเส้นขอบฟ้าทางความคิดเราเอง

 

ภาพประกอบโดย ปรางวลัย พูลทวี

Tags: , , , , , , , , ,