หนังเกี่ยวกับอะไร

‘คอเนอร์’ (Lewis MacDougall) เด็กชายวัย 12 ปีกำลังเผชิญความยากลำบากครั้งใหญ่ในชีวิต เขาเป็นเด็กล่องหนที่ไม่มีเพื่อนในโรงเรียนสนใจ แถมยังถูกรังแกอยู่บ่อยๆ ขณะเดียวกัน ‘แม่ของเขา’ (Felicity Jones) ก็ป่วยเป็นโรคระยะสุดท้าย แต่เขาเชื่อว่าการใช้เคมีบำบัดจะช่วยรักษาอาการป่วยของแม่ได้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้เขาไม่ต้องย้ายไปอยู่กับ ‘ยาย’ (Sigourney Weaver) ที่เข้มงวด จนวันหนึ่ง ‘อสูรกาย’ (พากย์เสียงโดย Liam Neeson) ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเล่านิทาน 3 เรื่องเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตที่ไม่มีความสุขของคอเนอร์

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง

หนังใช้อสูรกายในจินตนาการเปรียบเปรยถึงการเยียวยาจิตใจเด็กคนหนึ่งที่ต้องรับมือกับความกลัวและการสูญเสียคนที่รัก และถ้าลองสังเกตงานของ เจ.เอ. บาโยนา ทั้ง 3 เรื่องดีๆ จะพบว่ามันเป็นไตรภาคความสัมพันธ์แม่ลูกทั้งหมด (The Orphanage เล่าเรื่องคู่สามีภรรยาแต่งงานกันแล้วรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง แต่เด็กมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยที่ผู้ใหญ่เข้าใจว่าเป็นเพื่อนในจินตนาการ, The Impossible เหตุการณ์สึนามิได้ทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องพลัดพรากจากกัน)

สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง

ประเด็นตอนจบหนังแทงใจดำเรามาก มันกลายเป็นหนังก้าวพ้นวัยที่สะเทือนใจในความซับซ้อนของมนุษย์ที่ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำเพียงด้านใดด้านหนึ่ง อสูรกายในเรื่องจึงเป็นความหมายของการเยียวยาเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น บางครั้งความจริงเป็นสิ่งที่จะยากทำใจ และหลายครั้งเราก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยความในใจออกมา ซึ่งเราเซอร์ไพรส์กับนิทานเรื่องที่ 4 ของคอเนอร์ตรงที่มันจริงเจ็บจุกเหลือเกิน

ชอบนิทานทั้ง 3 เรื่องที่บอกเล่าความซับซ้อนของมนุษย์ได้ดีทีเดียว มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มนุษย์มีทั้งขาวและดำอยู่ในคนเดียวกัน ซึ่งอสูรกายก็ใช้นิทานดังกล่าวค่อยๆ ขัดเกลาเด็กที่มองโลกเพียงด้านเดียวให้เริ่มเปิดใจมองเห็นอีกมุมหนึ่ง  เรื่องแรก ‘เจ้าชายกับแม่มด’ นี่ก็ทำให้เรามองโลกอย่างเข้าใจว่าคนเราเป็นสีเทา, เรื่องที่สอง ‘หมอยา’ ก็ทำให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับความแน่วแน่ต่อสิ่งที่ศรัทธา และเรื่องที่สาม ก็ทำให้เราถอยออกมามองภาพกว้างว่าทำไมเด็กคนหนึ่งถึงถูกรังแก

นอกจากนี้แล้ว งานเทคนิคพิเศษยังช่วยเติมเต็มฉากในจินตนาการ ชอบในแง่ความสมจริงไม่หลุดไปโลกแฟนตาซีมากเกินไป และดูออกชัดเจนถึงความใส่ใจในรายละเอียด (จากความเห็นของเราซึ่งสนใจบทหนังมากกว่างานเทคนิคเลยแอบเสียดายเงินแทนสตูดิโอนิดหนึ่ง คือเราคิดว่า A Monster Calls ใช้ทุนสร้างสูงเกินไปหน่อย ตั้ง 43 ล้านเหรียญสหรัฐแน่ะ เดาเอาว่าอาจจะแพงที่งานเทคนิคพิเศษ ซึ่งเราเห็นว่าหนังไม่ได้มีความจำเป็นอะไรขนาดนั้นที่จะต้องสร้างงานเทคนิคพิเศษให้ออกมาเลิศเลอแบบที่เห็น เพราะเวลาชวนให้คนไปดูก็ขายกันด้วยเนื้อหาของหนัง ไม่ใช่งานเทคนิคพิเศษ)

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง

ขำๆ คือไม่ชอบที่ให้ เฟลิซิตี้ โจนส์ มาเป็นแม่คนซะแล้ว ทำลายภาพจำเราหมดเลย มีเรื่องตลกนิดหน่อยคือตอน เฟลิซิตี้ โจนส์ เล่นเรื่อง Like Crazy เธอแสดงเป็นเด็กเพิ่งจบมหาวิทยาลัยทั้งที่ตอนนั้นอายุ 28 แล้ว มีความหน้าเด็ก และเราก็แอบติดภาพจำว่าเธออายุยังน้อย ตอนเห็นว่ามาเล่นเป็นแม่คนใน A Monster Calls เลยแอบช็อกนิดหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นบทที่เหมาะสม เพราะดูจากประวัติของตัวละครก็ควรจะอายุประมาณ 30 กว่าๆ ที่คลอดลูกตั้งแต่อายุ 20 จนทำให้ไม่ได้เรียนต่อคณะศิลปะที่ต้องการ

เราเรียนรู้อะไรจากหนัง

ความหวังเป็นสิ่งที่ดีเมื่อเราใช้มันเพื่อสร้างศรัทธา เชื่อมั่นต่อบางสิ่งบางอย่างว่าจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่ขณะเดียวกันความหวังที่มากเกินไปก็ทำให้เราต่อต้านสิ่งต่างๆ ที่เข้ามา เพราะยังไม่พร้อมจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับด้านสีดำในใจของเราใช่ว่าจะต้องไม่ดีเสมอไป (เหมือนอย่างนิทานเรื่องแรก) ยกตัวอย่างเช่น ความเห็นแก่ตัว มันก็ทำให้เราไม่ต้องเก็บเอาสิ่งต่างๆ รอบตัวมาใส่ใจนัก

จุดที่เราควรเรียนรู้คือ การหาจุดสมดุลของทั้งความหวังและด้านสีดำในใจ เพราะอะไรที่มากเกินไปมันย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง

เมื่อปี 2013 บทหนังเรื่อง A Monster Calls ได้ Most Liked อันดับที่ 4 ของ Blacklist (แบล็กลิสต์คือการทำผลสำรวจประจำปี สอบถามไปยังสตูดิโอและบริษัทโปรดักชันต่างๆ เพื่อค้นหาบทหนังที่พวกเขาชื่นชอบ แต่ยังไม่มีการนำไปสร้างเป็นหนัง ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://blcklst.com/lists)

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

เห็นเป็น Coming of Age หรือหนังก้าวพ้นวัย แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะเหมาะกับวัยรุ่นที่กำลังเติบโตเพียงอย่างเดียว เพราะเนื้อหาของหนังมันเข้าถึงผู้ใหญ่ที่ยังไม่พร้อมจะยอมรับความจริงหรือยังมองโลกเพียงด้านเดียว

ควรชวนใครไปดู

วันก่อนมีคนส่งข้อความมาปรึกษาว่า ตอนนี้เขากำลังเกลียดครอบครัว อยากให้แนะนำหนังสักเรื่อง เราเลยแนะนำ A Monster Calls ไป เพราะเราอยากให้เขาได้มองหลายๆ มุม เหมือนที่หนังพยายามจะบอกว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่ด้านขาวและด้านดำเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เราทุกคนล้วนมีทั้งขาวและดำผสมจนเป็นสีเทากันทุกคน

ลองชวนคนที่เขามองโลกแง่ร้ายเกินไป หรือมองโลกสดใสมากเกินไปให้ไปดูเรื่องนี้ เราหวังว่าหนังจะช่วยละลายทัศนคติในการมองโลกไม่ให้สุดโต่งเพียงด้านใดด้านหนึ่ง

ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

อยากเชียร์ให้ไปดูตั้งแต่รอบ Sneak Preview หลัง 2 ทุ่ม เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 นี้เลย ต่อให้ต้องนั่งแท็กซีไปกลับ จัดป็อปคอร์นเซตใหญ่ ซื้อตั๋วที่นั่งโซฟายังคิดว่าคุ้มค่าที่จะดูหนังดีๆ แบบนี้ในโรง

ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้

จริง เจ็บ จุก