1 ล้านแรกของผม เริ่มต้นง่ายๆ กับธุรกิจฝึกอบรมที่มีส่วนต่างกำไรต่อหน่วยหลักพัน ลูกค้าทั้งปีไม่กี่ร้อยคน ผมก็มี 1,000,000 บาทแรกได้สมใจ

ใครอยากมีเงิน 1 ล้าน ภายในเวลา 1 ปีบ้าง… ยกมือขึ้น!

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่แอบยกมือ คุณมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักกับ ‘สูตรเงินล้าน’ ของผมครับ

MJ DeMarco ผู้เขียนหนังสือ The Millionaire Fastlane (แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยในชื่อ เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี) กล่าวถึงวิธีการเป็นเศรษฐีเงินล้านไว้อย่างเรียบง่ายและน่าสนใจว่า

“TO MAKE MILLIONS, YOU MUST IMPACT MILLIONS”

หรือ “ถ้าหากคุณอยากได้เงินล้าน คุณก็ต้องทำในสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน” ฟังดูแล้วพอจะนึกอะไรออกบ้างไหมครับ

จากประโยคข้างต้น ผมคิดต่อยอดสร้างเป็นโมเดลเงินล้านง่ายๆ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแบบเราๆ ท่านๆ ได้ว่า

ถ้าเราขายสินค้า กำไรชิ้นละ 1 บาท ให้คน 1,000,000 คน เราก็ได้ 1,000,000 บาท

ถ้าเราขายสินค้า กำไรชิ้นละ 10 บาท ให้คน 100,000 คน เราก็ได้ 1,000,000 บาท

ถ้าเราขายสินค้า กำไรชิ้นละ 100 บาท ให้คน 10,000 คน เราก็ได้ 1,000,000 บาท

หรือถ้าเราขายสินค้า กำไรชิ้นละ 1,000 บาท ให้คน 1,000 คน เราก็ได้ 1,000,000 บาท เหมือนกัน

ถ้าคุณเลือกโมเดล 1 บาท คุณก็อาจต้องเหนื่อยขายของให้คนเยอะหน่อย (ตั้ง 1 ล้านคนแน่ะ) แต่ถ้าหากคุณเลือกโมเดล 1,000 บาท คุณก็เหนื่อยน้อยลงไปเยอะ เพราะแค่ลูกค้า 1,000 คนก็ทำให้คุณพิชิตเป้าหมายได้แล้ว

1 ล้านแรกของผม เริ่มต้นง่ายๆ กับธุรกิจฝึกอบรมที่มีส่วนต่างกำไรต่อหน่วยหลักพัน ลูกค้าทั้งปีไม่กี่ร้อยคน ผมก็มี 1,000,000 บาทแรกได้สมใจ และทุกวันนี้ผมก็ยังติดใจวิธีการสร้างเงินล้านด้วยโมเดลหลักพันนี้เรื่อยมา

ทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ทำงานเอง แต่ให้กำไรปีละล้าน… ไม่เลวเลยใช่ไหมครับ

จะว่าไปหลักคิดเรื่องการสร้างเงินล้านด้วยโมเดลนี้ก็เป็นไปตามสมการแห่งความมั่งคั่งที่ว่า

ความมั่งคั่ง = คุณค่า x พลังทวี

หรือ เงินล้าน = กำไรต่อหน่วย x จำนวนลูกค้า

ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรยาก แต่เชื่อไหมครับคนส่วนใหญ่ที่รู้จักสูตรนี้มักติดกับดักเล็กๆ ที่บังตา จนทำให้ไม่สามารถสร้างเงินล้านแบบง่ายๆ กับเขาได้สักที

กับดักของสูตรเงินล้านข้างต้นคืออะไร คุณผู้อ่านลองทายดูสิครับ… ถ้านึกไม่ออก ลองอ่านเรื่องต่อไปนี้ดู

ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งเปิดร้านขายของที่ระลึกย่านสุขุมวิท เธอรับเอาสินค้าประเภทไม้แกะสลัก ของประดิษฐ์ทำมือจากภาคต่างๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ มาวางจำหน่ายให้กับชาวต่างชาติที่เดินผ่านไปมา

สินค้าโดยส่วนใหญ่ของเธอมีกำไรต่อชิ้นหลักสิบหลักร้อย แผงเล็กๆ ของเธอตั้งอยู่ริมถนน อยู่ชิดติดกับแผงประเภทเดียวกันที่วางเรียงรายสินค้าคล้ายกัน ของที่วางขายบนแนวถนนซ้ำไปซ้ำมา จนทำให้ผู้ซื้อรู้สึกไม่แตกต่าง

หลังจากเธอเริ่มรู้จักการค้าขายแบบออนไลน์ เปิดเว็บไซต์ขายสินค้า และทำตลาดออนไลน์เป็น เปลี่ยนตลาดจากลูกค้าที่เดินไปมาบนถนนสุขุมวิทเป็นลูกค้าต่างประเทศหลายร้อยล้านคน การสร้างเงินล้านของเธอก็ง่ายขึ้นชนิดพลิกฝ่ามือ

จากตลาดที่ถูกจำกัดทั้งในเรื่องพื้นที่วางสินค้า เวลาในการจำหน่าย และต้นทุนการสต็อกสินค้า ปัญหาทั้งหมดนี้ถูกแก้ไขด้วยตลาดที่ใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว พื้นที่วางสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นล้านชิ้น ต้นทุนค่าแผง (บนอินเทอร์เน็ต)​ และค่าการตลาดที่ต่ำแค่หลักพันต่อเดือน ที่สำคัญเธอแทบไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้าเลย เพราะใช้ระบบรับออร์เดอร์แล้วสั่งผู้ผลิตให้ส่งขายให้ หรือจัดหาตามทีหลังเมื่อได้รับคำสั่งซื้อ

แม้จะขายของแบบเดิมๆ แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมากของตัวคูณ (จำนวนลูกค้า) ก็ทำให้ปีที่ผ่านมาเธอสร้างเงินล้านให้กับตัวเองได้อย่างสบายๆ และน่าจะสร้างเพิ่มอีกในปีต่อๆ ไปได้ไม่ยาก

กลับมาที่คำถามของเรา… แล้วปัญหาของโมเดลเงินล้านที่ทำให้คนส่วนใหญ่ทำตามไม่ได้ คืออะไร

คำตอบก็คือ คำถามง่ายๆ ที่ว่า “แล้วฉันจะขายอะไรดี?”

ซึ่งหากคุณตอบคำถามได้ มีไอเดียที่สร้างคุณค่าและตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้านึกไม่ออกด้วยคิดว่ากลัวซ้ำ กลัวเหมือนกับคนอื่น แบบนี้คงต้องรอกันยาวเลยครับ กว่าจะเริ่มคิดเริ่มทำอะไรกับเขาได้

สุดท้ายเลยต้องปล่อยให้คำตอบของคำถามที่ว่า “ไม่รู้จะขายอะไร”​ กลายเป็นข้ออ้างดีๆ ที่ทำให้ไม่ได้เริ่มต้นเสียที และเมื่อไม่มีจุดเริ่มต้น ก็แน่นอนว่าไม่มีเส้นชัย

ถ้าคิดหาอะไรใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมไม่ได้ ก็ลองขายในสิ่งที่พอคิดออก สิ่งที่มีคนอยากได้ (นึกถึงลูกค้าก่อนนึกถึงตัวเอง) แล้วมานั่งหาวิธีการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ที่สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจำนวนมากดู คุณก็สามารถประสบความสำเร็จตามสูตรเงินล้านได้เหมือนกัน

There are million ways to be RICH.

โลกใบนี้ 1 หลักการ 1,000,000 วิธี… อย่าสร้างกับดักให้ตัวเอง จนปล่อยให้เงินล้านหลุดมือไปนะครับ

 

ภาพประกอบ: NOLA NOLEE

Tags: ,