บทความคราวนี้อยากขอเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง

จุดประสงค์ไม่ได้อยากจะขายของ แต่อยากเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเผชิญกับปัญหาอยู่ และผมเชื่อว่าไม่มีเรื่องเล่าอะไรจะดีไปกว่าการได้เล่าประสบการณ์ที่ผมได้ทำเองมาจริงๆ

ปี 2016 เป็นอีกปีที่ทุกคนบอกว่าให้ระวังการใช้เงิน เศรษฐกิจไม่ดี ผู้คนไม่อยากซื้อของ

ทุกอย่างเต็มไปด้วยคำเตือน บรรยากาศเต็มไปด้วยความกลัว

แต่ปีนี้จะเป็นปีที่เราลงทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์

เพราะผมเชื่อว่าตอนที่คนอื่นกลัวๆ นี่แหละเป็นจังหวะที่ดีที่สุด เพราะเราจะเสียงดังแม้ตังค์น้อย

แต่คุณไม่ต้องเชื่อผมหมดนะครับ เพราะต่างคนต่างมีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน

แต่ผมอยากเล่าเรื่องผมให้ฟัง

ปีนี้เราจะรีแบรนด์ศรีจันทร์อีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ใหญ่มากๆ เพราะเราจะเปลี่ยนตัวอักษรจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ

พร้อมออกสินค้าใหม่แบบ full line ไม่ได้มีแต่แป้งแบบสมัยก่อนแล้ว

แต่ก่อนจะรีแบรนด์ เราอยากตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดๆ อีกรอบ

เราจึงทำแคมเปญชื่อ ‘Quality Is the Real Image’ ขึ้นมา โดยแคมเปญนี้พูดถึงว่าผู้หญิงที่สวยจริง ต้องสวยด้วยคุณภาพจากข้างใน

เราทำหนังขึ้นมาหนึ่งเรื่อง

ความพิเศษของหนังเรื่องนี้คือมันเป็น interactive movie

ผู้ชมสามารถกดบนหน้าจอเพื่อเปลี่ยน เมกอัพ รองเท้า กระเป๋า และเสื้อผ้าของตัวละครได้

ถือเป็นแนวคิดการทำหนังที่แบรนด์ไทยยังไม่เคยมีใครทำ

การใช้ลูกบ้าลุกขึ้นมาทำหนังที่ใช้เทคนิคสูง ดูขัดกับบุคลิกของแบรนด์ที่หลายคนคิดว่าแบรนด์เราดูโบราณ ทำให้เราได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น เพราะเรียกได้ว่าลูกค้าเซอร์ไพร์สที่เรากล้าทำแบบนี้

ความบ้าคราวนี้ถือว่าได้ผล

เรามีภาพใหม่ๆ ในหัวของลูกค้า

เมื่อมีภาพเป็น foundation ที่ดีแล้ว คราวนี้เราก็พร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ

ทุกคนจะเห็นเราใหม่ภายใต้ชื่อ ‘Srichand’

แต่กระบวนการทำงานนั้นไม่ง่าย

เริ่มจากตัวสินค้าก่อน ผมอยากทำอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน

ผมเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องสำอาง ผมเจอของมากมายที่เขียนหน้ากล่องว่า Paris, New York ฯลฯ

แต่ของจริงๆ กลับผลิตที่เมืองจีน

คงเพื่อลดต้นทุน

ผมตั้งคำถามง่ายๆ กับตัวเอง

– เราเป็นแบรนด์เล็ก แล้วเราทำอะไรที่ตรงข้ามกับแบรนด์ใหญ่ทำได้ไหม

– ในฐานะแบรนด์ไทย เราจะสร้าง value สูงสุดให้กับคนไทยได้อย่างไร

คำตอบของผมคือ ในขณะที่คนอื่นพยายามลดต้นทุน เราขอเพิ่มต้นทุนละกัน

คิดอะไรแบบกลับหัวกลับหางหมด

เราเพิ่มต้นทุนโดยการทำงานวิจัยและผลิตสินค้าทั้งหมดจากประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่มีเทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก

โดยเราระบุสเปกวัตถุดิบราคาแพงที่สุดเทียบเท่าเคาน์เตอร์แบรนด์ระดับโลก โดยมาร์จิ้นที่หายไป เราจะชดเชยโดยลดค่าการตลาด แล้วหวังว่าความดีของตัวสินค้าจะได้รับการพูดต่อกันเองจากลูกค้าของเรา

นั่นคือแผนการตลาดของเรา เพราะเรารู้ว่าสู้กันตรงๆ ยังไงก็สู้ไม่ได้ เราจึงต้องคิดให้มันแปลกๆ ตลอดเวลา

มาถึงการทำ communication ที่สำคัญไม่แพ้การทำสินค้า เพราะถ้าสินค้าดีแต่ communication ห่วย ก็ตายครับ

ผมกลับไปหาพี่ต่อ ธนญชัย (ศรศรีวิชัย) เหมือนเดิมครับ

แม้ว่าเราจะเคยทำงานด้วยกันมาแล้ว แต่ผมก็ดีใจที่พี่ต่อรับทำงานให้เราอีกครั้ง เพราะครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เราต้องการหนังที่คนดูแล้วต้องตะลึง

เราตกลงทำหนังกัน 3 เรื่อง

3 เรื่อง!

มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะครับกับการทำหนังรวดเดียว 3 เรื่อง ไม่ว่าบริษัทคุณจะเล็กจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม

หนังทั้ง 3 เรื่องจะได้ออนแอร์หลังจากผ่านช่วงไว้อาลัย 100 วันไปแล้วครับ

วันที่ผมไปคุยกับพี่ต่อ ผมได้รับความรู้สึกอย่างหนึ่ง

เราไม่ได้คุยกันเหมือนลูกค้าคุยกับผู้กำกับ

พี่ต่อคุยกับผมเหมือนรุ่นพี่ที่อยากช่วยรุ่นน้อง

ช่วยรุ่นน้องพาแบรนด์ศรีจันทร์ชื่อไทยๆ นี้ให้ไปไกลๆ ให้ได้

เป็นความรู้สึกที่โคตรเจ๋งครับ

ผมเล่าความตั้งใจต่างๆ ให้พี่ต่อฟัง ระหว่างที่ผมเล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีอยู่จุดหนึ่งที่ผมเล่าว่า ทุกครั้งที่ผมไปบรรยายจะมีคำถามหนึ่งที่ได้รับคำถามทุกครั้ง

“ทำไมถึงไม่เปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็นชื่อฝรั่ง ชื่อเกาหลีน่าจะขายง่ายกว่าเยอะ”

ทุกครั้งผมจะตอบว่า ผมเชื่อว่าชื่อศรีจันทร์นี่แหละขายได้ และวันหนึ่งผมจะทำให้คนไทยภูมิใจที่มีแบรนด์นี้เป็นของประเทศเรา

พี่ต่อฟังแล้วบอกว่า เราจะเอาจุดนี้แหละมาทำแคมเปญ เพราะจุดนี้เป็นจุดที่แบรนด์เรามีแต่คนอื่นไม่มี

ผมงงนิดหน่อย แล้วถามว่ามันคืออะไรครับ ของที่เรามีและคนอื่นไม่มี

พี่ต่อบอกว่า ความเป็น underdog และเรื่องนี้แหละจะทำให้เราเซอร์ไพร์สคนดูได้

ไอเดียของแคมเปญนี้จึงมาจากสิ่งที่เราไม่มี สิ่งที่เราไม่มีคือความเท่ ความหรูหราแบบฝรั่ง อะไรแบบนี้
แต่มันมีมุมให้เล่นเสมอถ้าเราคิดหนักพอ

ไอเดียของแคมเปญนี้คือ

“มีคนมากมายบอกให้เราเปลี่ยนชื่อ แต่เราจะไม่เปลี่ยนและเราจะไม่มีวันเปลี่ยน”

ผมว่ามันโดนมากๆ

ในแคมเปญนี้ยังต้องการส่วนที่เพิ่มเติมจากการเป็นเครื่องสำอาง เราต้องการของสวยๆ มาใส่เครื่องสำอางด้วย

ผมนึกถึงดีไซเนอร์คนไทยที่เก่งสุดๆ คนหนึ่งคือพี่หมู (พลพัฒน์ อัศวะประภา) ASAVA

ตอนแรกก็คิดว่าแบรนด์เราเป็นแบรนด์เชยๆ พี่เขาจะทำให้ไหมนะ เพราะเอาจริงๆ แบรนด์ ASAVA นี่คือแบรนด์ที่ดูไฮโซมากๆ

แต่ปรากฏว่าไปคุยแล้วพี่หมูน่ารักมากๆ พี่หมูอยากช่วยเรา

ความรู้สึกเหมือนคุยกับพี่ต่อครับ

มันไม่เหมือนการคุยกันระหว่างลูกค้า

แต่เหมือนพี่คุยกับน้อง

พี่อยากช่วยน้องให้ไปให้ไกลกว่านี้

พี่อยากช่วยศรีจันทร์ให้เป็นแบรนด์ที่คนไทยภูมิใจให้ได้

เราเลยได้มีงานสวยๆ เป็นคอลเล็กชัน ASAVA x Srichand ออกมา

จากเรื่องราวที่ผมเจอมาเอง ผมกล้าบอกทุกคนอย่างหนึ่งครับ

ชีวิตคนเราถ้าอยากได้อะไรต้องกล้าขอครับ

เพราะถ้าขอโอกาสได้ของคุณคือ 0 ถึง 100

ถ้าไม่ขอโอกาสได้ของคุณคือ 0

ความช่วยเหลือของพี่ต่อและพี่หมูน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคนแล้วว่า

การทำงานและชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

ขอแค่คุณกล้าที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า

ความฝันอันยิ่งใหญ่ อยู่แค่ปลายจมูก

ภาพประกอบ: Thomthongc

Tags: ,